วิโรจน์ ตระการวิจิตร คุณหมอนักค้น'จิต'

วิโรจน์ ตระการวิจิตร
คุณหมอนักค้น'จิต'

เป็นสูตินรีแพทย์โดยวิชาชีพ แต่มีความสนใจพิเศษในศาสตร์การแพทย์พลังจิต ฝึกฝนด้านสมาธิ ศิลปะและดนตรีจนเชี่ยวชาญ กิจกรรมเสริมคือการวิ่งมาราธอนแ

กิจกรรมเสริมคือการวิ่งมาราธอนและไตรกีฬา ทั้งหมดนี้คุณหมอบอกว่ามีคีย์เวิร์ดอยู่สามคำคือ จิต สมอง กาย

. . .

เก้าอี้นุ่มน่าสบายวางอยู่ตรงกลางห้อง ใครคนหนึ่งเอนกายลงไปช้าๆ โดยมีคุณหมอพูดให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง "ปิดเปลือกตาลง ทำใจให้สบาย หายใจเข้าผ่อนคลาย หายใจออกผ่อนคลาย..."

หลังจากขั้นตอนการสะกดจิตดำเนินต่อไป ไม่นานผู้ที่กำลังเข้าสู่ภวังค์ก็เริ่มต้นเล่าถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในจิตใต้สำนึก ค่อยๆ คลี่คลายปมชีวิตของตนเอง ก่อนที่คุณหมอจะพากลับสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้งตามแบบที่หลายคนอาจคุ้นเคยในภาพยนตร์แนวจิตวิทยา ..."หนึ่ง สอง สาม...เปาะ" เสียงดีดนิ้วให้สัญญาณ ถือเป็นการเสร็จสิ้นการบำบัดในแต่ละครั้ง

นี่ไม่ใช่เรื่องเร้นลับ หรือนอกเหนือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นแนวทางการรักษาที่เรียกว่า ภวังค์บำบัด (Hypnotherapy) ที่ นพ.วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลนครธน เริ่มนำมาใช้ร่วมกับการแพทย์ทางร่วมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น โยคะ ชี่กง ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด สมาธิภาวนา ซึ่งคุณหมอได้ศึกษาและทดลองเรียนรู้ด้วยตนเอง จนมั่นใจว่าการแพทย์ทางร่วมและทางเลือก (Complementary and Alternative Medicine) เหล่านี้ คือคำตอบของการดูแลสุขภาพที่ใช้ต้นทุนไม่มากและไม่มีผลข้างเคียง

-ภวังค์บำบัดคืออะไรคะ

คือการชักนำให้ร่างกายเกิดการผ่อนคลาย วัตถุประสงค์คือเพื่อที่จะลดคลื่นสมองลง คลื่นสมองคนเราปกติมันจะเป็นเบต้าเวฟ แต่คราวนี้พอเราเริ่มผ่อนคลายสบายแล้ว คลื่นสมองก็จะลดลงเข้าสู่อัลฟาเวฟ คนไข้จะเริ่มผ่อนคลาย เวลาคนเราจะเข้าภวังค์มันจะอยู่ระหว่างอัลฟาลงไปอีกนิดนึงคือธีต้า ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนไข้จะรีแล็กซ์มาก บางคนบอกว่าสภาวะเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีมากเพราะจิตใต้สำนึกมันเปิด เนื่องจากมนุษย์เราจะมีสามระดับ จิตสำนึกอยู่ตรงกลาง จิตใต้สำนึก และจิตเหนือสำนึก อะไรก็ตามที่รับจากจิตสำนึกมันจะลงไปสู่จิตใต้สำนึกหมด จิตเหนือสำนึกคือจิตที่เราสามารถเชื่อมต่อกับบางสิ่งบางอย่างที่สูงกว่าเราได้

