สายน้ำแห่งชีวิต สายสัมพันธ์เศรษฐกิจ

ปิดท้ายการเดินทางสู่ดินแดนแห่งสายน้ำ 9 มังกร สำรวจความอุดมสมบูรณ์ของแม่โขงเดลต้า และหาคำตอบว่า "ข้าวเวียด จะแซง "ข้าวไทย" จริงหรือ
ถ้าอีกนัยยะหนึ่งของธรรมชาติหมายความถึงความอัศจรรย์แล้วล่ะก็...
สภาพภูมิประเทศที่ถูกเว้นช่องไฟด้วยความคดเคี้ยวของปลายน้ำโขง หลังจากออกเดินทางกว่า 4,900 กิโลเมตร จากที่ราบสูงธิเบตผ่าน 6 ประเทศออกสู่ทะเลตะวันออกตรงอุษาคเนย์ แตกแขนงออกเป็น 9 สายบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ หรือที่รู้จักในชื่อ แม่โขงเดลต้า (The Mekong Delta) ของประเทศเวียดนามน่าจะใช้เป็นหลักฐานของนิยามดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้น ความสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่างๆ ที่กระแสน้ำพัดมามาทับถมไว้ ทำให้ที่นี่ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญสำหรับชาวเวียดนามอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดเจนจากความเขียวขจีของท้องทุ่ง และวิถีเกษตรกรรม ตลอด 2 ข้างทางบนถนนสายนครโฮจิมินห์มุ่งหน้าสู่ฟากตะวันตกเฉียงใต้
บนผืนน้ำ 9 มังกร
อาณาบริเวณกว่า 39,000 ตารางกิโลเมตรของผืนดินขจีที่มีสายน้ำแตกแขนงออกเป็น 9 สายจนกลายมาเป็นชื่อของ "ซงกู๋ลอง" หรือแม่น้ำ 9 มังกร อันถือเป็นที่ลุ่มปากแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เอกสารวิชาการหลายฉบับระบุว่า ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในสมัยโบราณเคยเป็นอาณาเขตของกัมพูชา มีภูมิประเทศเป็นหนองบึง และป่าไม้ ก่อนที่ชาวอาณานิคมพวกแรกที่เข้ามาทางทะเลจะมาถึงในศตวรรษที่ 16
สมัยที่อยู่ใต้การปกครองของขุนพลตระกูลเหวียนนั้น พื้นที่แถบนี้ได้มีการปรับปรุงสภาพหนองบึงผืนใหญ่ และสร้างเครือข่ายลำคลองเล็กๆ มากมาย จนปลายศตวรรษที่ 18 ได้มีการขุดคลองใหญ่ขึ้น 2 สาย คือ คลองไทฮวา (Thai Hoa) ซึ่งเชื่อมเมืองร้ากยา (Rach Gia) กับเมืองลองเสวียน (Long Xuyen) และคลองวิงห์เต (Vinh Te) ซึ่งเชื่อมเมืองเจาด๊ก (Chau Doc) อยู่บริเวณปากแม่น้ำโขงทางทิศใต้ของนครโฮจิมินห์
ขณะที่มีการศึกษาเรื่องการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตบริเวณนี้ ยังพบว่าเป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่กว่า 10,000 สายพันธุ์ ซึ่งทำให้บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนี้ มีความน่าสนใจทั้งในการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางธรณีวิทยา และการศึกษาเกี่ยวกับระบบชีววิทยาของพื้นที่
นอกจากนั้น พื้นดินบริเวณนี้ยังมีความหมายถึง "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของดินแดนสุดปลายทะเลตะวันออกด้วย
"13 จังหวัดภาคใต้ ถือเป็นแหล่งสินค้าเกษตรสำคัญที่สุดของเวียดนาม เพราะจะเป็นแหล่งที่ส่งออกไปให้คนเวียดนามกินดีอยู่ดีก็ว่าได้ ข้าว ผลไม้ กุ้ง การประมง ทุกอย่างอยู่ที่ 13 จังหวัดนี้ โดยแต่ละจังหวัดจะมีสินค้าคล้ายคลึงกัน แต่จะมีความโดดเด่นไปคนละอย่าง" พรรณพิมล สุวรรณพงศ์ กงสุลใหญ่ไทย ณ นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ให้รายละเอียดถึงศักยภาพของพื้นที่
