หมดยุค...เชื่อตามๆ กัน เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

หมดยุค...เชื่อตามๆ กัน

เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

ไม่เชื่อเรื่องงมงาย เมื่อไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ วิเคราะห์ แยกแยะหาเหตุผล และนี่คือกระบวนการเรียนรู้ที่เขาพยายามจะบอกคนในสังคม

นักวิทยาศาสตร์คนนี้ โด่งดังจากการจับเท็จเครื่องตรวจหามวลสารระยะไกลจีที 200 ด้วยคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผล ทำให้คนในสังคมรับรู้ข้อเท็จจริง ไม่ต้องเสียงบประมาณของชาติกว่าพันล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องมือที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ และก่อนที่จะประกาศกฎอัยการศึก เขาเพิ่งออกมาแสดงความคิดเห็นในฐานะคนขั้วที่สาม ที่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง

เรื่องใดที่เกิดขึ้นในสังคมแล้วมีปัญหา เขาบอกว่า ก่อนจะเชื่อ...ต้องรู้จักวิเคราะห์ แยกแยะหาเหตุผลความเป็นจริงก่อน

เรื่องราวที่พูดคุยกันครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องที่อาจารย์ถนัด คือ กระบวนการค้นหาความรู้ตามแบบฉบับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่ไม่อยากเห็นคนไทยเชื่อเรื่องใด โดยปราศจากเหตุผล

รศ.ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือคนที่เราพูดถึง โดยครั้งนี้เกี่ยวโยงกับบริบทเรื่องความเชื่อ ศรัทธา และความงมงาย ในแบบของเขา

ปัจจุบันนอกจากสอนหนังสือที่จุฬาฯ เขายังทำหน้าที่ให้ความรู้ทางสื่อออนไลน์ ตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์,เขียนบทความวิทยาศาสตร์ และทำรายการ"วิทยา ตาสว่าง" รวมถึงเป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายให้ความรู้ทั่วประเทศ

และถ้าถามว่า เขาเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องใดบ้าง เขามีคำอธิบาย....

เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สนใจหลายเรื่องราว ?

ตั้งแต่เด็กๆ ผมชอบอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ผมก็อ่าน ข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง ผมก็สนใจ เพื่อจะได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละเรื่อง และตอนเรียนปริญญาเอกในต่างประเทศ ทำให้เราเปิดกรอบความคิดมากกว่าอยู่ในเมืองไทย มีข่าวการค้นพบสิ่งใหม่ๆ เยอะมาก วิทยาศาสตร์อยู่รอบๆ ตัวเรา แต่ข่าววิทยาศาสตร์บ้านเราไม่ค่อยมีใครสนใจ ดังนั้นพอกลับมาสอนหนังสือ ผมต้องค้นข้อมูลมากขึ้น และเริ่มทำรายการเล็กๆ ในสื่อ ตอบกระทู้ในเว็บพันธุ์ทิพย์ ผมก็เลยต้องแสวงหาความรู้มากขึ้น ผมมองว่าการเรียนในเมืองไทย คนส่วนใหญ่ยังเรียนเพื่อสอบ เวลาสอนนักศึกษา ผมจึงให้ทำงานเยอะมาก ให้โจทย์ในสิ่งที่เราไม่ได้สอน เพื่อให้พวกเขาค้นหาความรู้

เวลาจะสื่อสารเรื่องวิทยาศาสตร์ อาจารย์มีวิธีการอย่างไร

ในสื่อออนไลน์ เวลามีคนซักถามเรื่องวิทยาศาสตร์ ผมก็จะเข้าไปตอบคำถาม อธิบาย พอมาถึงจุดหนึ่งเริ่มมีงบประมาณก็ทำเป็นสื่อวิดีโอ มีความชัดเจนมากขึ้นในรายการวิทยา ตาสว่าง เหมือนการบูรณาการ ดึงความรู้วิทยาศาสตร์หลายๆ ด้านมาอธิบายปรากฎการณ์สังคม จึงต้องใช้ข้อมูลมากกว่าตำราเรียน

