The Hive พื้นที่ทำงานให้เช่า

The Hive พื้นที่ทำงานให้เช่า

The Hive รูปแบบการบริการ 'ให้เช่าพื้นที่ทำงาน' หรือ 'Co-working space' เต็มรูปแบบ เกิดขึ้นแล้วในกรุงเทพฯ เพิ่งเปิดบริการเมื่อเดือนพ.ค.

หลายปีที่ผ่านมาคนทำงานเริ่มขยับขยายพื้นที่ทำงานจากสำนักงานสู่ภายนอกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้านหรือแม้แต่ในร้านกาแฟ อย่างไรก็ตามการทำงานยังคงต้องอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือในการอำนวยความสะดวก และการพบปะผู้คนยังคงเป็นส่วนสำคัญในการทำงานเกือบทุกสาขาอาชีพ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เราจึงได้เห็นรูปแบบการบริการ 'ให้เช่าพื้นที่ทำงาน' หรือ 'Co-working space'

"เราคิดว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มันเป็นความเปลี่ยนแปลงในลักษณะการทำงานของคนซึ่งถูกผลักดันโดยการเจริญเติบโตของการให้บริการด้าน Cloud (ซอฟต์แวร์, เซิร์ฟเวอร์, บริการผ่านอินเทอร์เน็ต) การใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพา ตลอดจนการใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป (Laptop Computer) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ทำให้คนสามารถทำงานได้อิสระมากขึ้น" มร.คอนสแตนท์ เท็ดเดอร์ (Constant Tedder) ผู้บริหาร เดอะ ไฮฟ์ (the Hive) บอก

เดอะ ไฮฟ์ เป็นพื้นที่ทำงานให้เช่าซึ่งให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่มีความสะดวกสบายเสมือนบ้าน เน้นการสร้างชุมชน (Community) ของกลุ่มคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้สามารถแลกเปลี่ยนความคิดและทำธุรกิจร่วมกัน โดยเปิดสาขาแรกที่ประเทศฮ่องกงในปีค.ศ. 2012 จากนั้นจึงขยายเป็น 3 สาขา และเพิ่งเปิดให้บริการในประเทศไทยเมื่อเดือนที่ผ่านมาในซอยสุขุมวิท 49

"เราเริ่มต้นที่ฮ่องกงเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วที่ Wan Chai ในช่วงเริ่มต้นเรามีพื้นที่แค่ 2 ชั้น ในตึกออฟฟิศแห่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะมีส่วนของระเบียง (terrace) ที่เราคิดว่าน่าสนใจดี

จนถึงปัจจุบันนี้เรามีพื้นที่เพิ่มขึ้นมาอีก 3 ชั้น และเรายังขยายเพิ่มอีก 2 ที่ในฮ่องกง ที่หนึ่งอยู่ในเขต Kennedy town และอีกที่หนึ่งอยู่ในเขต Sai Kung ทำให้เรามีออฟฟิศถึง 3 ที่ ในฮ่องกง และที่กรุงเทพฯ เป็นแห่งที่ 4 ถือว่าเป็นแห่งแรกที่เป็นระดับนานาชาติของเรา"

เหตุผลในการเลือกกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งของเดอะ ไฮฟ์ มร.คอนสแตนท์ บอกว่า

"เรามองหาสถานที่ในประเทศแถบเอเชียหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นจาการ์ตา สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ แล้วเราก็พบว่ากรุงเทพฯ มักจะมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอๆ เพราะเราคิดว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความหลากหลาย มีกิจกรรมที่หลากหลายมาก รวมถึงมีอุตสาหกรรมด้านงานสร้างสรรค์อยู่มากที่นี่ มีสังคมชาวต่างชาติที่อยู่ในกรุงเทพฯ และยังมีสังคมชาวไทยที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศมากอีกด้วย เป็นกลุ่มที่เคยไปเรียนที่ แคนาดา ออสเตรเลีย หรืออเมริกา ซึ่งเมื่อกลับมาแล้วก็อยากที่จะทำธุรกิจระดับนานาชาติ ยังมีกลุ่มนักธุรกิจใหม่ๆ ผู้สร้างธุรกิจใหม่ๆ (enterpreneur) หรือกลุ่มเริ่มต้น (Start up) ด้วย แล้วจริงๆ กรุงเทพฯ ก็ยังเป็นที่ที่มีพลังมหาศาลบางอย่างที่เราชอบมากด้วย (tremendous energy in Bangkok)"