ข้อมูลจากมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ระบุว่า พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงนี้คิดเป็น ร้อยละ 40 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดของประเทศ ซึ่งผลิตผล 2 ใน 3 ของพื้นที่นั้นใช้บริโภคทั้งประเทศเวียดนาม โดยมากกว่าร้อยละ 50 ของปลาที่จับได้ทั้งประเทศ และร้อยละ 60 ของผลไม้ที่ผลิตได้ทั้งหมด ก็มาจากที่นี่ อีกทั้งยังมีการประมาณการเลี้ยงสัตว์น้ำอย่าง กุ้ง และปลาเพื่อการส่งออกอีกราว 2-3 แสนตันต่อปี
หรือมีการจับปลาตามธรรมชาติได้ถึง 1 ล้านตันต่อปีเลยทีเดียว
นครหลวงฟากตะวันตกเฉียงใต้
ชาวเวียดนามหลายคนยกให้ หมีทอ (My Tho) อดีตศูนย์กลางทางการค้าเวียดนามใต้ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมืองเอกของจังหวัดเตี่ยนซาง (Tien Giang) เป็นประตูสู่แม่โขงเดลต้า ขณะเดียวกัน พวกเขาก็บอกว่า จังหวัดเกิ่นเทอ (Can Tho) นั่นแหละคือ ศูนย์กลางของที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขงอย่างไม่ต้องสงสัย
นครเกิ่นเทอ อยู่ห่างจากโฮจิมินห์ลงไปทางใต้ประมาณ 170 กม. เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำของจังหวัดลุ่มน้ำโขง13 จังหวัด รั้งตำแหน่งเมืองใหญ่อันดับ 4 ของเวียดนาม
"แม่โขงเดลต้าต่อไปจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญมากในอนาคต ทั้งเรื่องเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และการขนส่ง เพราะตรงนั้นจะเป็นจุดที่สามารถเชื่อมโยง 4 ประเทศในภูมิภาคอินโดจีนเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีเกิ่นเทอที่เป็นยุทธศาสตร์ เพราะเป็นเมืองใหญ่ มีความเจริญมาก เป็นเหมือนศูนย์กลางทางใต้เลย จากเกิ่นเทอก็จะไปได้ทุกจังหวัด ถือว่ามีศักยภาพมาก" สุขสันต์ เจียมใจสว่างฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เขตประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เครือเจริญโภคภัณฑ์ให้ความเห็น
ไม่ต่างจากรายงานของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งให้รายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นแหล่งผลิตและจำหน่ายข้าว ผลไม้ พืชอุตสาหกรรมเขตร้อน และสินค้าด้านประมง อีกทั้งการพัฒนาของเมืองอย่างต่อเนื่อง เพราะสภาพดินเป็นที่ลุ่มมีความอุดมสมบูรณ์ กินเนื้อที่ประมาณ 78 เปอร์เซ็นต์ของแม่โขงเดลต้า ทำให้เกิ่นเทอมีพื้นที่เกษตรประมาณ 237,000 เฮกตาร์ หรือราว 1.48 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่นา สวน พื้นที่สำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจระยะสั้นต่างๆ
"ตอนนี้เริ่มมีการพัฒนาเพื่อสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับประชาชน โดยเพิ่มพื้นที่อุตสาหกรรมให้มากขึ้น" ประเทือง ไกลกลางดอน ที่ปรึกษาด้านการลงทุนในเวียดนาม ที่มาลงหลักปักฐานเป็นเขยเกิ่นเทอเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เหมือนอย่าง 2 ฟากฝั่งของ "ตลาดน้ำก๊ายรัง" (Cai Rang Floating Market) จุดบรรจบของ คลอง 7 สายศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าเกษตรนานับชนิดอันมีเอกลักษณ์ของที่นี่
"มีอะไรขายก็แขวนขึ้นไว้บนยอดเสานั่นแหละครับ" เขาชี้ให้เห็นพวงผักผลไม้ที่ถูกแขวนเรียงรายอยู่
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักธุรกิจแล้ว เกิ่นเทอก็ยังถือเป็นแหล่งศูนย์รวมของสินค้าเกษตรนานับชนิด และขึ้นชื่อระดับที่มีคำเล่าขานสืบต่อกันมาว่า
"เกิ่นเทอนั้นมีข้าวขาวและน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งยากที่ผู้คนมาเยือนต้องจากไป"
หรืออีกนัยหนึ่ง...
