เก็บตกจากเทศกาลดนตรีและศิลปะการแสดงครั้งที่ 15

เก็บตกจากเทศกาลดนตรีและศิลปะการแสดงครั้งที่ 15

บวรพงศ์ ศุภโสภณ เขียนถึง Internation Bangkok Festival of Dance and Music ที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ผ่านพ้นกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ เทศกาลดนตรีและศิลปะการแสดงนานาชาติ ครั้งที่15 (Bangkok 15th International Festival of Dance and Music) ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่13 กันยายน ถึงวันที่14 ตุลาคม พ.ศ.2556 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เทศกาลทางศิลปะการแสดงที่ดูจะทำให้ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ได้ถูกใช้งานต้องตามวัตถุประสงค์แห่งการก่อสร้างและมีขึ้นของสถานที่ทางศิลปวัฒนธรรมแห่งนี้มากที่สุด เพราะได้ใช้เพื่อการแสดงทั้ง อุปรากร,บัลเลต์,นาฏลีลาชนชาติ,ดนตรีแจ๊ซ ตลอดไปจนถึง ซิมโฟนีคอนเสิร์ต

การแสดงทั้งหมด 17 รายการอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่ากันหมดทุกรายการ (พิจารณาทั้งด้านจำนวนผู้ชมและคุณภาพของแต่ละการแสดง) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการแสดงที่หลากหลาย จากประเทศต่างๆ ย่อมมีความลดหลั่นกันไปบ้าง แต่ทั้งหมดนี้ก็นับได้ว่าเป็นเทศกาลที่มีคุณูปการต่อผู้รักและชื่นชมในศิลปวัฒนธรรมในบ้านเรา ที่ได้นำพาคณะนักแสดงสาขาต่างๆ มาเปิดการแสดงให้เราได้รับชมกันจริงๆ สดๆ ในประเทศไทย ด้วยสนนราคาที่ไม่สูงจนเกินเอื้อม (ยิ่งเปรียบเทียบกับคอนเสิร์ตเพลงยอดนิยมวัยรุ่นบ้านเราก็คงชัดเจนยิ่งขึ้น) นี่จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้รักศิลปชาวไทยได้มีโอกาสหาประสบการณ์ชมการแสดงในสาขาต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนหลากหลายโดยไม่ต้องเดินทางออกไปแสวงหาประสบการณ์ดีๆ เหล่านี้ในต่างประเทศ

ผมเองได้มีโอกาสไปชมการแสดงในเทศกาลนี้บ้างบางรายการ ซึ่งจะขอนำประสบการณ์เหล่านั้น มาถ่ายทอดในความประทับใจ,ข้อคิดและบทเรียนต่างๆจากการชมการแสดงในบางรายการดังนี้

ซิมโฟนีคอนเสิร์ตสายพันธุ์รัสเซีย

มักจะเป็นที่ซุบซิบกันในหมู่ผู้รักดนตรีคลาสสิกวงในอยู่เสมอเกี่ยวกับการจัดการแสดงซิมโฟนีคอนเสิร์ตในเทศกาลนี้ทุกๆ ปี ที่ใช้วงออร์เคสตราบรรเลงประกอบการแสดงรายการอื่นๆ อยู่แล้ว ทั้งอุปรากรและบัลเลต์ มาจัดการแสดงซิมโฟนีคอนเสิร์ตเพิ่มขึ้นอีก1รายการ ซึ่งก็มักจะเป็นวงระดับชั้นรองๆ ในรัสเซีย และในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน การแสดงของ วงออร์เคสตราจากคณะ เฮลิคอน-โอเปรา (Helikon-Opera) จากกรุงมอสโคว์ (Moscow) ภายใต้การอำนวยเพลงโดย เยฟเกนี บราชนิค (Evgeny Brazhnik) ในค่ำวันพุธที่18กันยายน พ.ศ.2556 นั้น ยังคงถือได้ว่าเป็นวงระดับชั้นรองจากรัสเซีย หากแต่กลับสามารถสร้างความประทับใจได้อย่างเหลือเชื่อ แม้กลุ่มเครื่องเป่าจะเพียบพร้อมเต็มอัตรา แต่กลุ่มเครื่องสายอยู่ในราวๆ 20คน เมื่อมองดูจากสายตาและคิดถึงบทเพลงแนวโรแมนติกทั้ง 3 เพลง อาจมองดูว่าเป็นเรื่องน่าขัน กลุ่มเครื่องสายเพียง 20 คนจะรับมือกับกลุ่มเครื่องเป่าเต็มอัตราและเพลงแนวโรแมนติกหนักๆ แบบนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเสียงเพลงเริ่มดังขึ้นภาพที่เราเห็นด้วยสายตา(ก่อนวงจะเริ่มบรรเลง)กับเสียงดนตรีที่ได้ยินมันตรงกันข้ามกันแบบคนละขั้ว