เมื่อผู้คนเดินออกจากสำนักงานมาสู่ห้องทำงานนอกบริษัทหมายความว่าพื้นที่ทำงานนั้นต้องการมากกว่าห้องซึ่งมีโต๊ะทำงานและอุปกรณ์สำนักงาน พื้นที่ทำงานให้เช่าจึงต้องมีการออกแบบที่ดีเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากกว่านั้น

"พื้นที่อย่างเดอะ ไฮฟ์ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับแนวคิดของกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งสามารถเป็นได้ตั้งแต่ฟรีแลนซ์ นักพัฒนาธุรกิจอิสระ หรือจะเป็นองค์กรบางองค์กรที่ไม่อยากอยู่ในบรรยากาศแบบออฟฟิศแบบเดิมๆ ก็ยังได้ คนกลุ่มนี้อยากที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นไลฟ์สไตล์มากกว่า ซึ่งเราก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างบรรยากาศแบบนั้นให้ แน่นอนว่าถ้าเป็นออฟฟิศแบบเดิมๆ ก็จะมีการออกแบบที่เป็นลักษณะของออฟฟิศ มีการออกแบบแสงสีขาว มีโต๊ะเรียงๆ กัน ซึ่งแน่นอนว่าแบบเดิมๆ เหล่านี้ดูไม่น่าสนใจเสียแล้วสำหรับคนหลายๆ กลุ่ม เราก็คิดว่า ทำไมเราไม่สามารถที่จะมีที่ทำงานที่สบายพอๆ กับบ้านของเราเองได้ มีอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับเดียวกับออฟฟิศ แต่ความสบายเท่าๆ กับการอยู่บ้าน"

เพื่อตอบโจทย์พื้นที่การทำงานนั้น มร.คอนสแตนท์ เลือก 'อเล็กซานเดอร์ วอเทอร์เวอร์ท' (Alexander Waterworth) บริษัทตกแต่งภายในชื่อดังของประเทศอังกฤษ ให้เป็นผู้ออกแบบเดอะ ไฮฟ์ โดยอเล็กซานเดอร์วอเทอร์เวอร์ท ก่อตั้งขึ้นโดย มร.เจมส์ วอเทอร์เวอร์ท (James Waterworth) และ มร.อเล็กซานเดอร์ อีวานเกลู (Alexander Evangelou) มีผลงานระดับโลกมากมาย อาทิ โซโห บีช เฮาส์ ไมอามี (Soho Beach House Miami), เดอะมัสเกตรูม (Musket Room) ร้านอาหารชื่อดังในนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา, แอนนาเบล (Annabel’s) ไพรเวทคลับชื่อดังในลอนดอน, วิลลาตากอากาศ มาเซเรีย เปตราโรโล (Masseria Petrarolo) ในเมืองพูเกลีย ประเทศอิตาลี

"ในอเมริกาและอังกฤษ ลอนดอน ผมออกแบบคลับ บาร์ ร้านอาหารมามาก งานนี้จริงๆ แล้วเป็นงาน office space ชิ้นเดียวที่เราทำ มันมีอารมณ์แบบคลับผสมกับ office space นะ เราต้องการที่จะสร้างพื้นที่ที่คุณสามารถนั่งตรงไหนก็ได้แล้วเปิดแลปทอปออกมาใช้งานได้ทันที หรือว่าจะปิดแลปทอปแล้วนั่งคุยกันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นโซฟาหรือโต๊ะกาแฟ คือความสบายเป็นกุญแจสำคัญ สมมติสมาชิกของเราพาแขกมา เราก็อยากจะให้สมาชิกมีความภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของเดอะ ไฮฟ์ นั่นคือไอเดีย" มร.เจมส์ บอก

"เราใช้องค์ประกอบบางอย่างคล้ายคลึงกับที่เราทำที่ฮ่องกง ซึ่งจะเป็นวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ เป็นวัสดุที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ต่างจากวัสดุปลอมๆ อย่างพลาสติก เราจะใช้วัสดุธรรมชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และองค์ประกอบสำคัญมากอย่างหนึ่งของการออกแบบพื้นที่ลักษณะนี้คือ การสร้างพื้นที่ที่ทำให้สมาชิกสามารถมารวมกลุ่มพบปะกันได้ ซึ่งเราจะมีในทุกๆ ชั้น เพื่อให้สมาชิกได้พบปะ จะเพื่อเจอผู้คนใหม่ๆ หรือเพื่อให้หลุดออกไปจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ จากหน้าคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน ซึ่งเราจะมีในทุกๆ พื้นที่ ซึ่งมันสำคัญมาก ที่นี่เรามีพื้นที่ให้ทำได้ทั้งตึก เมื่อเทียบกับที่ฮ่องกงพื้นที่ค่อนข้างจะจำกัดกว่า" มร.เจมส์ บอก

ความเหมือนและความแตกต่างในการออกแบบระหว่างเดอะ ไฮฟ์ ฮ่องกง และเดอะ ไฮฟ์ กรุงเทพฯ มร.เจมส์ อธิบายว่า

"มันมีความเหมือนและความแตกต่าง เราคิดว่ากรุงเทพฯ จะมีความตื่นตัวมากกว่า ในด้านความคิดสร้างสรรค์ เก้าอี้อาร์มแชร์ก็ต่างกันกับที่ฮ่องกงซึ่งค่อนข้างเป็นแบบดั้งเดิม แต่ที่นี่จะมีความร่วมสมัยกว่า มีสีสันเยอะกว่า มันมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างความแตกต่างให้กับที่นี่ แล้วก็มีงานศิลปะบางชิ้นที่เป็นงานของศิลปินไทยเองด้วย เราพยายามที่จะใช้วัสดุ ของตกแต่ง หรืองานที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้.. มันสำคัญสำหรับเรามากที่ให้สังคมมีส่วนร่วม อาจจะมีบางส่วนที่เหมือนกันกับฮ่องกงคือใช้ไม้เหมือนกันแต่ด้วยแบบและชนิดของไม้ที่ต่างกัน สำหรับที่นี่แล้วมันเป็นการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลยจริงๆ ซึ่งจะเรียกว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนี้ เพราะว่าเราทำงานกับผู้จัดจำหน่าย (suppliers) ต่างกัน คนทำงานต่างกัน ก็จะได้ผลงานต่างกัน ซึ่งเราก็ชอบมากที่ออกมาเป็นแบบนี้"

สำหรับเดอะ ไฮฟ์ อเล็กซานเดอร์ วอเทอร์เวอร์ท เลือกนำรูปแบบ 'อินดัสเทรียล' (Industrial) มาใช้ในการออกแบบ

"ตึกนี้ค่อนข้างเป็นตึกใหญ่ในแนวอินดัสเทรียลโดยพื้นฐานอยู่แล้ว และเราก็ไม่อยากจะให้ออกมาเป็นแนวที่ดูคมๆ หรือพยายามมากๆ ขนาดนั้น เราอยากให้มันเป็นแนวสบายๆ มากกว่า เราคิดว่ามันควรจะมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่อินดัสเทรียลมากจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็มีความสะอาดความเนี๊ยบในแบบอินดัสเทรียลอยู่ด้วย ซึ่งเราคิดว่ามันเหมาะกับสิ่งที่เราคาดหวังไว้.. เราอยากได้ความรู้สึกแบบอินดัสเทรียลแต่ไม่มากเกินไปโดยใช้เฟอร์นิเจอร์สีสันสดใส นุ่มนวล ซึ่งจะตัดกับอินดัสเทรียลได้ดี ใช้หน้าต่างกระจกแทนประตูทึบเพื่อให้ได้ความเปิดและเบาสบาย เพื่อให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นข้อดีของตึกแบบเดี่ยวๆ ที่มีแสงเข้ามาได้ทั้งสองด้าน และอะไรๆ ที่ควรจะอยู่หลังบ้านเราก็จัดให้ไปอยู่ส่วนหลัง.. " มร.เจมส์ บอก