ตอนออกมาพูดและอธิบายเรื่องเครื่องตรวจหามวลสารระยะไกลจีที 200 ชีวิตอาจารย์เปลี่ยนไปอย่างไร

ตอนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด ก็เห็นว่ามีหลายอย่างต้องทำ โดยเฉพาะการสื่อสารให้สังคมรับรู้ การเป็นนักวิชาการจะเล่าให้สังคมฟัง จะพูดแบบเลคเช่อร์ไม่ได้ คนจะไม่ฟังหรือฟังแล้วไม่เข้าใจ ผมจึงต้องพยายามเป็นนักพูด ถ้าจะให้คนทั้งสังคมเข้าใจง่ายๆ และเชื่อตาม ต้องฝึกทำสื่อเอง เดินสายบรรยายค่อนข้างเยอะ ต้องใช้ความรู้หลายด้าน ไม่ใช่แค่ฟิสิกส์ ต้องมีจิตวิทยาในการอธิบาย เป็นความรู้ที่หลุดไปจากกรอบเดิมๆ เพื่อหาคำตอบ ซึ่งช่วงแรกไม่ง่าย แต่พอเชื่อมโยงเรื่องอื่นได้ ก็ง่ายขึ้น ถ้าฟังในกรอบความคิดเดิม ก็ไม่สามารถอธิบายได้ ผมจึงต้องใช้วาทะศิลป์มากกว่าเนื้อหาความรู้ทั่วไป

การออกมาทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น อาจารย์ตัดสินใจนานไหม

เราต้องกล้า เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เราต้องอธิบายให้คนไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์เลยเข้าใจด้วยเวลาสั้่นๆ เพราะการเป็นนักวิชาการ ทำวิจัยและสอนหนังสือ เหมือนอยู่บนหอคอยงาช้าง เพราะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในสังคม เมื่อถึงจุดที่เราต้องทำในเรื่องความเชื่อของคน ปัญหาจีที 200 ไม่ใช่เครื่องใช้ไม่ได้ หรือการจัดซื้อมีปัญหา ปัญหาใหญ่คือ ความศรัทธาในเครื่อง คนเชื่อว่ามันใช้ได้ เพราะระบบการศึกษาที่ผ่านมา ทำให้คนเชื่อและศรัทธาครูผู้สอนหรือตำราที่สอนมากไป

พอเราไปอยู่เมืองนอก ได้เห็นว่า ฝรั่งไม่ได้ศรัทธาครูขนาดนั้น มันเถียงครู สนุกมาก และครูก็ใจกว้าง เด็กฝรั่งไม่ยึดติดตำราอย่างเดียว พวกเขารู้ว่า ปีหน้าตำราก็เปลี่ยน ความรู้ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา บ้านเราไม่เป็นอย่างนั้น นั่นเป็นจุดเปลี่ยนในเรื่องเครื่องจีที 200 ผมอยากให้คนไทยเปลี่ยนความคิด ไม่ใช่เชื่อเพราะคนนั้นคนนี้บอก เหมือนความเชื่อทางไสยศาสตร์ หรือเชื่อตามพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่สอนมา และการแชร์ความรู้และความคิดในสื่อออนไลน์ก็มีข้อมูลผิดๆ หลอกลวงเยอะมาก คนก็เชื่อและแชร์ต่อเพราะมีความศรัทธา

ศรัทธากับความเชื่้อ มีคำอธิบายอย่างไร

ถ้ามีศรัทธาแล้ว คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าสิ่งนั้นผิด ศรัทธาในตัวบุคคล ศรัทธาในองค์กร ศรัทธาในกรอบความคิดเดิมๆ เพราะคุณเอาศรัทธานำความเชื่อ ถ้าเอากระบวนการคิดนำความเชื่อ ก็จะเป็นกระบวนการการคิดทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น ถ้าศรัทธาอย่างเดียว คุณไม่เปลี่ยนความเชื่อหรอก ไม่ว่าวงการไหน ถ้าผู้นำบอกว่าเปลี่ยน ก็เปลี่ยนตาม หรือแกนนำการเมืองพยายามนำความเชื่อเหล่านี้มาใช้ และคนที่เชื่อตาม ก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด

เป็นความเชื่อแบบงมงาย ?

ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า วิทยาศาสตร์ลวงโลก เพราะวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง จะไม่มีอะไรเป็นปัญหา มีกระบวนการคิดวิเคราะห์แยกแยะ แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่วิทยาศาสตร์ลวงโลก นำวิทยาศาสตร์มาหลอกขายของ ไม่ใช่แค่ในสื่อทีวีดาวเทียม ทีวีทั่วไปก็แจกแจงสรรพคุณ ทั้งๆ ที่สินค้าบางอย่างไม่สามารถใช้ได้ดี แต่โฆษณาทำให้เชื่ออย่างนั้น เพราะศรัทธาในตัวบุคคล บางคนเป็นหมอ เป็นดารา บุคลิกน่าเชื่อถือ คนก็เชื่อ โดยไม่ได้แยกแยะว่า ใช้ได้จริงหรือไม่ การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อหลอกลวงขายของ บางอย่างก็อันตราย เพราะเป็นเรื่องสุขภาพ

ส่วนศรัทธาในการเมือง ก็มีปัญหา เพราะเราเชื่อในแกนนำ ตกอยู่ในวังวนการรับฟังสื่อด้านเดียว เราต้องฟังสื่อที่ย้อนแย้งกันบ้าง ถ้าเราศรัทธาในแกนนำแล้ว เราจะคิดวิเคราะห์แยกแยะได้น้อย แกนนำพูดอะไรก็ถูกไปหมด ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ประชาธิปไตยการเมืองและวิทยาศาสตร์ก็คล้ายๆ กัน เราต้องฟังทั้งเสียงส่วนใหญ่และส่วนน้อย ถ้าเราเลือกฟังด้านเดียว ก็ไม่ได้คิดวิเคราะห์อีกด้าน

นั่นนำมาสู่การปฏิรูป ?

ณ วันนี้คนพูดเรื่องการปฏิรูปเยอะมาก การศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งของรากฐานปัญหา เราพยายามใช้คำว่า ปฏิรูปการศึกษามาหลายสิบปี เราไปคุยกับครูทั่วประเทศและเยาวชน ครูก็บ่นว่า ยิ่งปฏิรูปยิ่งทำงานลำบาก มีเวลาททุ่มเทให้การศึกษาน้อยลง เพราะต้องทำงานเอกสารมากขึ้น จากยุคที่ครูเป็นศูนย์กลางสอนอย่างเดียว มาเป็นเด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ผมถามเด็กว่า พวกเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองได้จริงหรือ พวกเขาบอกว่า ทำไม่ได้ ผมรู้สึกว่า เด็กยุคหลังความรู้แย่ลง แต่ผมก็คิดอีกว่า ผมคงแก่ไป เพราะยุคเราครูอัดความรู้และให้ท่องจำ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กยุคนี้ความรู้ไม่แน่น คิดเองไม่เป็น ความเชื่อมั่นเชิงวิชาการก็ไม่ค่อยมี แต่ความเชื่อมั่นทางสันทนาการเยอะมาก ให้ไปเต้นรำ นำเกม ทำได้ดี ซึ่งน่าห่วง ที่ผ่านมาเราปฎิรูปแต่วิธีการสอน การจัดการศึกษา และการประกันคุณภาพ แต่ไม่ปฏิรูปกระบวนการคิด เด็กยังคิดเหมือนเดิม เราเคยเชื่อว่า พวกเขาคิดเองเป็น แต่ไม่ใช่ ผมมองว่า ถ้าสามารถปรับกระบวนการเรียนการสอนให้เหมือนเด็กฝรั่ง เราจะพัฒนามากขึ้น แค่ระดับประถม เวลาครูตั้งคำถาม เด็กฝรั่งก็ยกมืออยากตอบ ต่างจากเด็กไทยนั่งเงียบ

