เรื่อง(ไม่)ลับ โลงลงรัก

เรื่อง(ไม่)ลับ โลงลงรัก

แม้การไขปริศนาถ้ำผีแมนจะดำเนินมายาวนาน แต่การค้นพบโลงไม้ในถ้ำที่ถูกปิดลับแห่งนี้คือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเปิดเผยเรื่องราวเมื่อหลายพันปีก่อน

มองเผินๆ มันคือลำต้นของไม้สักยาวเกิน 3 เมตร ที่ถูกผ่าครึ่งและวางประกบกันไว้ ส่วนหัวมีการแกะสลักอย่างตั้งใจ ท่อนไม้นี้ถูกยกขึ้นวางพาดอยู่บนเสาสูงภายในคูหาถ้ำมืดทึบ...


ภารกิจเดินป่าป่ายปีนสิ้นสุดลงเมื่อหลักฐานชิ้นสำคัญปรากฎอยู่ต่อหน้า 'โลงผีแมน' ปริศนาที่นักวิชาการหลายสาขาร่วมกันไขคำตอบมาเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่ รศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับนักวิจัยหลายคนเดินทางมาสำรวจถ้ำนับร้อยในเขตอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อประมาณปีพ.ศ.2541-2543 ก่อนจะเริ่มลงมือขุดค้นอย่างจริงจังในปี 2544 -2545 ภายใต้โครงการโบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)


"ตอนนั้นเรามาขุดค้น 2 แห่ง คือ เพิงผาถ้ำลอดและบ้านไร่ แล้วก็ได้แหล่งโบราณคดีเพิ่มเติมเยอะมาก ทำให้ประวัติศาสตร์ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีความชัดเจนขึ้น คือผลของการขุดค้นที่ถ้ำลอดปรากฎว่าแหล่งโบราณคดีนี้อายุตั้ง 20,000 กว่าปี มันทำให้เพดานของความรู้เกี่ยวกับเรื่องคนที่อาศัยในแม่ฮ่องสอนย้อนกลับไปนานมาก คือก่อนประวัติศาสตร์ ถ้าเราดูหนังการ์ตูนเรื่องยุคน้ำแข็งในยุโรป ในแอฟริกา ตรงนี้ของเราในช่วงเวลาเดียวกันก็เริ่มมีคนแล้ว เพราะเราเจอโครงกระดูกที่เป็น Homo Sapien Sapien ซึ่งเก่าที่สุดในภาคเหนือ ร่วมสมัยกับยุคน้ำแข็งตอนปลายของทางยุโรป แสดงว่าในขณะที่ที่อื่นในยุโรปเป็นน้ำแข็ง เราไม่ได้เป็น แต่อากาศอาจจะหนาวกว่านี้ ป่าเป็นดงดิบที่ทึบ อันนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่เราไม่รู้เลย"


จากข้อค้นพบที่น่าตื่นเต้นในเรื่องการลงหลักปักฐานของผู้คนบนดินแดนแถบนี้ ความน่าตื่นตาตื่นใจอีกอย่างที่ทำให้ทีมขุดค้นไม่อาจละทิ้งพื้นที่ที่เต็มไปด้วยปริศนานี้ไปได้ ก็คือ "โลงไม้" ที่พบในถ้ำหลายแห่ง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "โลงผีแมน" (ผีแมน เป็นภาษาไทใหญ่ หมายถึง ผีที่โผล่ขึ้นมา)


พ่อหลวงซัวหยี้ แซ่หัน อดีตพ่อหลวงหมู่บ้านบ้านไร่ บอกว่า "ตอนผมมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ เกือบสี่สิบปีที่แล้ว ไปเที่ยวป่าก็เห็นโลงไม้ ตอนนั้นยังมีโลงที่สมบูรณ์มากห้อยอยู่บนหน้าผา สูงมาก คิดอยู่ในใจว่าคนสมัยนั้นทำไมมันเก่งขนาดนั้น เอาไปไว้ได้อย่างไร แต่หลังจากนั้นไม่ทราบว่าใครเอาไป พออาจารย์มาศึกษาผมเข้าไปอีกครั้งก็ไม่เห็นแล้ว"