ซิมโฟนีหมายเลข 3 (มีฉายาว่า Polish) ของ ปีเตอร์ ไชคอฟสกี (P.Tchaikovsky) ที่เปิดรายการเป็นเพลงแรก สามารถทำให้ผมย้อนรำลึกไปเมื่อกว่า 20 ปีก่อนได้ดี เมื่อครั้ง วงซิมโฟนีออร์เคสตราระดับหมายเลขหนึ่ง จากรัสเซียสองวง (วงแห่งชาติ และ วงมอสโคว์ ซิมโฟนีฯ) มาเปิดการแสดง ณ เวทีเดียวกันนี้ (ในปี พ.ศ.2532 และ 2534 ตามลำดับ) และถ้าจำไม่ผิด นี่คือการบรรเลงซิมโฟนีหมายเลข 3 ของ ไชคอฟสกีรอบปฐมทัศน์ในบ้านเรา เสียงของกลุ่มเครื่องสาย จากวงออร์เคสตราเฮลิคอนวงนี้ จัดจ้าน,แสบสันต์ และทรงพลังเกินตัว สามารถสู้กับกลุ่มเครื่องเป่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้นักไวโอลินแนวที่หนึ่งเก้าอี้สุดท้าย ก็สังเกตได้ชัดเจนว่า มีเทคนิคทั้งมือซ้ายและมือขวาที่ดูคล่องแคล่ว,งดงามมากทีเดียว, ปี่โอโบ(Oboe)ที่ฟังดูมีสีสัน,น้ำเสียงที่แปลกหูกว่าที่คุ้นชินกัน แต่ก็ฟังดูว่ามีความเป็นเลิศในแบบ-ทาง ที่เป็นสำนัก(รัสเซีย)ของตัวเอง ความเร็วของจังหวะในดนตรีทั้ง 5 ท่อนเร็วกว่าค่าเฉลี่ยในความรู้สึกที่พวกเราชินกับวงออร์เคสตราทั่วๆ ไป

แต่ที่ดูจะยิ่งทำให้เราทึ่งมากยิ่งขึ้นไปกว่าก็คือ การแสดงในครึ่งหลังที่ วงซึ่งมีเครื่องสายขนาดย่อมแบบนี้ กล้าเลือกที่จะบรรเลงบทเพลงฟอร์มยักษ์ อย่าง Pictures at an Exhibition ของ โมเดสท์ มูสซอร์กสกี (Modest Mussorgsky) กลุ่มเครื่องเป่าถูกเสริมเข้ามามากขึ้นอีก ในขณะที่กลุ่มเครื่องสายมีจำนวนเท่าเดิม การบรรเลงเต็มไปด้วยลีลาและความร้อนแรงแบบ “สำนักรัสเซีย” (Russian School) ที่ปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า “หายากเต็มที” นั่นคือการบรรเลงแบบดุดัน,เต็มแรง เกินร้อย และไม่ต้องคำนึงถึง ความเนียน,เรียบ,เนี้ยบ ไร้ตะเข็บ แบบพวกวงยุโรปหรือ วงอเมริกัน (ในยุคปัจจุบัน) นี่คือจุดแตกต่างและความโดดเด่นของสำนักรัสเซีย ที่เราสัมผัสได้ชัดเจนในการบรรเลงครั้งนี้

เสียงทรัมเป็ตเดี่ยวป่าวประกาศในช่วงเริ่มต้น(Promenade)นั้น ดังจนอาจเรียกได้ว่าแผด และความดุดันแบบไม่ต้องบันยะบันยังกันนี้ ก็ส่งผลทำให้เกิด อาการ “หลุด” ตามมาในบางจุด,บางที่ นั่นคือสิ่งที่พวกเขายอมแลก ถ้าดนตรีคือชีวิต วงออร์เคสตราแนวรัสเซียพันธุ์แท้แบบนี้ มักจะแอบกระซิบบอกกับพวกเราเป็นนัยๆ ว่า พวกเขาขอบรรเลงแบบ ถวายหัว,สุดตัว ทุ่มให้สุดเสียง หมดใจ ไม่มีเหลือ และ......แน่นอนคนที่ทุ่มเททำงานสุดตัวแบบไม่เคยระวัง ก็มักจะผิดพลาด(เล็กๆน้อยๆ)บ้างเป็นธรรมดา และบทเพลงปิดท้ายรายการ คือ Polovtsian Dances จากอุปรากรเรื่อง Prince Igor ผลงานของ อเล็กซานเดอร์ โบโรดิน (Alexander Borodin) โดยใช้คณะนักร้องประสานเสียง ชาย-หญิงเต็มอัตรา เข้ามาสมทบ ซึ่งทำให้เราได้รับประสบการณ์ ในการฟังการขับร้องประสานเสียงในลีลาอันดุดันแบบสำนักรัสเซีย ที่แปลกและโดดเด่น

แม้ผมจะนั่งอยู่ไกลถึงชั้น 2 ของสถานที่แสดง แต่สามารถสังเกตได้จากสายตาอย่างชัดเจนว่า นักร้องทุกๆ คน เปิดปากกว้างมากอย่างเห็นได้ชัด พลังเสียงร้องที่ออกมาจึงทรงพลังและฟังดูมีอำนาจ ผนวกกับลีลาการบรรเลงอันเกินร้อยของวงออร์เคสตราแล้ว

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมขอใช้คำว่า “ขนลุก” ได้อย่างไม่ต้องลังเล ม่านเหล็กทางระบอบการปกครองในรัสเซียล่มสลายไปกว่า 20 ปีแล้ว แต่ความเป็นตัวของตัวเอง (Originality) ทางดนตรีแบบสำนักรัสเซียยังดำรงอยู่ และได้มาสำแดงตัวตนให้เราได้สัมผัสกันอีกครั้งหนึ่ง ความพิเศษทางดนตรีในแบบเฉพาะทางที่เราหาฟังได้ยาก ในยุคที่วัฒนธรรม, ดนตรี, ศิลปะ และความรู้สึกนึกคิดของผู้คนทั่วโลกได้หลั่งไหล-ผสมปนเปกันไปอย่างไร้พรมแดนแบบปัจจุบัน

กัลบกแห่งเมืองเซวิลล์-บ้านนี้วุ่นวายหนอ

แม้ว่าคณะอุปรากรเฮลิคอนโอเปรา จากมอสโคว์นี้ จะไม่ได้รับฉายา “บอลชอย” (Bolshoyที่แปลว่ายิ่งใหญ่) ห้อยท้าย แบบบางคณะที่เคยแวะเวียนมาแสดงในเทศกาลนี้เมื่อปีก่อนๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า บุคลากร,ศิลปินมีการหมุนเวียนเข้าออก ไม่คงที่ฉายาที่เคยได้รับในอดีตก็มิได้รับประกันความยิ่งใหญ่หรือคุณภาพได้ตราบนิรันดร์ นั่นก็คือ ผมต้องการที่จะสื่อความว่า มาตรฐานการแสดงของคณะอุปรากรเฮลิคอน ในเรื่อง “กัลบกแห่งเซวิลล์” (The Barber of Seville) ผลงานของ รอสซินี (G.Rossini) ในค่ำวันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556 นั้น สูงกว่าบางคณะที่ได้รับฉายา บอลชอย ซึ่งเคยดูมาในปีก่อนๆ วงออร์เคสตราที่บรรเลงประกอบนั้นพิสูจน์ฝีมือไปแล้วในค่ำคืนก่อน เมื่อมาบรรเลงประกอบการแสดงอุปรากรในภาพรวม จึงทำให้การแสดงอุปรากรเรื่องนี้สูงด้วยคุณภาพ ตาเฒ่าหัวงู คุณหมอ บาร์โตโล (Don Bartolo) ที่รับบทโดย ดมิทรี สกอริคอฟ (Dmitry Scorikov) นำแสดงในเรื่องได้อย่างโดดเด่นกว่าใคร ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงความสามารถด้านการขับร้องเลย แค่ในฐานะบทบาทนักแสดง เฒ่าหัวงู ที่ไม่เคยคิดปลงในทางโลกแต่กลับเฝ้าจ้องจะฮุบเด็กสาวในบ้านให้ได้

แม้ว่าลักษณะภายนอกจะเป็นอุปรากรชวนหัวที่ทำให้เราหัวเราะขบขันในการใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกวิถีทาง ชิงรักหักสวาท เพื่อแย่งสาวคนเดียวกัน แต่บทหญิงคนใช้ในบ้านที่ขับร้องในเชิงรำพึงรำพรรณ นินทานายในทำนองว่า “บ้านนี้วุ่นวายหนอ” ดูจะเป็นจุดสำคัญของเรื่องที่ทำให้เราต้องฉุกคิดว่า ถ้าเราหัวเราะในความวุ่นวายทั้งเรื่องนี้แล้ว ถ้าหากทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงๆ ในชีวิต มันคงหัวเราะไม่ออกแน่ เรื่องของความวุ่นวายที่มาจากความรัก, กิเลส, การหวงแหน-ครอบครอง และผลประโยชน์ที่ไม่เข้าใครออกใคร มนุษย์ยังคงเป็นเช่นนี้ ทุกยุคสมัย เรื่องที่น่าชื่นชมอีกก็คือ การมีบทละครแปลเป็นภาษาไทยขึ้นจอขนาดใหญ่ ขนาบทั้งซ้าย-ขวา ที่ทำให้ผู้ชมติดตามเรื่องราวได้อย่างสนุกสนาน และ “รู้เรื่อง” ในการชมการแสดง ผมเองไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แปลบท แต่ขอยกย่องชมเชยเป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นการแปลแบบถอดความ มิได้เป็นการแปลตามอักขระ จึงสามารถถ่ายทอด “รสชาติ” ของเนื้อเรื่องออกมาได้ตามวัตถุประสงค์ หลายตอนแปลเป็นบทกวี บางตอนใช้ภาษาแบบร่วมสมัย ที่สื่ออารมณ์ได้ชัดเจน ถือว่าตีบทแตกทางภาษาทีเดียว และนี่คือคุณูปการอันสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้เป็นข้อได้เปรียบสำหรับผู้ชมชาวไทย ซึ่งหากเราไปชมในต่างประเทศคงต้อง “ทำการบ้าน” อย่างหนักก่อนเข้าชมเป็นแน่

ชิค โคเรีย “เรารักทุกเสียงที่เกิดขึ้น”

อย่ามองข้ามคำกล่าวเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่ผ่านโลกผ่านประสบการณ์ทางความคิดมาอย่างโชกโชน ของศิลปินชั้นแนวหน้าทั้งหลาย มันมักจะเป็นคำพูดง่ายๆ เรียบๆ ที่มีความหมายหรือส่งสารอะไรอยู่มากมาย การแสดงของศิลปินแจ๊ส เปียโน-คีย์บอร์ด ชาวอเมริกันอย่าง ชิค โคเรีย (Chick Corea) และวง เดอะ วิจิล (The Vigil) ในค่ำวันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ.2556 ก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่ทักทายผู้ชมสั้นๆ แล้ว เขากล่าวเชื้อเชิญทุกคนให้ส่งเสียงใดๆ ก็ได้ออกมาอย่างไม่ต้องเกรงใจในระหว่างการแสดง เขาเน้นว่า “We love noise!” แน่นอนที่สุดคำว่า “Noise” ในที่นี้จะแปลตามดิกชันนารีตรงๆ ว่า “เสียงรบกวน” ไม่ได้แน่ มันน่าจะกินความไปถึงทุกๆ สรรพเสียงที่เกิดขึ้น หลังจากมีผู้ชมเป่าปากเสียงดังลั่น เขายิ้มชอบใจแล้วกล่าวตอบรับสั้นๆ “That’s cool!” นี่คือเสน่ห์และจุดแข็งอย่างหนึ่งของดนตรีแจ๊ส นั่นคืออิสรภาพทางความคิด ที่ดูว่าจะเปิดกว้างให้กับทั้งศิลปินและผู้ชมได้มากกว่าดนตรีคลาสสิก โดยธรรมชาติของตัวดนตรีเอง

ชิค โคเรีย อาจถูกจัดกลุ่มอยู่ใน ฟิวชันแจ๊ส (Fusion Jazz) แต่แน่นอนตลอดมาจนถึงปัจจุบันในวัยกว่า 70 ปี เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขาไปไกลกว่าคำจำกัดความใดๆ ที่จะอธิบายถึงเขาได้อย่างครอบคลุมทั้งหมด ตัวชิค โคเรียเองเสมือนเป็นสถาบันดนตรีแห่งหนึ่งไปแล้ว ศิลปินมากหน้าหลายตาที่สลับสับเปลี่ยนมาร่วมงาน ภายใต้ร่มเงาของเขา ณ ช่วงเวลาต่างๆ โดยที่เขายังเป็น “ตัวยืน” ทำให้เกิดการเรียนรู้ถ่ายทอดประสบการณ์ซึ่งกันและกันมาโดยตลอด (คล้ายกับวงดนตรี ฟองน้ำของบ้านเรา กับ อาจารย์ บรูซ แกซตัน) ตลอดการแสดงในคืนนั้น ชิค โคเรียเดินออกจากคีย์บอร์ด คว้าเครื่องประกอบจังหวะชนิดต่างๆ มาร่วมบรรเลงกับสมาชิกอย่างอิสรเสรี นอกจากกลองชุดแล้ว ลุยซิโต ควินเตโร (Luisito Quintero) คือ สมาชิกคนสำคัญอีกคนหนึ่งในตำแหน่งเครื่องประกอบจังหวะ (Percussion) แนวละตินสารพัดชนิด ที่คว้าเครื่องประกอบจังหวะสารพัดชนิดร่วมสน้างสีสันอันหลากหลาย ให้กับ “กลอนเพลง” ต่างๆ ที่เพื่อนๆ สมาชิกในวงได้ “ด้นสด” (Improvise) กันอย่างล้ำลึก กลอนเพลงที่ฟังดูผิวเผินจะเสมือนไร้ทิศทาง แต่มันได้ร่วมทางกันโคจรไปในแนวทางของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ ราวกับทิศทางการโคจรของดวงดาว ทิศทางที่กำหนดขึ้นกันสดๆ ในขณะบรรเลงด้วยระบบระเบียบที่มีพื้นฐานมาจากความรักความเข้าใจ จากการร่วมงานทางดนตรีด้วยกันนั่นเอง ใช่แล้ว “เรารักสรรพเสียง” (We love noise) ในมโนทัศน์ของ ชิค โคเรีย ย่อมมิได้หมายความเพียงแค่ “เสียงรบกวน”อย่างแน่นอน

บัลเลต์โรมิโอแอนด์ จูเลียต ปิดท้ายเทศกาล บทสาธิต และแรงบันดาลใจสำหรับศิลปร่วมสมัยในทุกแขนง