แล้วจะแก้ไขอย่างไร

ค่อนข้างยาก ถ้าจะปรับการสอน สุดท้ายติดกลไกเอ็นทรานซ์ แม้กระทั่งการสร้างโรงเรียนวิทยาศาสตร์ สอนให้ทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ พอเด็กเรียนมาถึงมัธยมปีที่ 6 พวกเขาก็ไม่เอาแล้ว เพราะต้องสอบเอ็นทรานซ์ ถ้ากลไกคัดเลือกคนเข้าเรียน ยังติดกรอบแบบนี้ การปฎิรูปการศึกษาตั้งแต่เด็กขึ้นมา ก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนระบบโอเน็ต ต่อไปจะทำการสอบทุกระดับ ถ้าทุกอย่างมีแต่สอบ สอบ สอบ เราก็เรียนหนังสือเพื่อสอบ ความรู้ของเด็กก็ไม่แน่น ความกล้าแสดงออกและความสามารถในการอยู่ในโลกนี้ก็น้อยลง

จะสอนให้เยาวชนเรียนรู้อย่างไร

ขึ้นอยู่กับโจทย์ พอสังคมมีปัญหาเรื่อง จีที 200 ผมก็อยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตมากขึ้น มีคำถามกว่าร้อยคำถาม กระตุ้นให้เราคิด ยกตัวอย่างมีคำถามประหลาดๆ เรื่องมนุษย์ต่างดาว ให้ผมตอบ แม้ทุกเรื่องจะมีคนตอบอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องค้นคำตอบ บางทีเราตอบไป ก็มีคนย้อนว่า ไม่จริงหรอกที่อาจารย์ตอบ ยกตัวอย่าง มีคนถามว่า น้ำอัดลมมีอันตรายไหม มีคนบอกว่า ดื่มแล้วกัดกระเพาะ ผมก็หาข้อมูล ในกระเพาะอาหารของเรามีน้ำกรดอยู่แล้ว กรดของน้ำอัดลมมีความรุนแรงน้อยกว่าน้ำย่อยในกระเพาะ และน้ำอัดลมมีคุณค่าไม่ต่างจากน้ำหวาน หรือชาเขียว ดื่มแล้วฟันผุและอ้วนเหมือนกัน เนื่องจากน้้ำตาลสูง ข้อสำคัญคุณแปรงฟันหรือเปล่า ผมก็ถกเถียง เพื่อให้คนคิดนอกกรอบ ไม่ใช่เชื่อตามๆ กัน

มีวิธีบูรณาการความรู้อย่างไร

ก่อนอื่นต้องเปลี่ยนการศึกษาที่เป็นแนวท่องจำ เป็นการตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ ถ้าให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ แล้วปล่อยให้เด็กค้นหาคำตอบอย่างเดียว โดยครูไม่แนะนำ แนวทางแบบนี้ผิด เพราะครูต้องเป็นส่วนหนึ่งในห้องเรียน กระตุ้นการเรียนรู้ แต่ไม่ใช่ผู้กำความรู้

แล้วอาจารย์เคยคิดว่า ตัวเองเป็นผู้กำความรู้ไหม

แรกๆ คิดอย่างนั้น คิดว่าสิ่งที่เราเรียนมาค่อนข้างใหม่ และคิดว่าเรามีองค์ความรู้เยอะ จริงๆ แล้วองค์ความรู้เปลี่ยนเร็ว อย่างเด็กบางคนบอกว่า ไปค้นเรื่องที่เราสอนมา มันไม่ใช่แบบนั้น เราก็ต้องเปลี่ยนมุมมองให้กว้างขึ้น แต่ถ้าเราเป็นอาจารย์หัวโบราณ ก็จะไม่ให้เด็กเถียง

ถ้าจะกระตุ้นต่อมคิด อาจารย์ทำอย่างไร

เด็กสมัยนี้ต้องล่อใจด้วยคะแนนหรือขนม กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยน ถ้ามีเด็กแย้งความคิดเรา วันนั้นสนุกแล้ว ผมสอนเรื่องวิวัฒนาการ ปีที่ 3 นักศึกษาปริญญาตรีและอีกหลายวิชา อย่างวิชาบัณฑิตอุดมคติ ผมก็สอน เป็นวิชาที่ผมชอบมากรับนักศึกษาแค่ 20 คนโดยมีเป้าหมายในเรื่องการให้ข้อคิดทางศีลธรรม แต่เป็นลักษณะการคิดวิเคราะห์ แยกแยะไตร่ตรองรับผิดชอบในทุกเรื่อง เราจะนั่งเรียนเป็นวงกลม เพราะเด็กมาจากหลายคณะ