แม้หลักฐานจะเสียหายไปมากก่อนการขุดค้น แต่การสำรวจที่เพิงผาถ้ำลอด เพิงผาบ้านไร่ ต่อไปยังถ้ำจ่าโบ่และอื่นๆ ทำให้ รศ.รัศมี และทีมวิจัยฯ ซึ่งประกอบด้วย ผศ.ทพญ.ดร.กนกนาฎ จินตกานนท์ มหาวิทยาลัยมหิดล, นัทธมน ภู่รีพัฒน์พงศ์ คงคาสุริยฉาย นักวิจัยด้านมานุษยวิทยากายภาพ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา นักวิจัยด้านธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ได้หลักฐานมากมายร่วมกับโลงไม้อีกนับร้อยโลง ทั้งเครื่องมือหินกะเทาะ กระดูกคน กระดูกสัตว์ ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ฯลฯ ทว่ากลับยังคงไขปริศนาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


"เรารู้ว่าโลงไม้เหล่านี้มีอายุราว 2,600-1,100 ปีมาแล้ว เวลาเราไขปริศนา มันจะเป็นเรื่องเวลาว่าเก่าแค่ไหน อยู่มากี่สมัย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ คนเป็นอย่างไรแล้วมาจากไหน ณ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราไม่รู้เลยว่าใครอยู่มาก่อนตรงนี้ ในตอนที่ทำงานวิจัยคราวที่แล้ว เราสันนิษฐานว่าคนที่ถ้ำลอด คนที่บ้านไร่ เป็นคนที่อยู่ต่อเนื่องและมาทำโลงไม้ตรงนี้ แต่พอยิ่งค้นไปเรื่อยๆ และมาขุดค้นในคราวนี้ ซึ่งเจอโครงกระดูกคนที่สมบูรณ์พร้อมหลักฐานอีกหลายอย่าง มันมีความคล้ายคลึงกับจีนตอนใต้ แต่เราก็ยังไม่ยืนยันจนกว่าเราจะทำการศึกษาเสร็จ"


การขุดค้นคราวนี้ที่ รศ.รัศมี เอ่ยถึง ก็คือ การขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีถ้ำโลงลงรัก ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคม 2556


.......................


ถ้ำโลงลงรัก เป็นชื่อที่เรียกตามสภาพโลงไม้ที่พบภายในถ้ำ แม้จะค้นพบโดยบังเอิญมากว่า 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งเปิดเผยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยพ่อหลวงบ้านวนาหลวง เสริมศักดิ์ มงคลชัยวารี แต่ยังไม่มีการศึกษาและเก็บข้อมูลทางวิชาการใดๆ กระทั่งโครงการสืบค้นและจัดการมรดทางวัฒนธรรมในอำเภอปาย-ปางมะผ้า-ขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระยะที่ 2 ได้เข้ามาสำรวจและเก็บข้อมูลทางโบราณคดี


ด้วยลักษณะของปากถ้ำที่แหงนหน้าขึ้น เริ่มแรกทีมวิจัยต้องใช้อุปกรณ์ปีนเขาโรยตัวลงไปด้านล่าง ก่อนจะสร้างบันไดไม้ไผ่ขึ้นเพื่อความสะดวกในการขึ้นลง สภาพภายในถ้ำค่อนข้างมืด ออกซิเจนน้อย และเต็มไปด้วยซอกหลืบผาหินที่ต้องอาศัยการปีนป่าย คลานลอดแนบไปกับพื้น การทำงานเป็นไปอย่างยากลำบากในพื้นที่แคบๆ แต่หลักฐานมากมายที่รอการเปิดเผยอย่างสงบนิ่งทั้งบนและใต้พื้นดินทำให้ทุกคนไม่ย่อท้อ


หนึ่งปีกับความทุ่มเท วันนี้ "ถ้ำใหม่" ซึ่งเป็นชื่อเรียกกันในหมู่นักวิจัยได้มอบข้อมูลใหม่มากมายที่เปรียบเสมือนการเติมจิ๊กซอว์ลงไปบนแผนภาพเดิม เหลือเพียงผลศึกษาในห้องทดลองเท่านั้นก็จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า นี่คือการค้นพบครั้งสำคัญสำหรับโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ซึ่งมันอาจไขปริศนาหลายๆ อย่างเกี่ยวกับคำถามสุดคลาสสิคที่ว่า "คนไทยมาจากไหน" รวมถึงความเชื่อมโยงของบรรพชนในภูมิภาคนี้


"พื้นที่ตรงนี้เราเจอโลงทั้งหมด 38 ฝา 19 โลง ซึ่งมากกว่าที่ถ้ำจ่าโบ่ หรือบ้านไร่ ความสำคัญของตรงนี้ก็คือ เราไม่เคยเจอโลงไม้ที่มีกระดูกอยู่ในโลง คือที่จ่าโบ่มีฝาแบบเดียวกัน แต่ไม่มีกระดูกอยู่เลย แต่ที่นี่มีโครงกระดูกอยู่ในโลงแล้วก็มีโครงกระดูกกระจายเต็มไปหมด" รศ. รัศมี กล่าว


โครงกระดูกที่พบนี้ นอกจากจะมีการส่งไปตรวจพิสูจน์ DNA เพื่อไขปริศนาว่าเจ้าของโลงไม้เหล่านี้เป็นใครหรือกลุ่มชาติพันธุ์ไหน ยังทำให้ข้อสันนิษฐานเดิมที่ว่า รูปแบบการปลงศพในวัฒนธรรมโลงไม้เป็นการฝังศพครั้งที่ 2 เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม


นัทธมน ภู่รีพัฒน์พงศ์ คงคาสุริยฉาย นักมานุษยวิทยากายภาพ (ฟันและกระดูกมนุษย์) อธิบายว่า "ที่ผ่านมาเราสำรวจประมาณ 50 กว่าถ้ำ ไม่เคยมีถ้ำไหนที่เจอโครงกระดูกในโลงที่เป็นลักษณะไม่ถูกรบกวนแบบนี้ โดยเฉพาะโครงที่เจออยู่ในโลงเป็นโครงที่นอนเหยียดยาว และมีลักษณะของข้อต่อของร่างกายเชื่อมต่อกัน มีข้อกระดูกสันหลังเรียงต่อกัน มีกระดูกแขน กระดูกขา กระดูกเชิงกราน มีชิ้นส่วนต่างๆ เป็นโครงร่างของคนที่สมบูรณ์ซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก

มันเลยทำให้เราพบว่าในวัฒนธรรมโลงไม้ จากที่เราเคยเชื่อว่า อาจจะไปฝังที่อื่นแล้วเก็บกระดูกมาไว้ จริงๆ แล้ว มันเป็นการเอาศพสดมาวางในโลง แล้วก็ดินที่อยู่ในโลงก็มาจากเนื้อเยื่อในร่างกายที่มันย่อยสลาย แล้วในแต่ละโลง โดยส่วนใหญ่จะเจอชิ้นส่วนของกระดูกคนมากกว่า 1 คนขึ้นไป มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เด็กก็มีหลากหลายวัย ตั้งแต่เด็กเล็กมากๆ ทารก ไปจนถึงวัยรุ่น แต่ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะไม่เจอแบบที่แก่มากๆ"


สำหรับ รศ.รัศมี สิ่งที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ในภายในโลงไม้ คือการพบร่องรอยของ 'รัก' ที่เคลือบอยู่ทีผิวนอกของไม้


"เราถึงเรียกชื่อถ้ำนี้ว่า โลงลงรัก ถามว่ารักอันนี้มีไว้เพื่ออะไรเราไม่ทราบแน่ชัด แต่ความเป็นไปได้ก็คือ หนึ่ง อาจเป็นเรื่องความสวยงาม สอง มันจะช่วยให้มีการเก็บรักษาสภาพของของที่อยู่ข้างในได้ดี เพราะว่ารักจะเป็นตัวที่ช่วยตรงนี้"