ผมค่อนข้างผิดหวังเมื่อแรกที่เห็นว่า การแสดงของคณะ แกรนด์บัลเลต์ จากกรุงเจนีวา ประทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งปิดท้ายเทศกาล ในค่ำวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2556 เป็นการ “เต้นกับเทป” ส่วนสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ผมอยากไปชมบัลเลต์ เรื่องนี้ก็คือดนตรีประกอบที่ประพันธ์โดย เซอร์เกย์ โพรโคเฟียฟ (Sergei Prokofiev) นั่นเอง แต่แล้วเพียงแค่การเปิดฉากเริ่มต้นก็ทำให้เราต้อง “อึ้ง” ไปทีเดียว บนเวทีมีเพียงแสงไฟสลัวๆกับ เวทีแพลทฟอร์ม (Platform) ที่เป็นทรงคล้ายลู่วิ่งทางโค้ง เพียงชิ้นเดียว และใช้เพียงเวทีนี้ตลอดการแสดงทั้งเรื่อง ไม่มีฉาก,ภาพวาด หรือองค์ประกอบอื่นใดอีก

นักแสดงหญิงคนหนึ่งเริ่มการแสดงเพียงคนเดียวด้วยการถือท่อยาวๆ จรดกับพื้น แล้วค่อยๆหมุนวนช้าๆ แล้วเร่งเร็วขึ้นๆ เกิดเสียง “วิ้งๆ” มันทำให้ทุกคนต้องอึ้งกับเสียงอันคงที่นั้น ราวกับการทำสมาธิ เสมือนกับการจะสื่อถึงการเล่าเรื่อง ว่านี่คือการย้อนเวลากลับไปสู่อดีต มันคือสิ่งที่เรียกว่า “ศิลปะร่วมสมัย” มันคือการตีความใหม่ จากวรรณกรรมบทละครอันแสนจะคลาสสิกของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ เมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่ถูกนำไปสร้างสรรค์ตีความใหม่มาแล้วอย่างนับครั้งไม่ถ้วน

ผู้กำกับถือว่าวรรณกรรมที่เก่าแก่เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันมานับร้อยปีเป็นอย่างดี จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมาแสดงเรื่องราวตามลำดับตามบทละครต้นแบบ และผู้ชมก็ควรจะรู้เรื่องเดิมมาเป็นอย่างดีแล้ว (และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น) มันจึงเป็นการตีความใหม่และ “เล่าเรื่อง” จากมุมมองใหม่ ด้วยการเริ่มต้นเรื่องด้วยฉาก ขบวนแห่ศพของโรมิโอ-จูเลียต ซึ่งตามลำดับแล้วมันเป็นตอนจบของเรื่อง เทคนิคท่าเต้นของนักแสดงคณะนี้มีความเป็นเลิศจนบางตอนนั้นราวกับไม่ใช่มนุษย์ “ท่าตาย”ของโรมิโอและจูเลียตนั้น แสดงได้ราวกับซากศพบนเวทีจริงๆ ฉากอัศจรรย์(Erotic)ซึ่งโรมิโอ-จูเลียตอยู่ในชุดที่ “พรางตา” ผู้ชมเมื่ออยู่บนเวทีจึงมองว่า ทั้งคู่ปราศจากเสื้อผ้า-อาภรณ์ ไฟบนเวทีปรับให้สลัวลง ช่วงนี้ไม่มีดนตรีหรือเสียงประกอบใดๆ “ความเงียบงัน”สำแดงศักยภาพขั้นสูงสุดของมัน สะกดผู้ชมทั้งโรงเงียบสนิทโดยอัตโนมัติ นี่คือแบบอย่างที่เราอาจกล่าวได้ว่า พลังทางศิลปะที่สะกดผู้ชมได้อย่างชะงัดโดยแท้จริง