ยกตัวอย่างผมให้โจทย์ทุกคนออกมาเล่าข่าว จากนั้นให้เพื่อนๆ พวกเขาแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน บางทีก็เอาสารคดีน้ำเน่าเสียมาให้ดู แล้วถามว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ให้ไตร่ตรองหาเหตุผล แล้วคุณดูแค่วีดีโอจะเชื่อตามนั้นหรือ ก็ต้องค้นข้อมูลมากขึ้น ทุกปัญหามีความซับซ้อน ปัญหาน้ำเสีย อาจไม่ใช่แค่โรงงานปล่อยน้ำเสีย อาจเป็นเกษตรกรใช้ยาปราบวัชพืชมากไป

อีกประเด็นที่สนุกคือ ถกเรื่องการทำแท้ง ผมให้พวกเขาแบ่งกลุ่มเล่นละคร แล้วถามว่า ถ้าตั้งท้องในวัยเรียน ควรทำแท้งหรือไม่ ก็ได้คำตอบที่หลากหลาย เรื่องนี้น่าสนใจ คนส่วนใหญ่บอกว่า ไม่ควรทำแท้ง แต่ในโลกความเป็นจริง...ไม่ง่าย คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร บินไปเมืองนอกเหมือนนางเอกในละครหรือ เมื่อมีการแชร์ความคิด เด็กก็รู้ว่า ไม่ใช่ปัญหาไกลตัวเหมือนในละคร เด็กบางคนยอมรับว่า ในโลกความจริง เขาคงทำแท้ง ไม่อย่างนั้นใช้ชีวิตต่อไม่ได้ นี่คือการสอนให้อยู่ในโลกความเป็นจริง ไม่ใช่ในโลกอุดมคติอย่างเดียว

เรื่องใดที่อาจารย์พยายามลบความเชื่อแบบเดิมๆ

เรื่องพืชตัดต่อพันธุกรรม ผมเรียนมาด้านนี้ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องอันตราย เคยมีการอภิปรายถกกันหลายครั้งในเมืองนอก ตอนนี้พืชจีเอ็มโอมีอยู่ทั่วโลก เป็นอุตสาหกรรมการเกษตรแนวใหม่เรียบร้อยไปแล้ว คนไทยเชื่อว่า ไม่ดี มีอันตราย ผมก็พยายามพูดเรื่องนี้ มันไม่อันตราย เพราะคนทั่วโลกก็กินอาหารจีเอ็มโอทุกวัน ยังไม่มีรายงานว่าอันตรายหรือมีการฟ้องร้องศาล ซึ่งกรณีนี้เป็นการสร้างความกลัว บอกกันว่า กินอาหารพวกนี้ในระยะยาวจะเป็นมะเร็ง โดยใช้ความกลัวเป็นกลไก ผมมองว่า สังคมไทยแก้ยากเรื่องนี้

กรณีจีที 200 ก็เหมือนเรื่องผีถ้วยแก้ว บางคนบอกว่า ทำไมแตะแก้วน้ำเคลื่อนเองได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดัน ในเรื่องจิตวิทยาเมื่อใจคิดไปอย่างนั้นมีผลถึงระบบกล้ามเนื้อในร่างกาย เพราะเรามีคำตอบอยู่ในตัว มือเราก็ดันไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนเจ้าหน้าที่หลายคนถือเครื่องจีที 200 ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเครื่องเปล่าๆ ในทางจิตวิทยาอธิบายความสัมพันธ์ของคนได้มากกว่าที่คิด หรือปรากฎการณ์ ยาเทียมจากเมล็ดแป้ง แล้วหมอบอกว่าเป็นยารักษาโรคได้ คนไข้ก็เชื่อ รวมถึงอาหารเสริม คอลลาเจนที่ไม่ได้ช่วยเรื่องสีผิว แต่คนกินแล้วรู้สึกว่า ผิวขาวขึ้น