ทีนี้เวลาเราเข้าภวังค์คือการที่ทำอะไรก็ตามแล้วเกิดการผ่อนคลาย คลื่นสมองช้าลงๆ จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ธีต้าเวฟ ช่วงนั้นประตูจิตใต้สำนึกจะเปิด ทำให้เราสามารถทำอะไรได้หลายๆ อย่าง เช่น แก้ปมปัญหาที่ค้างอยู่ในใจตั้งแต่อดีต ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แล้วเราก็สามารถที่จะโปรแกรมสิ่งที่ดีๆ ลงไปได้ อีกอันคือ เราสามารถที่จะดึงความสามารถพิเศษที่มีในอดีตที่เราไม่เคยรู้ออกมาได้ นี่ก็คือการทำภวังค์บำบัด วัตถุประสงค์ก็คือ แก้ปมปัญหาที่ค้างคา แล้วบางครั้งมันออกมาทางร่างกาย เช่นปวดหัวไม่ทราบสาเหตุ เจ็บร่างกายไม่ทราบสาเหตุ ป่วยไม่สบายหาสาเหตุไม่เจอ บางทีมันเป็นปัญหาทางจิต

-โดยวิธีการก็คือการสะกดจิตอย่างหนึ่ง?

การเข้าภวังค์บำบัดมันทำได้หลายวิธี ยกตัวอย่างง่ายๆ คือการทำสมาธิ ก็จะลดคลื่นสมองลง แต่ปัญหาของการทำสมาธิคือ เมื่อเข้าแล้วมันลึกเกินไปกลายเป็นธีต้าเวฟ หรือถ้าเข้าสมาธิไม่เป็นก็เข้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เข้าภวังค์ไม่ได้ การทำสมาธิเพื่อเข้าสู่ภวังค์สำหรับคนทั่วไปจึงอาจเป็นไปได้ยาก การเข้าภวังค์ด้วยวิธีอื่น ยกตัวอย่างเช่นการฟังเสียงดนตรี ถ้าเราฟังดนตรีที่เป็นเสียงธรรมชาติ หรือเสียงมันตรา ซึ่งมีจังหวะใกล้เคียงกับการเต้นของหัวใจ มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Heart Brain Synchronize คลื่นสมองมันจะค่อยๆ ลง พอลงปั๊บ เราสามารถเข้าไปในภวังค์ได้ แต่พอเข้าสู่ภวังค์แล้วมันจะไปยังไงต่อ ถ้าไปต่อไม่เป็น สุดท้ายแล้วจะเจอกับการหลับ คือมันไหลลงไปลึกมาก

อีกอันที่เราพบคือ การร่ายรำ เริ่มต้นของการร่ายรำมันจะอยู่ระดับจิตสำนึก คือใช้สมอง แต่พอเรารำไปจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งแล้ว มันจะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก คือเราทำคล่องจนกระทั่งเราไม่รู้ตัว มันจะเข้าสู่ภวังค์ แต่พอเข้าสู่ภวังค์ปุ๊บ เราก็เดินต่อไม่ได้ มันก็เป็นแค่การรีแล็กซ์ ผ่อนคลาย

การเข้าภวังค์อีกอันคือ เรื่องของการใช้ยา ซึ่งอันนี้ไม่แนะนำ ยาบางตัวทำให้เราเข้าภวังค์ได้ กินแล้วคนจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในสภาวะสภาวะหนึ่ง สังเกตว่าทำไมศิลปินถึงชอบใช้ เพราะใช้แล้วมันดึงศักยภาพพิเศษออกมาได้ ทำไมนักเขียน เขียนแล้วก็ติด แต่พอใช้ยาบางอย่างคราวนี้ไหลลื่นเลย พวกศิลปินก็เลยไปติด เพราะมันสามารถดึงจิตใต้สำนึกที่ฝังอยู่ข้างในได้ ทำให้ความสามารถต่างๆ มันไหลออกมา แต่ก็จะไปเจอกับผลข้างเคียงจากการใช้ยา ก็เลยติดยาไป

