ไว้อาลัยแด่ “เวนิส”

ไว้อาลัยแด่ “เวนิส”

มนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำของนครเวนิสดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเกาะแห่งนี้มากกว่า 60,000 คนต่อวัน ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมดของเวนิสเสียอีก

ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมากับเรือสำราญขนาดใหญ่ จากสถิติของท่าจอดเรือเวนิส พบว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีการนำเรือท่องเที่ยวเข้าเทียบท่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 439 จนกลายเป็นท่าเรือยอดนิยมที่สุดในยุโรป

หลายฝ่ายจึงกังวลว่า จำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาลนี้กำลังจะทำลายเมืองที่ระบบเศรษฐกิจต้องพึ่งพานักท่องเที่ยว

"การท่องเที่ยวเป็นเหมือนดาบสองคม คุณไม่สามารถจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากบนเกาะเล็กๆ โดยปราศจากผลกระทบเชิงลบ” ปีเตอร์ เดไบร์น หัวหน้าโครงการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก กล่าว

กลุ่มต่างๆ เช่น ยูเนสโกอ้างว่าเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่กำลังทำอันตรายต่อเวนิสเพราะโครงสร้างอันเปราะบางของเมือง พวกเขาบอกว่าบรรดาเรือเหล่านั้นทำให้เกิดกระแสน้ำกัดเซาะฐานรากของอาคาร มีส่วนทำให้เกิดมลพิษ รวมถึงมีผลกระทบต่อภูมิทัศน์ของเมืองในขณะที่เรือแล่นเข้ามาจอดจนบดบังความสวยงามของโบราณสถานของเมือง

ปัญหาที่เป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่จำกัด ย่อมเป็นการบังคับให้คนท้องถิ่นต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น จริงๆ แล้วปัญหาการท่องเที่ยวที่ทำให้ชีวิตคนท้องถิ่นยากลำบากขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันเลวร้ายขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

"เวนิสเป็นเมืองขนาดเล็กที่มีพื้นที่น้อยนิด ตอนนี้เวนิสมีคนมากเกินไปแล้วในวันธรรมดา" มัตเตโอ เซจชี่ โฆษกของกลุ่มเวเนสเชีย (Venessia) ซึ่งเป็นกลุ่มพลเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเวนิส กล่าว

จากข้อมูลของมัตเตโอ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งบนเกาะ ระบุว่า การท่องเที่ยวที่เฟื่องฟูส่งผลให้ชาวเมืองอพยพออกจากเกาะไปอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของอิตาลี นับแต่ปีค.ศ. 1950 ประชากรของเวนิสได้ลดลงมากกว่าสองในสาม เครื่องนับจำนวนประชากรที่ถูกติดตั้งไว้บนสะพานรีอัลโตมีตัวเลขลดลงเกือบทุกวัน จำนวนล่าสุดที่นับเมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้วถือว่าทำสถิติใหม่ต่ำที่สุดคือ 58,483 คน

"เวนิสกำลังจะกลายเป็นเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น ตอนนี้มีชาวเวเนเชียนที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่มากกว่าบนเกาะเวนิสเสียอีก" มัตเตโอ กล่าว

ในขณะที่จำนวนประชากรหดลง แต่เรือท่องเที่ยวที่มาเยือนเวนิสกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นและขนนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นด้วย ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเวนิสได้ต้อนรับเรือ MSC Divina ซึ่งเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยได้เทียบท่าที่เวนิสพร้อมนักท่องเที่ยวราว 4,500 คน

“มันไม่ใช่เรือเข้ามาวันละลำ แต่มันเป็น 4-6 ลำต่อวัน พวกเขามาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ มาแค่ซื้อของโดยไม่ได้สนใจในประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมของเวนิสเลย” มาเทลด้า บอตโตนี่ ดีไซเนอร์เครื่องประดับที่อาศัยอยู่ในเวนิส กล่าว

เจ้าของธุรกิจเรือท่องเที่ยวรายใหญ่อย่าง MSC Cruises ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ทางบริษัทให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของเวนิสเป็นอย่างดี

ปีเตอร์ บอกว่า ธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเวนิสทำให้ปัญหาที่เกิดจากการท่องเที่ยวยากที่จะแก้ไข เพราะเศรษฐกิจของเวนิสขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเกือบทั้งหมด ในขณะที่ชาวเมืองต้องการให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยว แต่ก็ยังจำเป็นต้องพิทักษ์รักษามรดกของเมือง

จากข้อมูลของคณะกรรมการเรือท่องเที่ยวของเวนิสระบุว่า นักท่องเที่ยวที่มากับเรือสำราญมีการใช้จ่ายมากกว่า 150 ล้านยูโร หรือ 6,240 ล้านบาทต่อปี ในแต่ละปีมีเรือมากกว่า 650 ลำมาเทียบท่าที่เวนิส เรือแต่ละลำจ่ายค่าธรรมเนียมการเทียบท่าเพิ่มจากอัตราปกติ และมีการซื้ออาหารและน้ำจากคนท้องถิ่น ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวยังมีการจ้างพนักงานท้องถิ่นราว 3,000 คน ในการจัดเทศกาลท่าเรือตอนปลายเดือนตุลาคมของทุกปี

ในปี 2009 ชาวเมืองจัดพิธีศพจำลองเพื่อเป็นสัญลักษณ์หรือไว้อาลัยแก่การลดลงของประชากร อีกหนึ่งปีต่อมาพวกเขาจัดกิจกรรมประท้วงด้วยแจกแผนที่และตั๋วฟรีเข้า “เวนิสแลนด์” การประท้วงที่มีสีสันครั้งนี้ดึงดูดความสนใจของชาวโลกและนำไปสู่การพูดคุยหารือระหว่างผู้นำรัฐบาลท้องถิ่นกับตัวแทนชาวเมืองเป็นระยะๆ แต่มันก็ไม่ได้ชะลอการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวและเรือท่องเที่ยวเลย

ทั้งปีเตอร์และมัตเตโอเห็นตรงกันว่า ชาวเมืองและผู้ประกอบการธุรกิจเรือจำเป็นต้องร่วมกันหาทางออกอย่างประนีประนอม คนที่อาศัยอยู่ในเวนิสต้องร่วมมือร่วมใจกันพูดคุยหาทางออกที่เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและไม่เป็นการทำลายมรดกและคุณค่าที่โดดเด่นของเวนิส

"ถ้าเราไม่รีบแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เวนิสจะกลายเป็นเช่นดิสนีย์แลนด์ ที่เป็นเพียงสวนสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ตอนกลางวันคุณสามารถเยี่ยมชมเมืองได้ แต่ในเวลากลางคืนสวนสนุกแห่งนี้ก็ต้องปิดให้บริการ" มัตเตโอ กล่าว

........................
ที่มา เว็บไซต์ www.ehospitalitytimes.com