ลากไปถึงเรื่องการเมือง ซึ่งล้างสมองคนได้ เชื่อตามนักการเมืองหรือแกนนำ ทำไมคนลุกขึ้นมาฆ่ากัน ทั้งๆ ที่วัฒนธรรมในสังคมไทยไม่น่าทำได้ มองคนที่คิดต่างเป็นศัตรู เรื่องนี้จิตวิทยาอธิบายได้ เกมการเมือง แบ่งคนเป็นสองขั้ว ถ้าไม่ใช่พวกฉัน ก็เป็นขี้ข้าอีกฝ่าย เราเป็นคนดีกว่า พวกเขาเลวกว่า นี่แหละเกมล้างสมอง

ถ้าอย่างนั้น มองอนาคตประเทศไทยอย่างไร

4-5 เดือนนี้ถอยหลัง ทั้งๆ ที่ประเทศในอาเซียนเปลี่ยนแปลงเร็วมาก อินโดนีเซียปกครองโดยทหารมานาน วันนี้ประกาศว่าจะไม่เห็นการปฎิวัติในอินโดนีเซียอีก ฟิลิปปินส์ มีปัญหาทางการเมือง และการแบ่งแยกดินแดน พวกเขาประกาศจะไม่เป็นตัวถ่วงอาเซียน พม่าเปิดประเทศอย่างรวดเร็ว ลาวจะทำประเทศให้รุ่งเรืองเลือกผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่เน้นอุตสาหกรรม ทุกชาติมีเส้นทางของตัวเอง แต่ไทยเราจะไปทางไหน เคยมีคนเสนอว่า ให้ไทยออกจากอาเซียนก่อนไหม เพราะถ่วงประเทศอื่น หลายชาติถอนการลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง เมื่อประกาศอัยการศึกแล้ว ทำไมเราไม่หาทางออกร่วมกัน ผมก็หวังว่า ไทยเราจะถอยชั่วคราว ถ้าถอยยาวกว่านี้ ไม่รู้ประเทศไทยจะไปต่ออย่างไร

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ คุณอยากทำอะไรให้ประเทศบ้าง

หลังจากการยุติเรื่องการซื้อจีที 200 ผมบอกเพื่อนๆ ว่า ผมจะเปลี่ยนแนวทางตัวเอง ผมทำงานมากว่าสิบปี ใช้ทุนหมดแล้ว ผมจะทำเรื่องการสื่อสารมากขึ้น กระตุ้นให้คนคิดวิเคราะห์ แยกแยะอย่างถูกต้อง หลายอย่างที่ผมออกมาพูด แล้วมีคนเตือนว่าอันตราย เราพิสูจน์ให้เห็นว่าพูดได้ การอ้างวิทยาศาสตร์เพื่อขายของ ผมคิดว่าต้องทำให้คนตระหนักรู้มากขึ้น อย่างเบต้าแคโรทีน เชื่อกันมานานแล้วว่า เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ วันนี้งานวิจัยออกมาแล้วว่า กินมากอันตราย แต่ไม่มีใครกล้าแตะ หรือคอลลาเจนไม่ได้ช่วยให้ผิวพรรณดีเลย เราก็ออกมาพูด การให้ข้อมูลประชาชน เป็นสิ่งที่ทำได้ พวกหมอที่มีความรู้ก็น่าจะทำบ้าง อย่างเรื่องมนุษย์ต่างดาว มีรายการทีวีบางช่องให้ข้อมูลสองด้าน ตอนนี้มีลัทธิที่เชื่อมนุษย์ต่างดาว สวดมนต์เรียกมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเรื่องนี้ก็มีคนมาถามความเห็นนักวิทยาศาสตร์

อาจารย์ไม่เชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น ?