อีกอันหนึ่งซึ่งมันง่ายแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรมากคือ การสะกดจิต เพราะมีคนไกด์ การสะกดจิตก็คือการเข้าภวังค์นั่นเอง เขาก็จะให้เรานอนบนเตียงสบายๆ แต่ต้องนัดกันก่อนนะว่า ก่อนจะมา หนึ่งต้องไม่กินพวกสารกระตุ้นมาก่อน ชา กาแฟ ยาชูกำลัง ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ แล้วต้องไม่มีเรื่องวิตกกังวลติดตัวมาด้วย ตอนมาก็ใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่รัดไม่ตึง อบอุ่นพอสมควร สถานที่ต้องรโหฐาน มิดชิด ไม่มีคนมารบกวน แล้วพอเข้าไปก็จะมีเก้าอี้โซฟาให้นอนผ่อนคลาย แล้วนักสะกดจิตบำบัดเขาก็จะสร้างบรรยากาศ หายใจเข้าผ่อนคลาย หายใจออกผ่อนคลาย คือการมีคนไกด์มันง่าย
หน้าที่ของคนที่จะเข้ารับการทำภวังค์บำบัด คือ อย่าสงสัย อย่ากลัว อย่าอาย อย่าไปคิดเยอะ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้เกิดภาวะต่อต้าน อย่าไปวิเคราะห์ว่าจริง ไม่จริง

หรืออย่างบางคนก็จะพยายามช่วยด้วยการทำสมาธิ แล้วมันก็ไปติดที่สมาธิ ไม่ไปตามเสียงไกด์ เพราะสมาธินี่เขาบอกว่ามันเหมือนน้ำไหล มีเสาอยู่ แล้วเราไปเกาะเสาคือสมาธิ แต่การเข้าภวังค์คือต้องปล่อยออกจากเสา แล้วให้ตัวเราไหลไปตามน้ำ หรือบางทีถ้าเราไปคิดสงสัย คิดวิเคราะห์ หรือบางคนไปพยายามมากเกินไป กลัวเดี๋ยวจะไม่เข้าภวังค์ ฉันต้องเข้าภวังค์ๆ พยายามมากเกินไปก็ไม่ได้ หน้าที่ของคุณคือรีแล็กซ์อย่างเดียว พอรีแล็กซ์ปุ๊บ คลื่นสมองลงปั๊บ จิตใต้สำนึกเปิดออก พอมันไหลลงนักสะกดจิตบำบัดเขาจะมีวิธีการที่จะทำอย่างไรต่อไป

เช่นคนที่ขาดความเชื่อมั่น ขี้กังวล หรือเป็นโรคซึมเศร้า หรือกลัวบางสิ่งบางอย่างซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ พอเข้าภวังค์ปั๊บ เขาจะพยายามเจาะ คุณกลัวอะไร ไหนคุณเอาความกลัวสุดๆ ตรงนี้ที่มีย้อนไปในเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น หนึ่ง สอง สาม มันก็จะเข้าไปอยู่ในสภาวะนั้น เพราะตอนนี้มันอยู่ในจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกมันก็คืออดีต เราจะไม่บอกนะครับว่ามันคืออะไร แต่มันคือปมที่ฝังอยู่ แล้วพอเวลาเราอยู่ในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้มันเหมือนกับกระแทกเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเราจำมันไม่ได้แล้ว แต่พอเราไหลเข้าไปปั๊บ แล้วเราไปเห็น เราจะรู้สึกว่าเราเข้าใจมันแล้ว นักสะกดจิตบำบัดก็จะพยายามให้เขายอมรับ ให้เขาทิ้งปมนั้นไป มนุษย์เราพอมันเห็นสาเหตุเข้าใจมันแล้ว เราทิ้งมันได้แล้ว พอเขาออกจากภวังค์ อาการต่างๆ มันก็หายไป