นี่จึงเป็นการเล่าเรื่องใหม่,ตีความใหม่ ผ่านการเต้นบัลเลต์ที่ทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้องค์ประกอบทุกอย่างที่(จงใจ)ใช้อย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี,แสงสี,เครื่องแต่งกาย หรือฉากและอุปกรณ์เสริมใดๆ แต่ไม่ว่าเมื่อองค์ประกอบใดถูกนำมาใช้มันจะเต็มไปด้วยความหมายแห่งการสื่อสารอย่างสูงสุด ไม่เยิ่นเย้อ ฟุ่มเฟือย นี่จึงน่าจะเป็นบทเรียน-บทสาธิต สำหรับผู้เรียนศิลปะในทุกแขนง เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ศิลปะใดๆ ศิลปินควรจะต้องคิดหนักในการเลือกใช้องค์ประกอบ,เครื่องมือที่ไม่จำเป็นต้องมาก หากแต่ต้องสามารถปรับมันให้ทรงพลังในการแสดงออก และส่งผลกระทบทางอารมณ์,ความรู้สึกนึกคิดให้มากที่สุด นี่จึงน่าจะเป็นหัวใจสำคัญแห่งงานศิลปะในทุกแขนง คณะบัลเลต์จากสวิตเซอร์แลนด์คณะนี้ได้บอกกับเราให้ประจักษ์แจ้งผ่านการแสดงในครั้งนี้ของพากเขา เป็นบทเรียนในด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะที่จะต้องตราตรึงอยู่ในความทรงจำไปอีกยาวนาน

ทั้งหมดนี้เป็นความประทับใจ,ประสบการณ์ที่ได้รับจากการแสดงในบางส่วน จากทั้งหมด 17รายการของเทศกาลในปีนี้ เทศกาลที่ทำให้เราได้มีโอกาสเลือกชม ศิลปะการแสดง(Stage work) ได้เกือบครบทุกสาขา ประสบการณ์จริงทางศิลปะ ที่ส่งพลัง,แรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ได้รับชมการแสดงจริงๆ สดๆ ซึ่งการรับชมผ่านสื่อผลิตซ้ำทั้งหลายย่อมไม่อาจชดเชยได้ทั้งหมด ขบวนการสร้างสรรค์,ถ่ายทอด และรับชมศิลปะแบบนี้ ยังคงต้องการพื้นที่ซึ่งจะต้องให้มนุษย์มาชุมนุมอยู่ร่วมกัน ประดุจการประกอบพิธีกรรม

น่าเสียดายอยู่บ้างตรงที่ว่า การแสดงหลายรายการเป็นประดุจบทเรียนและประสบการณ์ทางศิลปะที่มิได้ทรงคุณค่าต่อผู้ชมทั่วไปเท่านั้น หากแต่มันยังเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่ายิ่งต่อนักเรียนดนตรีหรือผู้ศึกษาทางวิชาศิลปะการแสดงในสาขาต่างๆ ในบ้านเรา การแสดงดีๆ หลายรอบยังมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ไม่น้อย ถ้านักเรียนนักศึกษาเหล่านี้จะได้รับสิทธิพิเศษในการร่วมรับชมด้วยก็คงจะเป็นโอกาสดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาจะได้เปิดหู-เปิดตา รับชม “ของจริง" โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงต่างประเทศ

แม้ราคาบัตรเข้าชมนั้นจะไม่สูงจนเกินเอื้อม สำหรับชนชั้นกลางในเมืองกรุง ผู้ใฝ่หารสนิยมดีๆ แต่สำหรับนักเรียน,นักศึกษาทางศิลปะแล้ว ราคาบัตรขนาดนี้ยังอาจไม่ใช่เรื่องที่เข้าถึงอย่างสะดวกง่ายดาย หากทางผู้จัดจะได้ใช้ที่นั่งว่างๆในแต่ละรอบสร้างคุณูปการทางการศึกษาดนตรี-ศิลปะเสริมเข้าไปก็จะทำให้คุณค่านี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น.

.........................................


หมายเหตุ : บวรพงศ์ ศุภโสภณ จัดรายการสนทนาภาษาดนตรีทางวิทยุ อสมท เอฟเอ็ม 100.5 คืนเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00-24.00 น. และเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายในหัวข้อดนตรีคลาสสิกให้แก่หลายสถาบัน