ไม่ว่าจะลงรักด้วยเหตุผลใด แต่สำหรับนักโบราณคดีแล้วนี่คือการค้นพบที่มีนัยสำคัญยิ่งกับการศึกษาเรื่องช่างสิบหมู่ของไทย


"เราเอารักที่นี่ส่งไปให้อาจารย์ที่กรมศิลปากรศึกษาว่าเป็นรักชนิดไหน แล้วเราก็ส่งไปกำหนดอายุด้วย ถ้าเกิดรักอันนี้เป็นรักที่มีความเก่าแก่มาก พร้อมๆ กับโลงคือ 2,000 กว่าปี อันนี้คือการค้นพบรักที่เก่าที่สุดที่เคยพบในประเทศไทย และที่สำคัญคือรักนี่มันเป็นเรื่องของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจีนก็มีการทำรักในเขตยูนนาน แล้วจีนก็เคลมว่ารักมาจากจีนและส่งอิทธิพลให้กับพม่าให้กับไทยอะไรแบบนี้ ทีนี้ถ้ารักที่เราพบบนโลง กับบริเวณนอกถ้ำซึ่งก็มีต้นรักอยู่ด้วยเป็นสปีชีส์เดียวกัน มันจะสำคัญมากๆ สำหรับข้อมูลของประเทศไทย เพราะมันบ่งบอกถึงเรื่องศิลปะการทำรักว่ามันมีมานานแล้ว มีมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ แต่เดิมเราคิดว่าสมัยล้านนามีการทำรักแล้วสืบเนื่องมาจนถึงในยุคหลัง"


อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเจอเศษผ้าในโลงไม้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องผ้าของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ไขปริศนาว่าหนึ่งในสามชิ้นทำจากใยกัญชง ส่วนอีกสองชิ้นยังไม่ทราบแน่ชัด


"แล้วเขาก็ดูลักษณะการทอผ้าด้วย แสดงว่าแต่เดิมมีการใส่เสื้อผ้าแล้วละ แต่ข้อมูลก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีที่ไหนเลย เรารู้แต่ลพบุรีว่ามีไหม แล้วมีกัญชงอยู่ที่บ้านเชียง ที่นี่ถ้าเรารู้เบื้องต้นว่ามีผ้าป่านทำจากกัญชง จะเป็นข้อมูลที่สำคัญมากๆ เกี่ยวกับเรื่องผ้า และที่สำคัญอีกอย่างคือเราเจอกี่ทอผ้า อันนี้สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นยุคหลัง เพราะเท่าที่ดูมันมีการอยู่หลายสมัยมาก แล้วกี่อันนี้จะมีลักษณะคล้ายกับกี่ของคนปกาเกอะญอที่เมืองแพม เราก็จะนำไปวิเคราะห์ว่าอายุเท่าไหร่


ทีนี้ถ้าสมมติว่าผ้าที่เราเจอ อายุมันเป็นรุ่นหลังสุดแล้วเข้ามาสู่สมัยประวัติศาสตร์ มันจะเป็นเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ภาพให้เราได้หมดเลยว่า คนพวกนี้ไม่ได้หายไปไหน จริงๆ แล้วเขายังอยู่ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งที่อื่นเป็นบ้านเป็นเมืองแล้ว แต่คนที่นี่ยังอยู่ตรงนี้ แล้วก็อาจเป็นไปได้แบบที่อาจารย์ศรีศักร (วัลลิโภดม) เคยพูดว่าในสมัยที่มีรัฐแบบรัฐพุกาม อยุธยา ล้านนาเกิดขึ้นแล้ว มีความต้องการสินค้าป่าเยอะมาก ในแถบนี้ก็จะมีกลุ่มคนบนภูเขาที่เป็นคนกลางจัดหาสินค้าป่า หรือรักนี่ก็อาจมีการขายไปที่เมืองจีนด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราได้สำรวจต้นไม้แถวนี้ เราก็จะรู้ว่าพื้นที่นี้มีความสำคัญอย่างไรในอดีต อันนี้เป็นเรื่องที่เราตื่นเต้นมาก"


เหมือนสมุดบันทึกเก่าเก็บที่ถูกเปิดออกทีละหน้าๆ แต่ละหน้าล้วนมีปริศนาซุกซ่อนไว้ และหน้าถัดไปก็ยังสร้างความน่าทึ่งให้กับทีมวิจัยได้อีก เมื่อพวกเขาค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญ นั่นคือ 'ฟัน'


มันไม่ใช่แค่ฟันของมนุษย์โบราณที่บอกว่าเขามีอายุเมื่อกี่พันกี่หมื่นปีมาแล้ว หรือมีโรคทางปริทนต์อะไร แต่ฟันที่พบในถ้ำแห่งนี้มีการตกแต่งด้วยโลหะผสมระหว่างเงินกับทอง


"เราคิดว่าวัสดุที่ใช้ในการทำฟัน ส่วนประสานที่เหมือนกับกาวเวลาเราทำฟัน ติดเพชรหรืออะไรแบบนี้ ซึ่งคนปัจจุบันเวลาเอาเพชรติดฟัน 7 ปีก็หลุดแล้ว แต่ฟันที่เราพบที่นี่ การเจาะรูฟันแล้วฝังโลหะเข้าไปมันติดอยู่ประมาณ 2,000 ปี ถ้าหมอฟันสามารถนำไปแยกชิ้นส่วนประกอบ แล้วพัฒนาเทคโนโลยีในเรื่องของการทันตกรรมต่อในระบบอุตสาหกรรม ตัวนี้เป็นตัวที่สำคัญมากๆ ที่ทำให้เห็นว่าวัสดุที่เขาใช้ตั้งแต่อดีตมันมีคุณสมบัติที่ดีมาก ตอนนี้เราทิ้งไว้ยังไม่ให้ใครศึกษา แล้วก็ไม่อยากให้ฝรั่งเข้ามาทำด้วย เพราะว่าตรงนี้ถ้าเอาไปใช้มันจะเกิดมูลค่าได้ ส่วนนี้เราก็เลยเก็บไปก่อนในเรื่องของวัสดุ"


แม้จะยังไม่อาจฟันธงได้ว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใคร แต่ข้อสรุปในเบื้องต้นที่ไม่อาจปฏิเสธก็คือ เจ้าของโลงไม้เหล่านี้ไม่เพียงมีฝีมือในการแกะสลัก มีความรู้เรื่องการลงรัก ยังมีเทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ขั้นสูง


"ถ้าจะให้วิเคราะห์ วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงมากที่สุดก็คือที่ยูนนาน แล้วตรงนั้นเป็นอีกส่วนที่เราคิดว่าเป็นจิ๊กซอว์กับพม่าทางฝั่งรัฐฉานซึ่งเรายังไม่ได้เข้าไปเลย ถ้ามีการทำความร่วมมือกับทั้งยูนนานและพม่าก็อาจทำให้ได้ข้อมูลอะไรมากขึ้น เพราะมันน่าจะเป็นเครือข่ายวัฒนธรรมเดียวกัน"

รศ.รัศมี เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมโลงไม้ในแหล่งอื่นๆ ที่พบตลอดตั้งแต่จีนตอนใต้ ผ่านประเทศไทยในจังหวัดแม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี เรื่อยลงไปทางคาบสมุทรมลายู จนกระทั่งถึงประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปินส์ ในลักษณะภูมิประเทศแบบภูเขาหินปูนที่มักจะมีถ้ำและเพิงผา ซึ่งอาจารย์คาดหวังว่า หากมีการศึกษาในเชิงลึกและบูรณาการความรู้ในทุกด้าน งานวิจัยนี้จะเป็นฐานที่สำคัญในการสืบค้นที่มาของผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


และเมื่อปริศนาทุกอย่างถูกเปิดออก คำถามที่ว่าคนไทยมาจากไหนอาจไม่สำคัญเท่าผู้คนที่เคยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ใช้ชีวิตอย่างไร และเราสามารถเรียนรู้อะไรจากอดีตได้บ้าง