อะไรจะเกิดขึ้นที่...เขาพระวิหาร

ช่วงนี้มีข่าวเรื่องคำพิพากษาของศาลโลกเรื่องเขาพระวิหาร รวมทั้งมีคำอธิบายมาจากนักวิชาการเยอะแยะ
ทั้งแผนที่สารพัดสารพันมาอธิบายจนชวนเวียนหัว และเป็นการยากมากที่คนไม่เคยไปเห็นเขาพระวิหารหรือสถานที่จริง จะนึกภาพออกว่าที่เขาเอ่ยถึงกันนั้น มันเป็นอย่างไรบ้าง “ชะง่อนผา”ที่ศาลว่าต้องมาตีความว่าหมายถึงตรงไหน อะไร ยังไง ผมโชคดีเคยไปเห็นปราสาทพระวิหารมาหลายครั้ง เลยอยากมาเล่าสภาพให้คนที่ไม่เคยไปฟังกัน
ใครจะไปเที่ยวเขาพระวิหาร ต้องเข้าทางกันทรลักษณ์ มุ่งหน้าไปเขาพระวิหาร ผ่านบ้านโดนเอาว์ ที่คนเขาเอามาล้อกันนั่นแหละ ผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทางซ้ายมือ แล้วเข้าไปอีก 3-4 กิโลเมตร ก็จะไปถึงลานจอดรถหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานฯเขาพระวิหาร ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง
เบื้องล่างคือแผ่นดินกัมพูชา แค่ทิวทัศน์จากศูนย์บริการนี้ก็สวยแล้วครับ ทางอุทยานฯ เขาพระวิหารเขาทำรั้วมากั้นหน้าผาไว้ (แต่เดิมไม่มี) ถ้าเราเดินเลาะแนวหน้าผาขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะถึงลานหินที่เรียกว่า 'ผามออีแดง' ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ทั้งจะเห็นร่องรอยของการขุด-สกัดหินเพื่อเอาไปทำปราสาทปรากฏอยู่ด้วย ใกล้กันจะมีทางเดินเล็กๆ เลียบลงไปยังเพิงผาใต้ผามออีแดงเพื่อลงไปดูรูปสลักเป็นบุคคลใต้เพิงผา ถ้าอยู่ถึงตอนเย็นได้จะมีฝูงค้างคาวออกมาจากช่องใต้หน้าผามออีแดง เป็นสายแบบที่เขาช่องพรานด้วย
จากผามออีแดง เดินเลาะหน้าผาต่อมาก็จะขึ้นเนินเล็กๆ ข้างบนมีศาลาเปิดโล่ง มีเสาธงชาติไทยตั้งอยู่ เสาธงนี้เราไม่เคยเอาธงลง เมื่อครั้งที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกในปี 2505 แล้วเราขอสงวนสิทธิ์ที่จะฟื้นคดีขึ้นมาอีก เราก็ยกเสาธงลงมาจากผาเป้ยตาดี ติดกับปราสาทเขาพระวิหารมาตั้งตรงศาลานี่เอง มาถึงศาลาแล้วมองไปทางปราสาท จะเห็นลานหินทรายและป่าเสม็ดแคระ พื้นค่อยๆ ลาดลงไป และเห็นสถูปคู่อยู่ไม่ไกล แต่ลงไปไม่ได้ มีรั้วลวดหนามกั้นไว้ จนไปจรดชายป่า แล้วจึงจะเป็นเนินผาค่อยๆ ลาดชันขึ้น เราก็จะเห็นแนวของทางเดินและปราสาทเขาพระวิหารบนสุดหน้าผา จากศาลาเสาธงนี้ ถ้าเรามองทางขวามือ พื้นก็จะค่อยๆ ลาดลงเช่นกัน เจอถนนลาดยางและลานจอดรถ แล้วพื้นจะลาดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 'สระตราว' แล้วพื้นก็จะเป็นเนินเขาที่ต่อเชื่อมกับภูมะเขือ
แต่เดิมถ้าเราจะเข้าไปเที่ยวปราสาทเขาพระวิหาร เราต้องเดินเท้าจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เดินไปเป็นร้อยเมตรตามทางลาดยาง จนถึงลานหินทรายที่เรียกว่าลานชมจันทร์ บนลานนี้มีคำจารึกของทหารไทยที่เขาจำใจต้องถอยร่นลงมาตามคำสั่งของศาลโลกเมื่อปี 2505 อย่างกินใจ รับรู้ถึงความรู้สึกว่าช้ำใจเพียงใด สุดปลายลานจะเป็นชายป่าและลำห้วยเล็กๆ เรียกว่าห้วยตานี ตรงนี้มีสะพานที่ทางเราไปทำไว้ มีทหารกัมพูชามาเก็บเงินค่าเข้า จากลำห้วยตานีเดินเข้าไปจะมีร้านค้าของชาวกัมพูชาขึ้นมาตั้งร้านขายของอยู่เต็ม จากร่องห้วยตานีเดินเข้าไปอีกนับสิบๆ เมตร ถึงจะถึงตีนบันไดทางขึ้นปราสาท ตามคำพิพากษาของศาล ให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชานั้นก็จะนับจากตีนบันไดนี้ขึ้นไปที่เป็นของกัมพูชา แต่ก่อนเห็นว่าเคยมีรั้วลวดหนามมากั้นขึงตั้งแต่ตีนบันได แต่ตอนผมไปเห็นรั้วลวดหนามก็ไม่มีแล้ว จนคนเข้าใจผิดว่าเขตกัมพูชาเริ่มตั้งแต่ตรงร่องห้วยตานีนั้นมาแล้ว
หลังจากนั้นก็เดินขึ้นไปตามขั้นบันไดทางขึ้น 162 ขั้น ระหว่างทางเจอบารายข้างทางจนถึงโคปุระชั้นที่ 1 ตรงนี้ทางด้านซ้ายมือที่เป็นหน้าผา จะเป็นทางเดินลงจากหน้าผาไปยังพื้นดินกัมพูชา เรียกว่า 'ช่องบันไดหัก' แล้วจึงเป็นทางเดินหินทรายมีเสานางเรียงสองข้าง ล้มบ้างตั้งอยู่บ้าง จนถึงโคปุระชั้นที่ 2 เข้าไปอีกหน่อยจึงจะเจอปราสาทหลังที่ 1 ต่อไปเป็นปราสาทหลังที่ 2 และเข้าไปข้างในจึงจะเห็นปราสาทประธานที่มีพระระเบียง ด้านที่หันเข้าหาปราสาทเปิดโล่ง ด้านหลังทึบ จึงเป็นทั้งกำแพงล้อมไปในตัว ถ้าเดินทะลุประตูออกมาทางขวาของระเบียงปราสาท จะเห็นเป็นซากปราสาทด้านนอกอีกหลัง และพื้นจะค่อยๆลาดลงไปอีกไกลจนจรดตีนเนินหน้าผาอีกลูก เขาลูกนี้คือ 'ภูมะเขือ' ระหว่างทางลาดไปจนจรดตีนภูมะเขือ เดี๋ยวนี้จะมีชุมชนชาวกัมพูชา วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และถนนที่กัมพูชาตัดขึ้นมายังเขาพระวิหารอยู่ในพื้นที่นี้ด้วย
ส่วนด้านหลังปราสาทจะเป็นหน้าผาหินทราย มีลานหินที่มีร่องรอยการตัด สลักหินไปทำปราสาท และฐานปูนเสาธงชาติไทยที่ถูกยกลงไปครั้งคำตัดสินของศาลโลกปี พ.ศ. 2505 รวมซากบังเกอร์ครั้งสงครามเขมร นี่คือผาเป้ยตาดีที่ว่าถึงกัน
ก่อนหน้านี้เราเห็นแผนที่ประเทศไทยด้านนี้จะไล่มาตามแนวหน้าผาตามหลักสันปันน้ำ จนมาถึงผาเป้ยตาดี แผนที่ก็จะตัดเว้ากันตัวปราสาทออก รวมมาตั้งแต่แต่ตีนบันไดขึ้นมาจนสุดผาเป้ยตาดี ให้เป็นอธิปไตยของกัมพูชาตามคำสั่งศาลโลกปี 2505 ผมไปแรกๆ ยังเคยเห็นรั้วลวดหนามมากั้นห่างจากด้านข้างตัวปราสาทไปหลายเมตรอยู่ แต่ก่อนเราเข้าใจกันว่า พื้นที่นอกแนวรั้วลวดหนามออกไปเป็นของเรา แต่พอมาฟังนักวิชาการหลายท่าน ปรากฏว่าพื้นที่ลาดตั้งแต่ตัวปราสาทออกไป เป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นของใคร พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่ว่ากันนั้นจึงกินพื้นที่ตรงนี้ไปด้วย
ที่เป็นปัญหาคือ ไทยกับกัมพูชาตีความคำพิพากษาศาลกันคนละเรื่องและเข้าใจกันคนละอย่าง ทั้งไม่ได้มาพูดคุยกันทั้งเรื่องการปักปันเขตแดนกันในพรมแดนบริเวณนี้ด้วย การปรากฏตัวของชุมชนกัมพูชาและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระในบริเวณนี้ จึงอาจจะเป็นผลมาจากการเข้าใจกันคนละอย่างและพาลเกิดความขัดแย้งกันขึ้น
คำพิพากษาของศาลเมื่อวันที่ 11 พ.ย.2556 ที่ผ่านมา สื่อมวลชนหลายฉบับ ลงข่าวไปในทำนองที่ว่าไทยเราเสียดินแดนไปแล้ว(อย่างน้อยก็มากกว่าเมื่อครั้งคำตัดสินปี 2505 หรือหาคลิปที่ท่านทูตวีรชัย พลาศรัย เข้าชี้แจงกับรัฐสภาเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 56 มาดูได้) แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ได้ฟันธงไปว่าเป็นไปแบบใดหรือพื้นที่ตรงไหนจะเป็นไปอย่างไร คงต้องมีการเจรจาพูดคุยกันระหว่างสองประเทศอีกที ใครไม่เคยไปเห็นสถานที่จริง อุทยานเขาพระวิหารเขาจะเปิดให้เที่ยวชมได้อีกครั้งวันที่ 16 พ.ย.56 นี้ครับ ไปเที่ยวกันได้
ที่น่าห่วงคือ กฎหมาย ม.190 ให้อำนาจรัฐบาลไปทำข้อตกลงกับต่างประเทศได้โดยไม่ต้องมาฟังความเห็นของสภาก่อนนั้น การเจรจาตกลงเรื่องเขตแดนตามคำสั่งศาล ประชาชนเราจะไม่รู้ว่าเขาตกลงตรงไหนอย่างไรกันนี่แหละที่ออกจะเป็นห่วง