ชุดเก๋ในห้องกรง

ชุดเก๋ในห้องกรง

โลกสวยไปไหม ถ้าจะมีใครลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ ‘นักโทษ’ ได้มีเสื้อผ้าที่พอจะดูดีใส่กับเขาบ้าง.. ในนามของความเป็น ‘คน’

หลังรั้วสูงตระหง่านที่หน้าประตูทางเข้าเด่นชัดด้วยตรา "พระยมทรงสิงห์" หรือที่เรียกกันแบบชาวบ้านว่า "พญายม" นั่งบนหลังสิงห์ มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือกงจักรนั้น สำหรับใครที่ได้รับวีซ่าจากศาลไทยให้เข้าไปใช้ชีวิตเป็น "คนห้องกรง" ที่แม้จะมาด้วยความผิดที่แตกต่างกันไป แต่ชีวิตหลังรั้วสูงทึบนี้ ทุกคนกลับไม่ต่างกัน

..ทั้งเรื่องความอัตคัต ด้วยพื้นที่นอนเท่ากับสองไม้กระดาน(เป็นอย่างมาก) น้ำอาบที่เต็มไปด้วยเห็บเหา มีกับข้าวเป็นกระเพรากระดูกสับ และมีพาราเซตตามอลเป็นยาวิเศษรักษาทุกโรค

กระทั่งเสื้อผ้าจากเดิมที่เคยให้ใส่อะไรก็ได้ (แต่ต้องเป็นกางเกงขาสั้น) ก็ถูกเปลี่ยนกฎให้ใส่ชุดที่ทางการกำหนดให้ โดยแบ่งสีแยกเหล่า ระหว่างนักโทษที่คดีสิ้นสุดแล้วให้ใส่สีฟ้า กับนักโทษที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีให้ใส่สีน้ำตาล หรือที่เรียกกันชินปากว่า "ชุดลูกวัว" ซึ่งหากวันไหนต้องเดินทางไปศาล เหล่าลูกวัวก็จะได้โซ่ตรวนอีกหนึ่งชุดเป็นของแถม

สำหรับคนที่ ‘พอมี’ ก็สามารถซื้อหาชุดไม่ว่าจะสีฟ้า สีน้ำตาล หรือสีเหลืองซึ่งเป็นชุดสำหรับออกเยี่ยมญาติมาไว้ในครอบครองเป็นสมบัติส่วนตัวได้ แต่ใครที่ไม่มี ก็จะต้องพึ่ง "ชุดหลวง" ที่ไม่ใช่แค่ได้มาฟรีๆ แต่ยังมีความสกปรกเป็นของแถม มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความสะอาดของเจ้าของก่อนหน้านี้ เพราะชุดหลวงจะใส่วนกันไปมาอยู่ในนั้น เดือนหนึ่งถึงจะซักที

นอกจากนี้ ในบางช่วงที่ผู้ต้องขังอัดแน่นจนชุดไม่พอจะใส่ บางครั้งก็มีคนเจอแจ๊คพ็อตได้รับสิทธิให้ใส่ชุดที่มีเครื่องหมายของนักโทษประหารเลยก็มี!

  • ชุดเจ้าปัญหา

บางคนอาจเห็นว่า ความสวยงามของชุดนักโทษไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไร เมื่อเทียบกับสิทธิมนุษยชนในด้านอื่นๆ อีกมากมายที่เรือนจำไทยยังไปไม่ถึง แต่ถ้ามองกลับกัน แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างชุดยังไม่ได้ นับประสาอะไรกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

จึงเป็นที่มาของปฏิบัติการขอคืนศักดิ์ศรีให้กับนักโทษ โดยทีมงานเว็บไซต์ ilaw.or.th ซึ่งจัดประกวดดีไซน์ชุดนักโทษสุดเก๋ภายใต้แนวคิด “นักโทษก็เป็นคน” เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน สวยงามทันยุคสมัย ไม่ล้าหลัง และที่สำคัญคือ ต้องไม่เป็นการละเมิดซ้ำกับคนที่ต้องแบกรับโทษทัณฑ์อยู่แล้ว

ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่กับคนที่จำเจอยู่ในสถานที่เดิมๆ ใช้ชีวิตเดิมๆ เหมือนการกรอเทปซ้ำไปซ้ำมา 'จูน' อดีตผู้ต้องขังหญิงจากทัณฑสถานหญิงกลาง เธอบอกว่า ถ้ามีชุดใหม่มาเปลี่ยนบ้างก็คงจะดี

"จริงๆ อยากได้ชุดที่กะทัดรัดหน่อย อย่างผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผ้าถุง อยากได้เป็นกางเกงมากกว่า" จูนให้ความเห็นจากประสบการณ์