-คุณหมอเรียนมาทางด้านไหน แล้วสนใจเรื่องการสะกดจิตบำบัดได้อย่างไร

มเป็นสูตินรีแพทย์ แต่ผมสนใจเรื่องแนวนี้ทุกเรื่อง เหตุผลเพราะตอนนี้การแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเราอิงกับตะวันตก ณ ขณะนี้อเมริกาคือเบอร์หนึ่ง ผมว่ามันถึงทางตัน แล้วประเทศเราค่อนข้างเสียเปรียบ ทุกอย่างที่อเมริกาวางมาเราเสียเงินหมดเลย แม้แต่ตอนนี้ตัวอเมริกาเองก็ติดหล่ม อเมริกาถือเป็นประเทศอันดับหนึ่งของการแพทย์แผนปัจจุบัน เขาใช้รายได้ถึง 17.6% ของจีดีพี เข้าไปในการบริการสาธารณสุข แต่สุขภาพของคนอเมริกันอยู่ระดับแย่ๆ นะครับ อันดับที่ 30 กว่า เพราะคนอเมริกานี่ป่วยเยอะ เทคโนโลยีมันไม่ได้ทำให้คนสุขภาพดี สังเกตมั้ยว่าการแพทย์เราเจริญขึ้น สิ่งที่เราพบคือคนอายุยืนขึ้น แต่เราเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น เราอายุยืนขึ้นแต่ทุพพลภาพเพิ่มมากขึ้น เหตุผลก็คือว่า คนที่เป็น active aging คือคนที่มีอายุเยอะแล้วช่วยเหลือตัวเองได้มันลดลง แต่ passive aging คือคนอายุเยอะแล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้กลับสูงขึ้น นั่นหมายความว่า เราอายุยืนขึ้นแต่คุณภาพชีวิตแย่ลง การแพทย์เราดีขึ้น แต่โรคมันรุมเร้าเรามากขึ้นกว่าเดิมซะอีก

ผมเองเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน พอศึกษามาถึงจุดหนึ่ง ผมคิดว่ามันไม่ตอบโจทย์ แล้วพอเห็นคนเจ็บป่วยเยอะๆ มากขึ้น ผมก็คิดว่ามันควรจะต้องมีทางออก การแพทย์ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่าการแพทย์ทางเลือก สำหรับผม ผมมองเป็นการแพทย์ทางร่วม คือเสริมเข้าไป ปรากฏว่าการแพทย์แผนปัจจุบันที่เรามีอยู่มันดีมากๆ ครับ มันดีในแง่พวกโรคเฉียบพลัน กระดูกหัก ไส้ติ่งอักเสบ หรือหัวใจวายเฉียบพลัน แต่โรคเรื้อรังไม่ดีหรอกครับ ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน หัวใจขาดเลือด ความดัน ภูมิแพ้ หรือโรคกล้ามเนื้อกระดูกข้อต่อ แพทย์แผนปัจจุบันที่มีอยู่มันไม่ตอบโจทย์ ที่มันน่ากลัวมากๆ ก็คือว่า นอกจากภาวะแทรกซ้อนที่เราเจอจากการรักษา ค่าใช้จ่ายมันสูงขึ้น เพราะเราต้องพึ่งพาหลายอย่างจากต่างประเทศ

ผมคิดว่าการแพทย์ทางร่วม มันมีมาก่อนการแพทย์แผนปัจจุบันอีก เพราะวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มมาประมาณ 500 ปีนี่เอง แล้วการแพทย์แผนปัจจุบันจริงๆ เพิ่งเริ่มมาประมาณสัก 200-300 ปี ยาปฏิชีวนะเพิ่งมีมาประมาณ 90 ปีเท่านั้นเอง นั่นหมายความว่าการแพทย์แผนปัจจุบันมีมาไม่กี่ร้อยปี แต่การแพทย์ทางร่วมมีมาเป็นพันปี แล้วพวกนี้ผลข้างเคียงก็แทบไม่มีเลย แถมค่าใช้จ่ายต่ำมากๆ

ข้อแตกต่างก็คือสิ่งเหล่านี้ประชาชนต้องทำด้วยตัวเองด้วย แต่การแพทย์แผนปัจจุบันคือ แบมือมาเลย คุณหมอเอายาดีๆ มาให้หน่อย แพงเท่าไหร่ไม่ว่า ประชาชนก็เลยพึ่งพาการรักษา แต่ไม่พึ่งพาตัวเอง สิ่งที่ผมชอบคือ การแพทย์ทางร่วมมันส่งเสริมให้พวกเราพึ่งพาตัวเราเอง ให้เรารับผิดชอบกับสุขภาพของตัวเราเอง ให้เรากลับเข้าไปอยู่ในระบบของธรรมชาติ แล้วจริงๆ ร่างกายมนุษย์มีความมหัศจรรย์อย่างมากทีเดียวในการเยียวยา แต่เราหลงลืม เพราะไปอยู่กับการงานเยอะมากเกินไป เพราะเหตุนี้หลังจากผมจบสูติแพทย์มา ผมเลยไปศึกษาศาสตร์การแพทย์ทางร่วมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติบำบัด ศิลปะ ดนตรี ชี่กง โยคะ เรื่องของการล้างพิษ เรื่องของจิต เรื่องของการใช้พลังงาน คือพอศึกษาแล้วต้องเอาตัวเองไปทดสอบ เมื่อทดสอบก็พบว่าสิ่งเหล่านี้มันได้ผลจริงๆ คือรู้ด้วยตนเอง

พอรู้ด้วยตนเองว่ามันได้ผลดีอย่างนี้ เราก็อยากบอกต่อ สิ่งที่ผมทำก็คือพยายามบอกต่อให้กับเพื่อนๆ ให้กับประชาชน แล้วสิ่งที่ผมมาบอกนี่ไม่ใช่ผมท่องตำรามา หลายๆ อย่างผมลองมาด้วยตนเอง ถึงแม้ผมจะเป็นหมอแผนปัจจุบัน แต่ผมคิดว่าการที่เราให้ประชาชนได้มีโอกาส มีทางเลือก และมีพื้นที่ที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง อันนี้สำคัญ

-การไปทดลองศาสตร์การแพทย์ทางร่วมต่างๆ แน่นอนว่าคงไม่ได้ไปด้วยทัศนะแบบคนทั่วไป?

ครับ คือคนหลายๆ คนเข้าไปเพราะว่าศรัทธา ผมเข้าไปผมไม่ได้ศรัทธา แต่ผมอยากศึกษา ถ้าเข้าไปด้วยศรัทธามันจะติดแหง็กอยู่ตรงนั้น แล้วจะไม่ไปไหนเลย คิดว่าไอ้นี่ดีที่สุด ครูบาอาจารย์ฉันดีที่สุด แต่ผมต้องการเข้าไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง เข้าไปด้วยฉันทะ คือมีความรักที่อยากจะเรียนที่อยากจะรู้ และอาจจะเป็นข้อได้เปรียบของผมคือ ผมทำตัวเหมือนน้ำไม่เต็มแก้ว ผมก็จะไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์หลายสำนักเลย เพื่อที่จะทดสอบว่า สิ่งเหล่านี้ดีอย่างไร

ข้อที่สองก็คือ การที่เป็นแพทย์ทำให้มีพื้นฐานเรื่องของสรีรวิทยา กายวิภาคศาสตร์ เรื่องของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ จะเข้าใจพวกนี้ง่ายมาก แล้วมันทำให้อธิบายมันในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ได้ แล้วเราก็เอาสิ่งต่างๆ นี้มาบูรณาการ ไม่ใช่ว่าเราอยู่ค่ายนี้ก็จะเอาแต่ค่ายนี้ ค่ายอื่นมาเราบอกว่าผิดหมด ไม่ใช่ ผมก็ไปมาทุกค่ายเลย แล้วผมก็เอาทั้งหมดนั้นมาหาปัจจัยร่วมว่าคืออะไร คือชีวิตมันประกอบด้วย จิต สมอง กาย ถ้าเข้าใจกระบวนการทำงานของจิต สมอง กับกาย แล้วจบ

ถ้าจิตดีมันจะส่งพลังที่ดีไปที่สมอง แล้วสมองก็จะหลั่งสารเคมี ฮอร์โมน ทำให้มันไปควบคุมการทำงานของร่างกายต่างๆ การเต้นของหัวใจ การสร้างภูมิต้านทาน ที่จริงแล้วร่างกายเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆ แต่เราใช้ไม่เป็น เราฝากความรับผิดชอบนี้ไปให้กับคุณหมอ คุณหมอก็ให้ยาเราเป็นกำเลย

-อะไรคือจุดใหญ่ใจความของการแพทย์ทางร่วมที่คุณหมอได้ศึกษามาคะ

สิ่งที่การแพทย์ทางร่วมเน้นมากๆ คือการป้องกัน ไม่ใช่การรักษา ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการแพทย์สายจิต การแพทย์สายพลังงาน การแพทย์ธรรมชาติบำบัด มันจะมาในแนวการป้องกันหมดเลย เพราะการป้องกันมันต้นทุนต่ำ เราทำด้วยตัวเองได้ ผลแทรกซ้อนแทบไม่มีเลย แต่เนื่องจากมนุษย์ในปัจจุบันเป็นยุคของความเร่งรีบ เขาต้องการอะไรที่มัน instant ใส่แพ็คเกจมาอย่างดี ส่งมาให้เรียบร้อย แล้วหายเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะง่ายอย่างนั้น มันไม่มีหรอก มันต้องทำ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าการแพทย์ทางร่วมมีปัจจัยเหมือนๆ กันหมด อันที่หนึ่ง เน้นไปที่การป้องกันมากกว่าการรักษา สอง เน้นการดูแลตัวเอง เราเป็นแค่โค้ชเป็นคนบอก สาม คือเน้นในสิ่งที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ สี่คือ เน้นไปหาสมุทัย หรือสาเหตุมากกว่าที่จะไปตัวโรค นี่คือหลักการที่มันรวมๆ กันมา ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ประชาชนทำได้เองจริงๆ

-การรักษาในลักษณะนี้มีค่อนข้างหลากหลายและหลายๆ ครั้งก็กลายเป็นการหลอกลวงหาผลประโยชน์ คุณหมอมีข้อแนะนำอย่างไร

สิ่งหนึ่งที่ประชาชนมักจะเจอก็คือ โรคตามแห่ คือแห่กันไป อันนี้ผมเห็นใจนะครับ ถ้าเป็นผมจะดูว่าเขาอธิบายให้เหตุผลได้มั้ย ไอ้การที่เรามีเบสเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้มันง่ายมาก ถ้าตามตรรกะมันอธิบายได้หมด ผมจะเอาตัวผมเข้าไปทดลองโดยที่ไม่ปักใจเชื่อ เอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์ และเมื่อเข้าไปแล้วถ้าพบว่าไม่ใช่ให้ทิ้งเลย คืออย่าไปกลัวเสียหน้า พยายามเอาสีข้างเข้าถูว่าใช่ๆๆ จริงๆ บางทีก็คือหลอกตัวเอง ผมเองเคยเข้าไปบางสิ่งบางอย่างแล้วมันไม่ใช่ผมก็ทิ้ง

ถ้าผมเป็นประชาชน ผมจะดู reference คนนี้น่าเชื่อถือไหม แล้วดูว่าเบื้องหลังเป็นเรื่องของพาณิชย์หรือเปล่า ถ้าพูดเสร็จปั๊บ เอาของมาขาย ก็ให้เควสชั่นไว้ก่อน ต้องดูว่าสิ่งที่เขาพูด พูดเพื่อให้หรือพูดเพื่อรับ แล้วต้องจำไว้ว่า สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้ต้องทำเอง สิ่งเหล่านี้มันต้องใช้เวลาและความพยายาม ถ้าใครมาบอกว่ากินน้ำตัวนี้ซะ กินแล้วจะดีทุกอย่าง ก็โม้แล้ว ถ้าเราใช้ตรรกะ ค่อยๆ คิด ใช้สตินำไปก่อน แล้วคิดพิจารณา ปัญญาตามมาแน่นอน

-ตอนนี้ที่โรงพยาบาลเปิดคลาสอะไรบ้าง

ตอนนี้เรามีโยคะบำบัด ไม่ใช่โยคะตีลังกาแบบตามสตูดิโอนะครับ มันเป็นโยคะที่เน้นเรื่อง spiritual มากกว่า คืออาสนะเป็นเพียงแค่ตัวนำเข้าไปถึงจิต พอเข้าไปถึงจิต มันจะกลายเป็นการแพทย์สายจิต พอจิตดี สมองดี ร่างกายจะดี แล้วโยคะก็จะช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อ กระดูกข้อต่อ นั่นคือพื้นฐาน แต่สุดยอดคือเรื่องของจิต ชี่กงบำบัดเรามี เรามีเรื่องของการนวดบำบัด อโรมาบำบัด ล่าสุดกำลังจะจัดค่ายล้างพิษ เราพบว่าคนเมืองนี่มีปัญหารับสารพิษมาเยอะมา ทำอย่างไรถึงจะล้างพิษกายและใจได้ ซึ่งก็มีความเฉพาะของเรา มีดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด แล้วก็ภวังค์บำบัด ซึ่งผมเองสนใจแล้วก็เอามาถ่ายทอด เรามีคลาสค่อนข้างหลากหลายเพราะเครื่องมือทุกอย่างไม่ได้เหมาะกับทุกคน บางคนชอบแบบนี้ บางคนไม่ชอบแบบนี้ คือการที่เราศึกษาศาสตร์การแพทย์หลายๆ อย่างทำให้บูรณาการมันได้ แล้วผมก็จะไม่ปฏิเสธแม้กระทั่งการแพทย์ตะวันตก

-บางคนที่ศรัทธาการแพทย์ทางเลือกหรือศาสตร์การแพทย์แบบตะวันออก จะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการแพทย์แบบตะวันตก คุณหมอไม่ได้เป็นอย่างนั้น?

คนที่คิดแบบนี้ ผมถามจริงๆ ว่าถ้าคุณไส้ติ่งอักเสบคุณจะทำอย่างไร คุณจะนั่งสมาธิให้ไส้ติ่งมันหายเหรอ หรืออยู่ๆ คุณเกิดหัวใจวายขึ้นมา คุณจะไปสวดมนต์ให้หัวใจมันฟื้นก็ไม่ได้ หัวใจวายคุณก็ต้องใช้ยา หัวใจหยุดเต้นคุณก็ต้องปั๊ม เช่นเดียวกัน ไตวายทำอย่างไร ก็ต้องล้างไต ใช่ไหมครับ ตรงไปตรงมา ผมคิดว่าเราต้องเอาความก้าวหน้าของเทคโนโลยีของวิทยาศาสตร์มารับใช้เรา แต่อย่าให้มันครอบงำเรา ต้องมีสติและมีปัญญา ให้รู้ว่าอันไหนคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา

-ถ้าจะดูแลสุขภาพในแนวทางนี้ควรเริ่มต้นจากอะไร

ผมแนะนำว่าใครสนใจ ให้ทำใจเป็นกลางก่อน อุเบกขาก่อน เพราะถ้าเกิดเราเอาใจโอนเอียงไปจะมีอคติ ซึ่งอคติมีทั้งดีและไม่ดี อย่าง ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก คือชอบมากเลย อันนี้ดีมาก เราเอนเอียงไปก่อนแล้ว หรือพวกตามแห่ คือเขาแห่มาเราก็ไป เขาว่าดีเราก็ดี ก็เชื่อเขาตลอด เพราะฉะนั้นทำใจกลางๆ แล้วก่อนจะเข้าไปศึกษาพื้นฐานนิดหนึ่งก่อนว่าอธิบายด้วยเหตุและผลได้ไหม ทำไมถึงดี ซึ่งอันนี้อาจจะมีความลุ่มลึกแตกต่างกัน เพราะพื้นฐานของความรู้มันมีความแตกต่างกัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

จากนั้นพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้มันวางอยู่บนพื้นฐานของพาณิชย์หรือเปล่า ถ้ามันเป็นพาณิชย์มากเกินไปก็อาจต้องตั้งคำถาม เพราะส่วนใหญ่แล้วการแพทย์พวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นพาณิชย์ มันเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคน แล้วให้ดูว่าสิ่งเหล่านี้ทำแล้วมีโอกาสเป็นโทษกับเรามั้ย เรามีข้อห้ามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ถ้าดูแล้วไม่มีโทษ ไม่มีเรื่องพาณิชย์ การดูคนที่มานำเสนอก็เป็นทางลัดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นคนที่มีความรู้มีประวัติที่ดีมาก่อน อันนี้ก็น่าจะเชื่อถือได้ เพราะเขาคงไม่เอาชื่อเสียงมาเสียกับเรื่องแบบนี้ แต่ถึงที่สุดต้องเข้าใจว่าเราไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นก็ไม่เหมือนเรา สิ่งที่คนอื่นทำแล้วดี ไม่ได้หมายความว่าเราทำแล้วจะดี

สุดท้ายต้องหาสูตรสำหรับตัวเอง ปรุงให้กับตัวเอง ซึ่งอันนี้มีความแตกต่างกัน เพราะบริบทของชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน อายุ ฐานะ การงาน ทัศนคติ ความรับผิดชอบในชีวิตไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นความแตกต่างเหล่านี้มีผลในการที่เราจะต้องเอามาที่เราศึกษาทั้งหมดมาปรับให้มันเหมาะสมกับตัวเอง เวลาเราได้ความรู้อะไรมาสักอย่าง สิ่งที่ต้องทำคือเราต้องเอามาเคี้ยว กลืน แล้วย่อยให้มันซึมเป็นตัวเรา เราไม่สามารถเอามาทั้งอย่างนั้นแล้วมาใส่เป็นตัวเราได้

แต่ปัญหาคือ เวลาเราไปสอน พอเราบอกหลักการกว้างๆ เขาจะจับจุดไม่ถูก อยากจะเอาแบบชัดๆ เร็วๆ แบบ หนึ่ง สอง สาม สี่ ทำแบบนี้แล้วจะได้ผลอะไร ซึ่งบางทีผลเราก็ไม่กล้าจะบอก เพราะบางทีคุณอาจจะไม่ได้ผลแบบนี้ก็ได้ แต่ไม่บอกเขาก็ไม่ยอม ผมจะถูกถามเยอะมากว่าทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ก็ต้องพยายามหาคำตอบที่มันกลางที่สุด เพราะทุกคนที่มาก็จะมีวิธีคิดของตัวเอง

-โดยสรุปก็คือการดูแลสุขภาพไม่มีสูตรสำเร็จที่เป็นคำตอบเดียวสำหรับทุกคน?

ถูกต้องครับ โลกนี้มี 6-7 พันล้านคน ก็ 6-7 พันล้านแบบ ยีนก็ไม่เหมือนกัน ขนาดพี่น้องยังไม่เหมือนกันเลย สิ่งที่ประชาชนทำได้ก็คือหาความรู้แล้วเอาความรู้นั้นมาเปลี่ยนให้เป็นปัญญา ปัญญาคืออะไร คือการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเอง ...เป็นอย่างนี้นี่เอง เรารู้แล้ว... ซึ่งผมยึดสิ่งเหล่านี้มาตลอด ข้อสำคัญคือต้องลอง ต้องปฏิบัติ ต้องแลก ไม่ใช่บอกว่าไม่มีเวลา เหนื่อย ทำไม่ได้ เพราะถ้าไม่แลกก็ไม่มีทางจะรู้

-ทุกวันนี้คุณหมอก็ยังคงศึกษาศาสตร์การแพทย์อื่นๆ ตลอดเวลา?

เสาร์อาทิตย์คือวันที่ศึกษาหาความรู้ของผม ผมไปเข้าคอร์สตลอด ชี่กง สะกดจิต โยคะ เข้าค่ายล้างพิษ เรียนดนตรี วันๆ หนึ่งผมเรียนตลอดเวลา เรียนเพื่อที่จะเอาสิ่งเหล่านี้มาตอบโจทย์ตัวเองให้ได้ก่อน แล้วพอถึงจุดหนึ่งปั๊บถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองแล้ว เราก็สามารถนำไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ถ้าเรายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไปช่วยเหลือคนอื่น บางทีมันอาจจะพลาดไป แต่ถ้าเราช่วยตัวเองได้แล้วไม่ช่วยเหลือคนอื่น ความสุขมันก็แค่นิดเดียว ความสุขมันจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคนรอบข้างเรามีความสุข