โดยพื้นฐานแล้วผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เรื่องแปลกๆ ผมก็อ่านเยอะ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ฮาร์ดคอร์มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกเรื่องวิทยาศาสตร์ตอบคำถามได้ แต่ผมไม่ได้ปฎิเสธเรื่องพวกนี้ ถ้าพิสูจน์ได้ ก็พร้อมจะเชื่อ

ในมุมศาสนา อาจารย์เป็นพุทธไหม

ถ้ามาถึงจุดหนึ่ง ผมคงเป็นพวกไม่นับถือศาสนาใดเป็นกรณีพิเศษ คนเรามีสิทธิเลือกเส้นทางของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตีกรอบตัวเอง โดยพื้นฐานผมเป็นพุทธ แต่ผมไม่ได้อิงมาก อะไรที่อิงกับความเป็นพุทธได้ ผมก็อิง ผมค่อนข้างเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อกฎเกณฑ์พุทธบางอย่าง อย่างหลักกาลามาสูตร 10 ผมว่า มีแนวทางวิทยาศาสตร์ แต่ผมไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาเดินได้ 7 ก้าว ไม่เชื่อว่าพญานาคมีจริง เพราะเขียนไว้ในพระไตรปิฎก

อาจารย์มีศรัทธาในเรื่องใดหรือบุคคลใดเป็นพิเศษไหม

ถ้าใช้คำว่า ศรัทธาที่ผมพูดตั้งแต่แรก แล้วต้องเชื่อตามนั้น ผมจะไม่เหลือศรัทธา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ตามกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์ ถ้าเรื่องนี้คือความจริงตอนนี้ ในอนาคตอาจไม่ใช่ความจริงก็เป็นได้ ผมเลือกที่จะเชื่อ แต่ไม่เลือกที่จะศรัทธา

ถ้าพูดถึงศรัทธาในตัวบุคคล ไม่ได้หมายถึงความหลงใหลในตัวบุคคล สมมติว่า เราหลงใหลในชาร์ล ดาร์วิน ก็เป็นไอดอลของเรา ผมหลงใหลในความคิด การค้นหาความคิด และความกล้า แต่ไม่ใช่ศรัทธา ไม่จำเป็นต้องมีเหรียญของเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นคืองมงาย เพราะชาร์ล ดาร์วินก็มีจุดผิดพลาด ถ้าเราศรัทธาร้อยเปอร์เซ็นต์ เราจะมองไม่เห็นความผิดพลาดของเขาเลย ถ้าเราเชื่อว่า สิ่งนั้นหรือคนนั้นจะต้องถูกตลอดเวลา นั่นงมงายแล้ว

ถ้าจะศรัทธาเรื่องใด ต้องพิสูจน์ได้ ?

ต้องพิสูจน์ให้เห็น ถ้าจะบังคับให้เชื่อว่า พญานาคมีจริง ก็ต้องพิสูจน์ให้ผมเห็น ผมไม่เลือกที่จะถกเถียงเรื่องพญานาคมีจริง แต่ลูกไฟที่ขึ้นมาจากน้ำ ผมไม่คิดว่า พญานาคทำ ผมคิดว่าเป็นอย่างอื่น

ไม่มีศรัทธาใดๆ เลยหรือ

สงสัยจะเป็นอย่างนั้น ผมไม่มีศรัทธาใดๆ เป็นพิเศษ ความดีความชั่วสมบูรณ์แบบไม่มีจริงในโลกนี้ เป็นปรัชญาที่ซับซ้อนมาก อย่างเราบอกว่า การฆ่าคนตายเป็นการทำความชั่ว ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป อาจมีสังคมใดสังคมหนึ่งในโลกนี้มองว่า การฆ่าคนตายไม่เป็นความชั่วก็ได้ ถ้าสังคมหนึ่งบอกว่า ต้องฆ่าคนนี้เพื่อบูชายัณ ถ้าคนๆ นั้นพร้อมจะถูกฆ่าเพื่อบูชายัณ เพื่อพระเจ้าของเขา มันก็ไม่ใช่ความชั่วในกรอบของเขา ดังนั้นถ้าไม่จำเป็น ผมพยายามจะไม่ใช้กรอบความคิดใดๆ เพราะทุกกรอบความคิดไม่มีจริง เหตุผลเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา