ความชื่นมื่นของคืนวันเสาร์ ใน KL

ถ้าอยากรู้จัก "กัวลาลัมเปอร์" แบบลึกซึ้ง มีคนบอกว่า "ต้องเที่ยวกลางคืนเท่านั้นจึงจะรู้"
อย่าเพิ่งตกอกตกใจและคิดว่าฉันจะพาไปเตลิดเปิดเปิงอะไร เพราะจริงๆ แล้ว "เที่ยวกลางคืน" ในแบบที่กำลังแนะนำนั้นค่อนข้าง "สุนทรีย์" กว่าที่หลายคนคิด
กัวลาลัมเปอร์ ชื่อนี้นักท่องเที่ยวผู้รักการเดินทางคงคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นสถานที่ที่ไปได้ง่ายถึงง่ายมาก พอๆ กับสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า แน่นอน เมื่อมีโอกาสฉันก็มักจะกลับไปเยือน KL (Kuala Lumpur) อีกครั้ง เสมอๆ
"ไม่เบื่อบ้างเหรอ" คำถามจากเพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อฉันบอกเธอว่า "จะไปกัวลาลัมเปอร์(อีกแล้ว)" ฉันยิ้มให้เธอเล็กๆ ก่อนจะบอกว่า
"ถ้าการเดินทางทำให้เรามีความสุข ไม่ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด เราก็มีความสุขได้ เพราะเราไปด้วยใจที่เป็นสุข"
คำตอบสวยๆ ที่ใครๆ ก็พูดได้ และเมื่อฉันพูดออกไปแล้ว ฉันก็ต้องรับผิดชอบกับความสวยงามจากการเดินทางที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นด้วย
....................
"Selamat Datang" ป้าย "ยินดีต้อนรับ" ติดหราตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในสนามบิน KLIA2 สนามบินแห่งใหม่ล่าสุดของกัวลาลัมเปอร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่กี่เดือน
อาจเพราะความใหญ่โตของสนามบินใหม่ นั่นจึงทำให้ฉันเดินหลงทางและหาบันไดเลื่อนไม่พบนานกว่า 15 นาที กระทั่งยอมปริปากถามเจ้าหน้าที่นั่นแหละ ถึงพบทางสว่าง
เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกันที่ครั้งนี้ฉันตั้งใจจะมาตะลุยราตรีที่กัวลาลัมเปอร์ พอเหมาะพอเจาะกับที่เมืองหลวงของมาเลเซียแห่งนี้ ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองที่มีความคุ้มค่ากับการท่องราตรีที่สุดในเอเชีย จากการประเมินของ "ทริปอินเด็กซ์ ซิตี้" แน่นอนว่า พี่ไทยเราก็มี "บางกอก" ติดโผ 1 ใน 10 กับเขาด้วยเช่นกัน
แต่...อย่าวอกแวกไป เรากำลังอยู่ในดินแดนแห่งความสุกสว่างท่ามกลางความสุขสงบอย่างกัวลาลัมเปอร์ หลายคนเคยมาที่นี่แล้วก็บอกกับตัวเองว่า ครั้งเดียวก็เกินพอ แต่ฉันกลับรู้สึกไม่เคยพอเลยสักครั้ง
เมอร์เดก้า สแควร์(Merdeka Square) ยังคงเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ไม่ว่าใครมาถึงก็ต้องเดินทางมาถ่ายภาพกับจัตุรัสแห่งเสรีภาพในประวัติศาสตร์แห่งนี้ ฉันตั้งใจจะไปที่นั่นเหมือนกัน แต่ทริปนี้มีงบประมาณจำกัด การวางแผนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
มาถึง KL เอาตอนกลางวัน เราก็ควรใช้เวลาในช่วงนั้นให้คุ้มค่าที่สุด เริ่มต้นที่การใช้บริการรถสาธารณะ นั่นคือ KLIA Express รถด่วนที่วิ่งเชื่อมสนามบินกับสถานี KL Central ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ สนนราคาค่าบริการ 35 ริงกิต (350 บาท) ต่อ 1 เที่ยว ฉันซื้อตั๋วและขึ้นรถทันที เพราะรถมาเร็วมาก และก็วิ่งเข้าเมืองที่อยู่ห่างไปประมาณ 70 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเพียง 28 นาที พอดีเป๊ะ จากนั้นก็ต่อโมโนเรล (Monorial) ไปยังสถานี Medan Tuanku ไม่นานเราก็ถึงใจกลางเมืองจริงๆ