"สาวงามเมืองเกิ่นเทอ" ก็ถือเป็นไฮไลต์สำหรับหนุ่มๆ ต่างถิ่นที่มักมาหลงเสน่ห์สาวลูกครึ่ง "เขมรญวน" บางนี้ก็หลายคน
...รอยยิ้มของเขยเกิ่นเทอคนเดิมก็ผุดขึ้นมาแทนคำตอบ
คู่ค้าหรือคู่แข่ง
ด้วยสภาพพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทำให้ เกิ่นเทอสามารถวางตัวเองให้เป็นศูนย์กลางของภาคเกษตรกรรมของแม่โขงเดลต้าได้ พื้นที่นา 170,000 เฮกตาร์ หรือราว 1.06 ล้านไร่ และครองสถานะภาคการผลิตเพื่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ
ทำให้ที่นี่มีสถาบันวิจัยข้าว ที่รับผิดชอบการวิจัยและพัฒนาข้าวสำหรับพื้นที่เพาะปลูกในบริเวณสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงในภาคใต้ของเวียดนาม โดยได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือในการวิจัยและพัฒนาข้าวจากหน่วยงานและรัฐบาลต่างประเทศเป็นจำนวนมากถึง 11 แห่ง
แม้วันนี้เค้าลางของอุตสาหกรรมจะเริ่มรุกคืบเข้ามา แต่หากมองในภาพใหญ่นอกจากเกิ่นเทอ ก่าวมาว (Ca Mau) เกี๋ยนซาง (Kien Giang) และอันซาง (An Giang) กงสุลใหญ่ไทยจัดให้เป็น "จุดยุทธศาสตร์" การเกษตรที่สำคัญ แม่โขงเดลต้าก็ยังคงโดดเด่นในด้านการเกษตรอยู่
โดยเฉพาะ "ข้าว"
รายงานจากกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์พบว่า ในปี พ.ศ.2553 เวียดนามสามารถผลิตข้าวเปลือกได้ 39 ล้านตัน รองรับการบริโภคราว 1.2 -1.4 ล้านตัน/ปี ขณะที่ส่งออกข้าวได้ 6.4-6.5 ล้านตัน ไปตลาดฟิลิปปินส์ คิวบา บังคลาเทศ เป็นต้น ซึ่งทางการเวียดนามมีนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านอาหารแห่งชาติ อาทิ การรักษาพื้นที่เพาะปลูกให้ได้ 23.75 ล้านไร่ไปจนถึงปี 2573 ส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรรวมทั้งร่วมมือกับกัมพูชาตั้งองค์กรส่งออกข้าวเพื่อให้ข้าวเวียดนามเอาไว้ "ขาย" เพียงอย่างเดียว
นั่นหมายความว่า ไทยกำลังเผชิญหน้ากับการแย่งตลาดข้าวจากเวียดนาม ?
"ข้าวไทยคุณภาพจะดีกว่าเวียดนาม เพราะเป็นข้าวเมล็ดยาว ส่วนใหญ่ราคาขายเราจะแพงกว่าเวียดนาม อินโด มาเลย์ คิวบา พวกนี้จะผูกขาดเลย เพราะราคาถูกกว่า ค่าขนส่งก็ถูกกว่า ราคาข้าวก็ถูกกว่าตันละ 40-50 เหรียญ(สหรัฐฯ) น่ะครับ" สมชาย ศรีสถิตย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟูดเทค จำกัด (Foodtech) บริษัทแปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์ ที่เข้าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายข้าวเวียดนามเปรียบเทียบความแตกต่าง
แต่ถ้าถามว่าแข่งกันไหม เขามองว่า "ไม่เชิง"
"เราเป็นพันธมิตรกันมากกว่า เพราะตอนนี้ก็มีอินเดียที่เข้ามาตีพวกเรา ก็ต้องช่วยกันมากกว่า"
ไม่ต่างจากประเทืองที่มองว่า หากเปรียบเทียบกันจริงๆ ข้าวไทย และข้าวเวียดนาม ทำการค้าคนละตลาดกันอย่างเห็นได้ชัดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น อนุสนธิ์ ชินวรรโณ เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามยังเคยเปิดประเด็นในหน้าหนังสือพิมพ์ว่าไทย น่าจะมีโอกาสขายข้าวในตลาดเวียดนามได้ด้วยซ้ำ เพราะทัศนคติของคนเวียดกับสินค้าไทยค่อนข้างเป็นที่นิยม
ที่สุดแล้ว ผลที่น่าจับตามองและร่วมผลักดันให้เกิดอย่างยิ่งก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความร่วมมือเพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมมากกว่า และสิ่งเหล่านี้เองจะผูกโยงกลายเป็นสายสัมพันธ์อันดีต่อกันไปไม่รู้จบในอนาคต