ขณะที่ ‘ตี๋’ ซึ่งเข้าๆ ออกๆ ทัณฑสถานบำบัดคลองเปรมจากคดียาเสพติดอยู่หลายครั้ง เขายอมรับว่า ขอแค่เสื้อผ้าใส่สบายเหมือนที่ชาวบ้านทั่วไปเขาใส่กัน ถ้าได้ก็สุดยอดแล้ว โดยพี่ใหญ่ในวงเสวนา "คุยกับคนห้องกรง" ที่จัดขึ้นพร้อมๆ กับการประกาศผลการประกวด "ออกแบบชุดนักโทษใหม่" เผยว่า ส่วนตัวไม่ได้คิดหวังเรื่องสีสันหรือลวดลายสวยหรูเลย

ส่วน ‘ณัฐ’ ผู้ผ่านชีวิตกว่า 2 ปีในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเคยย้ายหนีน้ำไปสู่เรือนจำบางขวางชั่วคราว เขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับชุดว่า จริงๆ ก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร ขอแค่ให้มันดูดีกว่าที่เป็นอยู่ขึ้นสักหน่อยก็คงดี

"คือ มันดูไม่สร้างสรรค์เท่าไหร่น่ะ ยังไงก็ไม่รู้ ใส่กางเกงขาสั้น มีโซ่ตรวน" ณัฐเอ่ยถึงชุดที่เขาต้องใส่เวลาไปศาล ซึ่งทุกครั้งของการปรากฏตัวในชุดนั้นกลางที่สาธารณะ ไม่ว่าจะกี่สิบครั้งเขาก็ไม่คุ้นชินกับมันอยู่ดี

นอกจากนี้ ตามภาพข่าวที่ได้เห็นนักโทษคดีดังๆ ที่เดินทางไปศาลนั้น เคยสังเกตกันบ้างไหมว่า พวกเขา(โดยมาก)ไม่ใส่รองเท้า

ข้อมูลจาก ilaw บอกไว้ว่า เดิมทีผู้ต้องขังก็ใส่รองเท้าไปศาลเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ... แต่ครั้งหนึ่งเกิดเหตุผู้ต้องขังปารองเท้าใส่ผู้พิพากษาขึ้นมา เหล่าลูกวัวทั้งหลายจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ใส่รองเท้าขึ้นศาลนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

และถ้าเราได้เห็นผู้ต้องขังคนไหนสามารถสวมรองเท้าเดินอาดๆ ขึ้นศาล ก็บอกได้เลยว่า.. คนๆ นั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

  • ศักดิ์ศรีในความงาม

เสื้อสีเทาใส่คู่กับกางเกงลายทางแนวตั้งสีฟ้าสลับเทาอ่อน กับความหมายที่ซ่อนอยู่ของการเป็น "บุคคลสีเทา" ดีไซน์โดย กล่าวขวัญ อดทน หนึ่งในสองผู้ชนะการประกวด ที่บอกว่า คนทุกคนก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เคยพลาดพลั้งทำผิดกันมาแล้วทั้งนั้น และเธอก็เชื่อว่า ถึงอย่างไร ทุกคนต่างก็มีความดีงามความถูกต้องอยู่ในตัวบ้าง แม้จะไม่ใช่บุคคลสีขาวบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่ใช่สีดำที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ส่วนสีฟ้าที่แซมเข้ามา ก็เพื่อสร้างกำลังใจให้แก่นักโทษ ไม่ให้ท้อแท้ หมดหวัง มีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป

กิมมิคเล็กๆ ที่ผู้ประกวดหลายคนมองข้ามไป แต่กลับทำให้ หนุ่ม-ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล อดีตผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หนึ่งในกรรมการตัดสิน มองเห็นถึงความใส่ใจ คือ กระเป๋าใบน้อยที่อกเสื้อสำหรับใส่ของจุกจิก ซึ่งเขาบอกว่า จำเป็นทีเดียวสำหรับชีวิตในนั้น

ส่วนอีกหนึ่งผู้ชนะ คือ อัครา เมธาสุข ที่ได้ใจกรรมการไปครองเพราะตอบโจทย์สิทธิมนุษยชนได้ตรงจุดที่สุด คือ "ไม่ต้องมีชุดนักโทษมันเสียเลย"

อัครา เล่าถึงที่มาของไอเดียว่า ก่อนเริ่มคิดงาน เขาไปสอบถามความคิดเห็นเพื่อนๆ ก่อนว่าต้องการแบบไหน ก็ได้คำตอบว่า ต้องการแค่แย่งให้ออกว่าใครคือนักโทษ เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยในทำนองว่า จะได้หนีทัน

แต่เขาก็ตั้งคำถามต่อว่า แค่แยกออกว่าคนไหนเป็นนักโทษแล้วจะสามารถป้องกันตัวเองได้จริงหรือ? ซึ่งเจ้าตัวมองว่า ต่อให้ชุดจะดีไซน์เปลี่ยนไปแค่ไหน ก็จะไม่สามารถลบทัศนคติที่มีต่อนักโทษได้อยู่ดี

"นักโทษเองก็คงไม่สบายใจสักเท่าไหร่ที่จะใส่ชุดลูกวัว แต่ไม่ว่าจะให้เขาใส่เสื้อผ้าเปลี่ยนสีไปยังไง เป็นเสื้อแขนสั้น แขนยาว เสื้อคอกลม คอวี หรือมีลวดลายยังไง ก็ไม่ได้หมายความว่านักโทษทุกคนจะมีความสุข"

จึงกลายเป็นที่มาของไอเดียนี้ ที่ตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัยอย่างตรงจุด โดยนักโทษจะสามารถใส่ชุดอะไรก็ได้ แต่ป้องกันการหลบหนีด้วยการให้ผู้ต้องขังสวมกำไลข้อมือฝังข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนระบบติดตามตัว และจะต้องเป็นกำไลที่ไม่สามารถถอดออกด้วยตัวเอง

"จริงๆ แล้วผู้ที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาก็ไม่ควรที่จะอยู่ในเรือนจำ ดังนั้นชุดอะไรก็แล้วแต่ที่เราพูดถึง ก็ควรจะได้รับสิทธิในการใส่ชุดอะไรก็ได้ ซึ่งในกฎบัตรทางด้านสิทธิมนุษยชนที่เรียกว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ปฏิบัติต่อนักโทษก็พูดไว้ชัดเจนเรื่องชุดของนักโทษว่า นักโทษหรือผู้ต้องขังถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ชุดอะไรก็ได้ รัฐจะต้องจัดชุดที่เหมาะสม และดีพอ ส่วนถ้าผู้ต้องขังต้องออกไปนอกสถานที่ควบคุมตัวโดยเป็นภาระ อย่างเช่นไปศาล ไปสถานพยาบาล ก็ต้องได้รับอนุญาตให้ใส่ชุดอะไรก็ได้" พรเพ็ญ กงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กรรมการอีกคนอธิบายเสริมถึง "ความหมายแฝง" ที่ซ่อนอยู่ในชุดนักโทษ

สำหรับ พันธุ์ชนะ สุนทรพิพิธ กรรมการคนสุดท้ายจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองโจทย์ร่วมระหว่างความสวยงาม และการใช้งานสิ่งสำคัญคือการสนับสนุนสภาวะความเป็นคนของนักโทษที่เท่าเทียมกับทุกคน แล้วสร้างสถานภาพสภาวะความเป็นคนที่เท่าเทียมกับทุกคนได้

"มันน่าจะอยู่ที่ว่าอะไรคือคำจำกัดความของคำว่าสวยงาม ก็ไม่ใช่จะใส่ไปเดินแฟชั่นโชว์แบบนั้น สวยงามขนาดนั้นคงไม่จำเป็น"

โดยสวยงามในที่นี้ของ อ.พันธุ์ชนะ คือการที่ใส่แล้วคนใส่สบายที่จะไปเจอกับคนภายนอก และคนภายนอกมองเขาอย่างสบายใจเหมือนกันทั้งสองฝ่าย ในแง่ของการซัพพอร์ตสภาวะความเป็นคนของนักโทษที่เท่าเทียมกับทุกคน แล้วสร้างสถานภาพสภาวะความเป็นคนที่เท่าเทียมกับทุกคนได้.. นั่นแหละ คือ ความสวยงาม

ถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางเจ้าของชิ้นงาน และคณะกรรมการต่างก็มองเห็นว่า จุดหมายปลายทางเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นคน โดยมีชุดนักโทษเป็นเหมือน "น้ำหยดแรก" เพื่อสร้างทัศนคติใหม่อันจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกระบวนการยุติธรรมต่อไป

  • สอยชุด ชุนความคิด

เสียงหนึ่งจากคนฟังตั้งข้อสังเกตว่า ปมที่แก้ไม่ออกของเรื่อง น่าจะอยู่ที่ทัศนคติของสังคมเสียมากกว่า ต่อให้นักโทษใส่ชุดอะไรก็ได้ แต่ถ้าทุกคนรับรู้ทั่วกันว่า 'กำไล' คือสัญลักษณ์แสดงถึงสถานะนักโทษ ต่อไปคนก็จะร้องยี้ วิ่งหนีนักโทษอยู่ดี หรือไม่เพียงเท่านั้น อาจลุกลามไปถึงคนทั่วๆ ไปที่ใส่กำไลเพื่อความสวยงามด้วยก็เป็นได้

เสริมด้วยอีกหนึ่งเสียงที่ชวนสะกิดใจว่า.. มีไหม ชุดที่ออกแบบแล้ว นักโทษมาตรา112 กลายเป็นคนขึ้นมาทันที ?

ในฐานะคนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยนชนมานาน พรเพ็ญ เปรยถึงปัญหาเรื่อง "กระบวนการยุติธรรม" ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ หากซ่อนอยู่เบื้องหลังชุดมอซอ ไม่ว่าจะสีฟ้า หรือน้ำตาลก็ตามแต่

"เรามีระบบขั้นตอนที่ห่วยแตกมากในกระบวนการยุติธรรมชั้นต้น ทำให้มีผู้ต้องขังที่ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องอยู่ในเรือนจำได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ในกระบวนการยุติธรรม ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาเขาจะต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นการที่เขาถูกใส่ชุดลูกวัว ไม่ว่าเนื้อผ้าจะดีแค่ไหน จะใส่สบายแค่ไหน แล้วมีโซ่ตรวน มีการพันธนาการอยู่ก็ถูกสังคมตราหน้าหรือตีตราไปแล้วว่าเป็นผู้กระทำความผิด"

"และที่น่าสงสัยมากกว่านั้นก็คือ ผู้พิพากษาบนบัลลังก์ เวลามองลงมาเห็นบุคคลเหล่านั้น ก็อยากรู้ว่า มองพวกเขาในฐานะผู้ที่ยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า?" เธอตั้งคำถามลอยไปถึงใครที่มีอำนาจ

เพราะก่อนจะลากยาวมาถึงปัญหาจิ๊บจ๊อยอย่างเรื่องชุด เธอเห็นว่า ถ้ากระบวนการเป็นไปอย่างถูกที่ถูกทางตั้งแต่ต้น ดราม่าทั้งหลายแหล่ก็จะไม่เกิดขึ้น

..ไม่ต้องมีโรงเรียนสอนโจรที่ใครเข้ามาเป็นต้องได้วิชาไปหารายได้ทางลัด

..ไม่ต้องมีปัญหาความคับแคบเพราะคนล้นคุก ชนิดที่ถ้าลุกไปเข้าห้องน้ำตอนดึก กลับมามีสิทธิได้หลับทั้งๆ ยืน

..ไม่ต้องมีปัญหาโรคติดต่อที่กลายเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านไป ฯลฯ

"งานยุติธรรมจะต้องกรองมาก่อน คนที่เข้าข่ายว่าน่าจะถูกตัดสินลงโทษในลักษณะที่มีหลักฐานพยานเพียงพอจึงนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่ใช่เอาเข้ามาก่อน ก็เลยกลายเป็นปัญหามากว่าทำไมเราถึงมีภาระที่ต้องบริหารจัดการผู้ต้องขัง ทั้งระหว่างที่จะรอพิจารณาคดีในชั้นต้น ชั้นอุทรณ์ และชั้นฎีกา เรามีผู้ต้องขังทั้งหมด 230,000 กว่าคนทั่วประเทศ ซึ่งเยอะมาก" พรเพ็ญเอ่ย

เสริมด้วยความเห็นของศิษย์เก่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างหนุ่มที่ฟันธงว่า ศาลไม่ได้มองประชาชนอย่าง 'เขา' เป็น 'คน'

เพราะถ้าจะว่ากันตามจริง ข้อถกเถียงเรื่องการลงโทษผู้กระทำผิดก็ยังคงถูกยกขึ้นมาวิพากษ์กันอย่างไม่จบไม่สิ้น ความหนักเบาของโทษควรจะเป็นอย่างไร วิธีการลงโทษโดยมีปลายทางเป็นเรือนจำใช่ทางออกที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะกับโทษคดียาเสพติดที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักโทษล้นคุก ซึ่งถูกตั้งคำถามอย่างหนักถึงความเหมาะสมของบทลงโทษนั้น

ถ้าถามความเห็นจาก "ตี๋" เขายกตัวอย่างไม่อื่นไกลที่ไหน จากทั้งตัวเขาเอง และเพื่อนๆ อีกหลายคนนั้นก็หน้าเดิมๆ วนกลับไปกลับมาเข้าคุกกันเป็นสนุก เพราะฉะนั้น การใช้ความรุนแรง กำราบด้วยโทษหนัก เข้ามาจัดการในกรณีของนักโทษคดียาเสพติด จึงดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไรในความคิดเขา..

ว่าแล้วตี๋ก็เสนอความเห็นกลางวงว่า.. หรือจะเปลี่ยนสถานบำบัด เป็นสถานปฏิบัติธรรมดี ?