"ถ้าเราออกแบบมาแล้วดูคมเกินไป (too smart) เราก็อาจจะดึงดูดคนทำงานอีกแบบหนึ่งก็ได้.. ส่วนที่สำคัญมากคือ เราไม่อยากให้มันเป็นที่ที่ดูเหมือนออฟฟิศ เราอยากให้เป็นที่ที่คนรู้สึกดีที่จะมา เพราะปกติคนออกจากบ้านมาไม่มีใครอยากจะเข้ามาที่ออฟฟิศหรอก"

แม้จะเป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายแต่พื้นที่ยังคงถูกออกแบบให้ตอบสนองกับการทำงาน

"จากประสบการณ์ในฮ่องกง เราพบว่าบางทีคนอยากคุยโทรศัพท์ หรือสไกป์ (Skype) เป็นส่วนตัว ที่นี่เราเลยสร้างห้องเล็กๆ เพื่อรองรับ ให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เราออกแบบให้แสงเข้าได้มากที่สุดในลักษณะที่มีความโปร่ง แต่เราก็ไม่อยากให้มันเปิดมากเกินไปเราเลยมีชั้นวางมาคอยกั้นเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวบ้าง แล้วเราก็มีจอภาพ (projector) สำหรับคนที่อยากจะเปิดตัวสินค้าใหม่หรือแสดงงานให้คนจำนวนมากเห็น เรามีห้องประชุมขนาดเล็กอยู่ชั้นบน หรือถ้าต้องการคุณก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนต้อนรับสำหรับการประชุมแบบไม่เป็นทางการนักก็ได้ สมาชิกแบบไม่มีโต๊ะประจำจะมีล็อคเกอร์ส่วนตัวสำหรับเก็บของใช้และมีกล่องจดหมายให้ด้วย ชั้นบนเราก็มีโต๊ะประจำสำหรับคนที่ต้องการมีโต๊ะเป็นของตัวเองซึ่งคุณจะตั้งจอใหญ่ๆ หรือจะเป็น iMac ก็ได้ที่โต๊ะนี้ และทิ้งของไว้เลยก็ได้ ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ทำงานด้านการออกแบบหรือช่างภาพ"

การออกแบบพื้นที่ยังเป็นไปเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ

"ผมว่ามันคือความที่เป็นพื้นที่เปิดแบบธรรมชาติ ยิ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดมากผมคิดว่าจะทำให้ความคิดคุณเป็นอิสระมากขึ้น แสงธรรมชาติก็มีส่วนสำคัญมาก เวลาผมออกแบบอะไรผมไม่ชอบการออกแบบในกล่อง (ออฟฟิศปิด) และเราก็มีสีสันด้วย ไม่ใช่มีแต่สีดำ สีน้ำตาล มีส่วนผสมของสีสันสดใสที่ดูแล้วสนุก ชั้นล่างก็มีงานศิลปะให้ดู มันคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายมากพอ จนทำให้คนรู้สึกสบายที่จะทำงานออกแบบ ถ้านั่งที่โต๊ะตลอดวันสมองของคุณมีสมาธิได้แค่ครั้งละ 25 นาทีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่เรามีพื้นที่ที่ให้คุณพ้นไปจากโต๊ะ จากสภาพแวดล้อมเดิม คุณสามารถหยิบแลปทอปของคุณขึ้นมาชั้นบนก็ได้ สมองของคุณก็ได้พัก และเริ่มต้นใหม่ได้อีก" มร.เจมส์ บอก

"ผมชอบที่จะมีพื้นที่ข้างนอกอาคาร ผมชอบพื้นที่เปิด ชอบธรรมชาติ คือถ้าเป็นไปได้ผมคงอยากทำงานในทุ่งน่ะ สำหรับผมแล้วที่ที่ผมชอบที่สุดของที่นี่คือดาดฟ้า แต่ผมก็ชอบโต๊ะทำงานที่จะพบปะผู้คนด้วย และชอบโซฟาด้วย ผมชอบความยืดหยุ่นของที่นี้"

