ขบถ วัยเ(ก)รียน

ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยการเรียกร้อง 'สิทธิ' ในประเด็นต่างๆ ยังคงมีให้เห็น และเมื่อถึงยุคของคนเจนเนอเรชั่นใหม่
การเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการนั้น 'อาจจะ' น่ากลัวจนถึงขั้นเกินขอบเขตของคำว่า 'เสรีภาพ'
ภาพโปสเตอร์เจ้าปัญหาที่ถูกแปะตามบอร์ดต่างๆ ทั่วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ยังคงเป็นกระแสแรงต่อเนื่องยาวนานหลายสัปดาห์ ถึงแม้เจ้าของโปสเตอร์จะออกมาพูดเคลียร์ข้อข้องใจให้ชาวไทยทั้งประเทศได้รับทราบกันแล้วว่าโปสเตอร์ดังกล่าวเป็นเพียงสื่อรณรงค์ในแคมเปญของกลุ่มอิสระที่มีแนวคิดแตกต่างไปเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะยุแยงให้คนแหกคอกนอกกรอบ
"เราเพียงแต่อยากเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างการเลือกที่จะ 'ใส่' หรือ 'ไม่ใส่' เครื่องแบบเท่านั้นเอง" เจ้าของโปสเตอร์ชี้แจง
ในขณะที่การรณรงค์ของกลุ่มอิสระกลุ่มนี้ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงสนับสนุน และเสียงคัดค้าน สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลสรุปจะออกหัวหรือก้อย แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นกลับอยู่ที่วิธีการแสดงออกของพวกเขา คนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัลมีวิธีการแสดงออกที่หลายคนมองว่ารุนแรง และเสื่อมเสียต่อศีลธรรมอันดีงามของคนไทย
จริงหรือไม่ ที่เด็กสมัยนี้ใช้คำว่าสิทธิเสรีภาพกันพร่ำเพรื่อจนเกินงาม เรียกร้องสิ่งที่ต้องการมากเกินไปจนเป็น 'ขบถเด็กยุคใหม่' อย่างที่ใครๆ พูดกัน
ขบถยุคใหม่ ไม่ใส่เครื่องแบบ?
คำว่า 'ขบถ' คงไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคมไทย ว่ากันว่ากลุ่มคนในวัยศึกษาเล่าเรียนต่างผ่านการเป็นขบถกันมาแล้วทั้งนั้น แตกต่างเพียงรูปแบบการแสดงออกหรือบริบท ณ ขณะนั้น เท่านั้นเอง
ที่ผ่านมา สังคมถูกตั้งคำถามจากเด็กวัยรุ่นมาหลายกรณี ทั้งเรื่องทรงผมนักเรียนหญิง-ชาย เครื่องแบบนักเรียน การรับน้อง จนถึงกรณีล่าสุดของ อั้ม เนโกะ เจ้าของโปรเจคการรณรงค์ให้นักศึกษาธรรมศาสตร์มีสิทธิ์เลือก ใส่ หรือ ไม่ใส่ ชุดนักศึกษาเข้าเรียนได้ทุกวิชา ซึ่งกรณีนี้ถูกมองว่าเป็นขบถทางความคิดอีกแบบหนึ่งของเด็กสมัยใหม่ ที่สร้างอิมแพ็คให้กับสังคมไทยได้อย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะในแง่บวกหรือลบก็ตาม
คำถามที่ตามมาคือ แล้วการใส่ชุดนักศึกษาเข้าเรียนและเข้าสอบนั้นมันเหลือบ่ากว่าแรงของเด็กสมัยนี้แล้วหรืออย่างไร
"การเป็นนักศึกษา เรามีสิทธิ เรามีความเป็นมนุษย์เต็มที่ เราเรียนรู้ถึงความหลากหลายมากกว่าการที่จะมาบังคับให้แต่งตัวในแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นการปิดกั้นทางความคิดอย่างหนึ่ง เลยเอาเรื่องเซ็กซ์มาโยงกับชุดนักศึกษาตรงที่ว่า เซ็กซ์ใช้เป็นภาพแทนของสิ่งที่สังคมไทยไม่ยอมรับ ส่วนชุดนักศึกษาเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับว่าดีงาม แล้วเอาสองสิ่งนี้มา Contrast กัน
ในภาพนี้ต้องการสื่อว่าสิ่งดีงามนั้นถูกท้าทายด้วยอำนาจของสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ ก็นำไปสู่การกระตุกต่อมคิดของคนในสังคม เราออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ก็เพราะว่า ต้องการให้เกิดความหลากหลายของแนวคิด และอยากตั้งคำถามกับสังคม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะอยากไปบังคับสังคมให้เหมือนเรา เพียงแต่อยากให้เข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอไป เหตุผลจริงๆ คืออะไรอยากให้มองด้วย ไม่ใช่ว่าสรุปเองและเหมารวมไปก่อน" อั้ม เนโกะ อธิบายถึงประเด็นดังกล่าว
ด้วยความเห็นในทิศทางเดียวกัน เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล เลขาธิการสมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติระบบการศึกษาไทย ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ว่า กรณีของอั้ม เนโกะ ที่ออกมาทำสื่อรณรงค์ครั้งนี้เป็นสิ่งที่เด็กทำได้ และไม่ได้รุนแรงเกินไป
"เรื่องการให้พื้นที่ในการแสดงออก ผมว่าวันนี้มันอันตรายมากที่ผู้ใหญ่ควบคุมพื้นที่ทั้งหมด ผมว่าแบบนี้คือมองคนไม่เท่ากัน ทางที่ดีคือไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กก็คนเหมือนกัน ควรมองให้เสมอกัน ควรมีพื้นที่ในการแสดงออกเท่ากัน แต่ถ้าผู้ใหญ่มาบอกว่าต้องแบ่งพื้นที่ให้เราจากพื้นที่ทั้งหมดของเขา นั่นมันเหมือนเป็นแนวคิดเหลื่อมล้ำ เป็นแนวคิดที่ไม่ได้ดูที่ความรู้ ไม่ได้ดูที่คุณธรรม ดูกันแค่ช่วงวัยเท่านั้นเอง"
เขาบอกอีกว่า ข้อเรียกร้องต่างๆ ที่เด็กยุคนี้เรียกร้องกันขึ้นมา พวกเขาเพียงแต่อยากจุดประกายความคิดต่างให้เกิดขึ้นมาในสังคม และขึ้นอยู่กับคนในสังคมเองว่าจะมองเห็นประกายไฟนั้นหรือไม่
เสรีภาพที่(อาจ)เกินพอดี
แม้ว่าโปรเจคการณรงค์ให้เลือกใส่หรือไม่ใส่เครื่องแบบฯ จะทำในนามกลุ่มอิสระ แต่ด้วยความแรงของภาพโปสเตอร์และความกล้าของคนรุ่นใหม่ที่อาจจะเกินไป จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้หวังดีออกมาทักท้วงในเรื่องของความเหมาะสม และการแสดงออกอย่างเสรีที่อาจจะเกินคำว่าพอดี
แง่มุมนี้ ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อสาธารณะ ได้ออกมาแสดงทัศนะกับสื่อหลายแขนงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสรุปใจความได้ว่า
"ขบถวัยรุ่นในแต่ละยุคแสดงออกเหมือนๆ กัน คือการลุกขึ้นประท้วงต่อต้านสิ่งที่พวกเขาเห็นว่ากำลังคุกคามเสรีภาพหรือการแสดงออกของเขา แต่ขบถเด็กยุคนี้แตกต่างไปจากเดิมตรงที่ 'การให้เหตุผล' ในการออกมาต่อต้าน นั่นคือเด็กยุคนี้มักมีข้อเรียกร้องโดยยึดมองตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ตัวเองเป็นเป้าหมายสำคัญ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อบังคับทางสังคม เช่น การแต่งชุดนักศึกษา จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะมีเด็กกลุ่มหนึ่งกล่าวอ้างถึงสิทธิโดยเพิกเฉยต่อความเป็นพื้นที่สาธารณะ"
ด้าน ชนิดา ชิตบัณฑิตย์ อาจารย์ประจำสาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็สะท้อนความเห็นในทำนองเดียวกันว่า ในยุคก่อน จะเห็นว่านักศึกษามักออกมาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่อยู่ภายใต้กรอบที่ถูกกำหนดจากสังคม ซึ่งมองว่าเป็นตัวแทนของระบบสังคมที่เข้ามาควบคุมวิถีชีวิต และความคิดของพวกเขา
"แต่ข้อเรียกร้องของนักเรียนนักศึกษาในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างจากสังคมสมัยก่อน ตรงที่ยุคปัจจุบันมีการเรียกร้องสิทธิในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น คือไม่จำกัดอยู่เพียงเรื่องการเมือง ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสมัยนี้ยังอ้างสิทธิที่จะไม่ทำ ท้าทาย หรือ ต่อรองกับกฎระเบียบในหลายรูปแบบในชีวิตประจำวันของพวกเขาอีกด้วย เขาสามารถเชื่อมโยงการตั้งคำถามต่อกฎระเบียบ ประเพณีดั้งเดิมต่างๆ อย่างวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น และสะท้อนความคิดของพวกเขาที่ว่า แนวคิดเดิมๆ ที่เคยเป็นเหตุเป็นผลและยอมรับได้ของสังคมสมัยก่อนนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์พวกเขาอีกต่อไปแล้ว"
ในที่สุดการ 'ไม่ทำ ท้าทาย หรือ ต่อรองกับกฎระเบียบ' ของเด็กๆ นี่เองที่อาจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ใหญ่ไม่อาจจะตีกรอบพวกเขาได้อีกต่อไป
สิทธิ VS ระเบียบวินัย
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น อาจทำให้สังคมมองว่าเด็กสมัยนี้ดูแรง ดูกล้ามากขึ้น แต่การจะถ่ายทอดและบ่มเพาะให้คนรุ่นใหม่เข้าใจกับคำว่า 'สิทธิ' และ 'ระเบียบวินัย' ได้อย่างลึกซึ้งนั้นก็ยังคงต้องเป็นหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่ได้ของผู้ใหญ่ในสังคม
อาจารย์ชนิดาตั้งข้อสังเกตประเด็นนี้ว่า สังคมไทยยังไม่เปิดโอกาสให้มีเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดของคนรุ่นใหม่ได้อย่างเต็มที่ เพราะสังคมไทยยังติดอยู่ในกรอบความคิดแบบมายาคติที่มีต่อนักเรียนนักศึกษาว่าต้องเป็นไปตามกรอบที่สังคมกำหนด คือ เชื่อฟัง และ ไม่ตั้งคำถาม
และยังสะท้อนให้เห็นถึงการปะทะกันของแนวคิดระหว่างกระแสโลกานุวัตร กับ ประเพณีดั้งเดิม ที่คนรุ่นใหม่ตั้งคำถามและเรียกร้องวิถีชีวิตที่แตกต่างจากระเบียบประเพณีเดิม
สังคมไทยยังต้องการให้มหาวิทยาลัยทำหน้าที่ผลิต "พลเมือง" ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าสู่ตลาดในระบบทุนนิยม มากกว่าผลิตบุคคลที่มีความคิดและสามารถตั้งคำถามกับสังคมได้ สังคมไทยมีความเกลียดชังคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากตนเอง และไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิดอย่างแท้จริง
"จริงๆ แล้วคำว่า 'ระเบียบวินัย' เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในสังคมสมัยใหม่ ถูกนำมาใช้ในการควบคุมวิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบ และขับเคลื่อนสังคมให้ดำเนินไปภายใต้การปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็พึงมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัยและความเหมาะสม และไม่พึงละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิเสรีภาพในความเป็นมนุษย์ขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิในการพูด สิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง และสิทธิที่จะกระทำ หรือ ไม่กระทำ ในสิ่งที่ไม่ไปทำร้ายชีวิตผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องยอมรับ และก้าวข้ามให้พ้นความเกลียดชังที่มีต่อคนที่ความคิดเห็นแตกต่างจากตนเองให้ได้"
หากสังคมไทยยังต้องการบุคลากรของประเทศที่มีประสิทธิภาพ ก็ต้องกลับมาดูกันว่าวันนี้เราได้ให้พื้นที่กับคำว่า 'สิทธิ' กับเด็กรุ่นใหม่มากแค่ไหน ได้อบรมและทำความเข้าใจเรื่อง 'ระเบียบวินัย' อย่างลึกซึ้งและจริงใจต่อกันหรือเปล่า
เรื่องนี้แม้แต่เจ้าของโปสเตอร์เจ้าปัญหาเองก็ออกมายอมรับเช่นกันว่า "คำว่าระเบียบวินัยในสังคมยังต้องมีค่ะ แต่ต้องแยกออกจากสิทธิขั้นพื้นฐาน ประเทศนี้ต้องมีระเบียบวินัยไม่งั้นประเทศก็ล่ม เราเพียงแต่มองว่าสิทธิขั้นพื้นฐานก็น่าจะคู่กับระเบียบวินัยไปด้วยกัน"