นอกจากความสะดวกสบายในการทำงานของผู้ใช้งานแต่ละคน การสร้างโอกาสในการพบปะ แลกเปลี่ยน และร่วมมือกัน ยังเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบ เดอะ ไฮฟ์

" ..สำหรับที่นี่ ปรัชญาการออกแบบคือการดึงคนเข้ามาอยู่ร่วมกัน ปกติแล้วเวลาคุณทำงาน คุณไม่รู้หรอกว่าคนอื่นๆ ทำอะไรอยู่ แต่ที่นี่คุณเหมือนจะถูกบังคับให้นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกัน ซึ่งทำให้คุณรับรู้ถึงคนอื่นๆ มันคือปรัชญาของการแนะนำคนให้มาเจอกัน และเป็นการสร้างพื้นที่ที่ไม่เสแสร้ง เป็นธรรมชาติ และสบายพอที่จะพบปะกับคนอื่นๆ ได้ หรือคุณจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปที่อื่นก็ได้ เปลี่ยนที่นั่งไปพบกับคนอื่นที่แตกต่างออกไปก็ได้.. " มร.เจมส์ กล่าว

"เราอยากจะดึงกลุ่มคนที่มีกิจกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถเป็นกลุ่มคนที่ทำงานด้านการออกแบบ ทำงานด้านการตลาด งานด้านการผลิตสื่อวีดิโอ งานการผลิตซอร์ฟแวร์ แอพพลิเคชั่น หรือจะเป็นกลุ่มที่สร้างสรรค์ในลักษณะของการเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม แล้วคนกลุ่มนี้ก็จะมาแชร์ความรู้สึกของการเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจกัน.. ที่ฮ่องกงก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน เราพยายามที่จะสร้างความแตกต่างในหลายๆ ด้าน ทั้งจากการออกแบบ จากความตั้งใจในการออกแบบ จากการจัดวางพื้นที่ ตลอดจนการบริหารจัดการระบบของเรา เราพยายามที่จะใส่องค์ประกอบด้านสังคม (social) เข้าไปด้วย.. " มร.คอนสแตนท์ เสริม

"สิ่งที่สำคัญที่เราอยากทำคือ เราอยากที่จะสร้างกลุ่มสังคมที่มีความสมดุล เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ไม่ได้ประกอบด้วยกลุ่มไหนมากหรือน้อยเกินไป เราอยากให้เป็นกลุ่มสังคมที่มีความหลากหลาย และน่าสนใจ เพื่อที่จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน เช่นถ้าเรามีกราฟฟิค ดีไซเนอร์ เราก็อยากจะมีสมาชิกที่เป็นช่างภาพมาเสริม เพื่อให้เกิดโอกาสการทำงานร่วมกันได้.. ผมว่ามันเป็นพื้นฐานของการทำงานครีเอทีฟที่คุณจะต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนอื่นอยู่แล้ว เราเลยออกแบบพื้นที่ให้เปิดและมีโอกาสที่จะพูดคุยกับคนอื่นได้ง่าย รูปแบบการทำงานมีส่วนสำคัญที่ทำให้เราออกแบบพื้นที่นี้ขึ้นมา และในทางกลับกันเราออกแบบพื้นที่นี้ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนรูปแบบการทำงานลักษณะนี้ด้วย"

นับแต่อดีตความคิดสร้างสรรค์กำเนิดขึ้นในทุกสถานที่ สถานที่ทำงานที่ดีจึงไม่ใช่เรื่องของความกว้างใหญ่ของห้อง ความใหญ่โตของโต๊ะทำงาน หรือความทันสมัยของอุปกรณ์สำนักงาน พื้นที่ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และก่อแรงผลักดันให้เกิดการสร้างผลงานจึงเป็นพื้นที่ทำงานที่ดีอย่างแท้จริง

หมายเหตุ : ชมภาพ The Hive มากกว่านี้ได้ที่แฟนเพจ 'กรุงเทพวันอาทิตย์ กรุงเทพธุรกิจ' คลิก https://www.facebook.com/sundaybkk?ref=hl#!/media/set/?set=a.681738918559296.1073742338.160372727362587&type=1