วันนี้เป็นวันเสาร์ ถูกต้อง วันเสาร์ที่ทุกๆ คนไม่อยากนั่งเหงาๆ อยู่บ้าน ก็เลยพากันออกมาเดินเล่นในเมืองเต็มไปหมด ฉันไม่อยากเบียดเสียดกับผู้คนเลยขอลองนั่ง KL Hop-On Hop-Off เป็นรถทัวร์เมืองที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด เพราะราคาตั๋ว 24 ริงกิต (240 บาท) สามารถเที่ยวชมสถานที่สำคัญๆ ของกัวลาลัมเปอร์ได้แบบครบถ้วน และถ้าเราจะลงที่สถานีไหนก็ไม่ต้องบอกให้รถรอ เพราะคันต่อไปก็ยังมี ที่สำคัญตั๋วที่ซื้อมีระยะเวลาครอบคลุม 1 วัน สมมติถ้าเราซื้อตั๋ว 12.00 น. วันนี้ สามารถใช้บริการได้จนถึง 11.59 น. ของวันพรุ่งนี้เลยทีเดียว
มา KL ก็หลายรอบ แต่ไม่เคยใช้บริการรถทัวร์เมืองแบบนี้สักที ว่าแล้วก็เดินเลาะเลียบโมโนเรลไปยัง Jalan Raja Laut ถนนที่มีสถานีหยุดรถ Hop-On Hop-Off ที่ใกล้ที่สุด นั่นคือจุดจอดรถที่ 18
KL Hop-On Hop-Off ให้บริการทัวร์รอบเมืองกัวลาลัมเปอร์ โดยมีจุดจอดรถทั้งหมด 23 จุด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นจุดไหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด และก็สามารถลงไปชมความงดงามของสถานที่ในจุดนั้นๆ ได้ แต่ถ้าไม่ลงก็ฟังข้อมูลที่จะมีการบรรยายเป็นภาษาอังกฤษอยู่บนรถ
เรานั่งรถไปเรื่อยๆ ผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Palace of Culture, National Library, Petronas Twin Tower, KLCC, KL Tower, China Town, Central Market, Little India, National Museum, National Palace, National Monument, Butterfly Park, Bird Park, National Mosque, Dataran Merdeka ฯลฯ
ฉันนั่งอยู่บนรถแบบไม่ลงที่ไหนเลย กระทั่งรถวิ่งวนมาจนถึงสถานีที่ 17 Dataran Medeka หรือ จัตุรัสแห่งเสรีภาพ ฉันจึงลงไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย
จัตุรัสเมอร์เดก้า คือสถานที่ปลดแอกของชาวมาเลย์ต่อประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษ โดยเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1957 ธงยูเนียนแจ็คของอังกฤษถูกชักลงจากยอดเสา และแทนที่ด้วยธงชาติมาเลเซีย แสดงถึงความเป็นเอกราชของมาเลเซียอย่างเป็นทางการ ซึ่งคำว่า Merdeka เป็นภาษามาเลย์ ที่หมายถึง "เอกราช" นั่นเอง
"ปาดัง" หรือสนามหญ้าขนาดใหญ่คล้ายสนามหลวง ยังคงเป็นจุดที่ดูสะอาดตาเช่นเดิม ส่วนอาคารสุลต่านอับดุล ซามัด (Sultan Abdul Samad Building) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ยังเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมด้วยสถาปัตยกรรมแบบมัวร์(อินเดีย+อาหรับ) นั้นดึงดูดสายตาสิ้นดี
ฉันเดินเลียบสนามหญ้า "ปาดัง" เข้าไปที่อาคารหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง ด้านหน้าแปะป้ายว่าที่นี่คือ Kuala Lumpur City Gallery เข้าชมได้ระหว่างเวลา 09.00 A.M. - 6.30 P.M. ที่สำคัญ "ชมฟรี" สิ่งนี้แหละคือสิ่งที่เราต้องการ
ภายในแกลเลอรีบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของมาเลเซียตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีห้องมืดที่จัดแสดงโมเดลกรุงกัวลาลัมเปอร์ผ่านแสง สี ดูสนุกสนานดีทีเดียว นอกจากนี้ในห้องนิทรรศการหมุนเวียน ยังมีการแสดงโครงสร้างทางสถาปัตย์ของอาคารต่างๆ ด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวที่เสพติดชีวิตออนไลน์ไม่เสียใจแน่ๆ เมื่อเข้ามาใน KL City Gallery เพราะที่นี่มีบริการ WiFi ฟรี ไม่มีลิมิต
ออกจากแกลเลอรีก็ได้เวลาพอดีกับที่เพื่อนสาวชาวไทยที่มาทำงานอยู่ใน University Malaya (UM) มารับ จะบอกว่าโชคดีมากที่มีเพื่อนอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ เพราะนั่นทำให้เราประหยัดไปได้หลายอย่าง ทั้งค่ารถ(ใช้บริการรถของเพื่อน) ค่าที่พัก(พักบ้านเพื่อน) และค่าอาหารบางมื้อ(เพื่อนทำอาหารให้กิน) ความสุขใดไหนจะเท่า ความสุขที่เรามีเพื่อนอยู่ต่างแดน ^_^
เป็นธรรมดาของวันหยุดที่ชาวเมืองทุกๆ คนอยากพักผ่อน พวกเขาจึงอาศัยช่วงเวลานี้ในการเดินทางไปสัมผัสอากาศบริสุทธิ์นอกเมือง บ้างก็พากันไปปั่นจักรยาน หรือบ้างก็ดูหนังตามประสาคนเมือง แต่สำหรับเพื่อนเรา เธอบอกว่า การอยู่บ้านและนั่งทำสวนเล็กๆ ให้สวยงาม คือความสุขในวันไร้ซึ่งงานการของเธอ
ฉันตามเพื่อนไปซื้อต้นไม้แถวย่าน Petaling jaya session 17 มีร้านต้นไม้ที่คนไทยเป็นเจ้าของอยู่ด้วย แต่ที่นี่ไม่ใช่ตลาดต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด เพราะถ้าจะให้ใหญ่จริงต้องออกนอกเมืองไปอีกนิด ย่าน Sungai Buloh โน่นล่ะมีต้นไม้เยอะจริง และราคาถูกมาก ต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ล้อมมาขายราคาเพียง 10,000 บาทต่อต้นเท่านั้น
ได้ต้นไม้ขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มและดินอีกถุงใหญ่แล้วเพื่อนเราก็พาฉันกลับมาจัดสวนที่บ้านย่าน Tama Seputih แต่ไม่ทันเหนื่อยเธอก็ทำราดหน้า พร้อมกับสั่ง Dominos Pizza หน้ามังสวิรัติถาดโตมาให้กินพลางๆ
เพลิดเพลินกันจนเย็นย่ำ เกือบลืมโปรแกรมสำคัญที่เป็นจุดหมายปลายทางจริงๆ ของเราในครั้งนี้ นึกได้ก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและสตาร์ทรถออกไปยังสถานที่ในโปรแกรมคืนนี้ทันที
KLPAC(The Kuala Lumpur Performing Arts Centre) หรือ ศูนย์ศิลปะการแสดงกัวลาลัมเปอร์ คือเวทีแสดงงานด้านศิลปวัฒนธรรมแบบผสมผสาน(intergrated) เปรียบไปก็คล้ายๆ "ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทสไทย" บ้านเรา แต่อาจจะฮิพกว่า เอาใหม่ เปรียบคล้ายๆ กับ "หอศิลป์แห่งกรุงเทพมหานคร" บวกกับ "มหิดลสิทธาคาร" ของมหาวิทยาลัยมหิดล จะดีกว่า
ศูนย์ศิลปะการแสดงกัวลาลัมเปอร์ตั้งอยู่กลางสวน Sentul ที่เขียวชอุ่ม แต่เรามาถึงจนมืดค่ำแล้ว สวนสีเขียวถูกปกปิดอย่างมิดชิดด้วยความมืดดำของค่ำคืน แต่เรายังมองเห็นโรงละครแบบโพรซีเนียม (proscenium - เวทีมีกรอบแบบผู้ชมอยู่ด้านเดียว) อย่างชัดเจน นอกจากนี้ก็ยังมีโรงละครแนวทดลองแบบแบล็กบ็อกซ์ (black box), โรงซ่อมสร้างฉากในตัว โรงเรียนพร้อมห้องซ้อม และอื่นๆ อีกมากมาย
เรามาที่นี่เพราะจองตั๋วเข้าชมการแสดงออเคสตราที่มีชื่อเก๋ๆ ว่า "นั่นนิดนี่หน่อย" หรือ A bit of this, A bit of that. เป็นการแสดงดนตรีของวง KLPAC Symphony Band กับ Kinta Valley Wind Orchestra ซึ่งประชันกันจนคนดูแทบลุกขึ้นเต้น นับเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานมากๆ ซึ่งการแสดงแบบนี้หาชมได้ไม่ยาก และราคาถูกจนใครๆ ก็ชมได้ ราคาตั๋วที่เราซื้อในคืนนั้นอยู่ที่ 43 ริงกิต หรือ 430 บาท แต่ถ้ามีบัตรนักศึกษาก็จะลดราคาเหลือเพียง 23 ริงกิต หรือ 230 บาทเท่านั้นเอง
เพื่อนของฉันบอกว่า จริงๆ แล้วใน KL มีการแสดงแบบนี้ให้ชมฟรีหลายแห่ง หากเป็นคนรักดนตรี หรือชอบงานศิลปะสามารถอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้อย่างเพลิดเพลินเลยทีเดียว
อย่างที่บอกไว้แต่ต้น ว่าจะค้นพบความเป็นกัวลาลัมเปอร์ให้ลึกซึ้งได้ต้องตระเวนราตรีไปเท่านั้น ไม่มีใครบอกหรอก เพื่อนสาวคนนี้ของฉันนั่นแหละที่กล่าวไว้ เธอบอกว่า ค่ำคืนวันเสาร์เป็นช่วงเวลาที่เหล่าคนเมืองจะออกมาใช้ชีวิตอย่างเสรีในร้านอาหารและย่านนั่งเล่นหลายแห่ง
เธอขับรถพาเราไปยังย่านบังซาร์(Bangsar) เพื่อนั่งกินโรตีทิชชูและอาหารอื่นๆ เบาๆ ในร้านแบบที่เรียกว่า Mamak ซึ่งเป็นร้านน้ำชาที่ขายอาหารพื้นเมืองด้วย เพื่อนฉันบอกว่า ร้านแบบนี้เป็นที่นิยมมากในมาเลเซีย โดยเฉพาะย่านบังซาร์ที่ค่อนข้างหรูหราคล้ายๆ กับย่านทองหล่อในบางกอก เราสั่งแตออ(ชา) โรตีทิชชู โรตีเชนไน และ Chicken Tika Tika มานั่งกินเล่นๆ พร้อมกับพูดคุยสัพเพเหระกันไปพลาง สังเกตว่ารอบๆ ตัวเรามีผู้คนเดินเข้ามาใช้บริการร้านน้ำชาข้างทางกันไม่หยุดหย่อน
เพื่อนสาวบอกว่า ที่นี่เป็นแหล่ง Hang Out ของชาวมาเลย์ ร้านแบบนี้จะมีคนดังๆ มานั่ง บางทีผู้กำกับหนัง นักแสดง อาร์ติสต์ หรือคนมีระดับทั้งนั้น สังเกตได้จากรถที่มาจอดเป็นยี่ห้อดังๆ เต็มไปหมด คนพวกนี้ไม่ติดหรู แต่ติดบรรยากาศ บางทีมาคุยงาน ได้งานจากร้านข้างทางแบบนี้เยอะแยะ เขามาที่นี่เพื่อมาคุยกัน และไม่มีใครตั้งหน้าตั้งตากดโทรศัพท์มือถือเหมือนคนไทย เธอพูดจบฉันก็เลยต้องวางไอโฟนไว้ข้างตัวแบบฉับพลัน
บรรยากาศยามค่ำคืนที่นี่แตกต่างจากเมืองไทยตรงที่ไม่มีควันพิษให้แสบจมูก เมื่อขับรถวนรอบๆ เมืองก็พบว่าร้านรวงปิดหมด ไม่มีสถานบันเทิงชนิดเริงรมย์เกลื่อนกลาดเหมือนบ้านเรา ส่วนมากพวกเขาจะไปรวมตัวกันอยู่ในร้านน้ำชาแบบที่เรียกว่า Mamak แต่จะว่าไป ถ้าใครอยากเที่ยวผับ บาร์ ก็มีโซนที่เป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงแบบนั้นอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก
ช่วงเวลาเพียง 1 วัน กับอีก 1 ค่ำคืนในความทรงจำ สร้างความประทับใจให้กับฉันได้เป็นอย่างดี เสียดายที่คืนวันเสาร์อยู่กับเราได้ไม่นาน เช้าวันอาทิตย์ก็เข้ามาประจำการเสียแล้ว ถึงเวลาต้องโบกมือลาค่ำคืนแห่งความสนุกสนาน และกลับไป "ทำงาน" ในฐานะ "มนุษย์เงินเดือน" อีกครั้ง สินะ
การเดินทาง
ไปมาเลเซียง่ายแสนง่าย ทั้งยังไม่ต้องขอวีซ่าให้ยุ่งยาก เพราะประเทศนี้อ้าแขนรับชาวไทยด้วยความยินดี จากกรุงเทพฯ มีเครื่องบินให้บริการหลายสายการบิน แต่ที่แนะนำคือ สายการบินแอร์เอเชีย สายการบินที่ทั้งประหยัดและสะดวกสบาย โดยมีเที่ยวบินให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-กัวลาลัมเปอร์(KLIA2) ทุกวัน สอบถามที่ โทร. 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com
ความสะดวกยังไม่หมดเท่านั้น เพราะเมื่อไปถึงสนามบิน KLIA2 แล้ว นักท่องเที่ยวสามารถเช็คอินที่ TUNE Hotel KLIA2 ได้เลย เพราะอยู่ติดสนามบิน ราคาก็อยู่ที่ 900 บาทต่อคืน แถมยังเดินทางเข้าเมืองกัวลาลัมเปอร์ได้อย่างสะดวกด้วยบริการของ KLIA Express รถด่วนที่วิ่งเชื่อมสนามบินกับสถานี KL Central ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ใช้เวลาในการเดินทางจากสนามบินไปถึงตัวเมืองแค่ 28 นาที โดยตารางเดินรถจะออกทุกๆ 15 นาที ค่าบริการอยู่ที่ 35 ริงกิต (350 บาท)
ส่วนการเดินทางในเมือง ถ้าสะดวกสุดแนะนำให้ใช้บริการ KL Monorail ที่วิ่งเชื่อมสถานีสำคัญๆ ต่างๆ ได้เหมือนรถไฟฟ้า BTS บ้านเรา ส่วนแท็กซี่มีบริการตลอด 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้น 2 ริงกิต และเพิ่ม 10 เซ็นต์ ทุกๆ ระยะทาง 150 เมตร หลังเที่ยงคืนราคาจะเพิ่มเป็น 2 เท่า ใช้บริการมากกว่า 2 คน จะเพิ่มขึ้นคนละ 1 ริงกิตตามจำนวนที่เพิ่ม
อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทกับริงกิต (สกุล RM) ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก คิดง่ายๆ 10 บาทเท่ากับ 1 ริงกิต ส่วนเวลาในมาเลเซียจะเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่การท่องเที่ยวมาเลเซีย ประจำประเทศไทย โทรศัพท์ 0 2636 3380-3 หรือ www.tourismmalaysia.gov.my
{เก็บมาฝาก}
ไปดูไฟที่ "i-City" Shah Alam
ขึ้นชื่อว่า "ทริปตะลุยราตรี" ถ้าไม่มี "i-City" อยู่ในลิสต์ที่ต้องไปแล้ว ก็คงจะเป็นราตรีที่สมบูรณ์ไปไม่ได้
แนะนำให้ขับรถออกนอกเมืองกัวลาลัมเปอร์ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 2 ชั่วโมง จะพบกับเขตเมือง Shah Alam ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของเมืองไอทีที่เรียกตัวเองว่า i-City นั่นเอง
i-City เป็นเมืองใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึง 10 ปี เป็นพร็อพเพอร์ตี้ขนาดใหญ่เกือบ 200 ไร่ ที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะมีทั้งโรงแรม, ศูนย์สรรพสินค้า, ไซเบอร์เซ็นเตอร์, และส่วนของสวนสนุกที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ โดยมีโซนกิจกรรมที่น่าสนใจต่างกันไป
City of Digital Lights หรือเมืองแห่งแสงไฟ ที่นี่สามารถทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนตะลึงงันได้ เพราะแสงไฟระยิบระยับนับล้านดวงนั้น เนรมิตรให้เมืองทั้งเมืองสว่างไสวขึ้นมาได้ราวกับอยู่ในเมืองแห่งเทพนิยายปรัมปรา ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ หรือสัตว์ป่า กระทั่งตัวละครในการ์ตูนต่างๆ เหล่านี้ล้วนถูกทำให้งดงามขึ้นได้ด้วยดวงไฟชนิดที่เรียกว่า LED
อย่าเพิ่งคิดว่าเมืองนี้ช่างสิ้นเปลืองเสียนี่กระไร ใช้ไฟมากมายแบบไม่มีวันหยุด เพราะที่จริงแล้ว i-City เก็บไฟฟ้าไว้ใช้โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งก็มากมายพอจะสร้างโซนพักผ่อนหย่อนใจแบบนี้ได้ทั้งปี
สำหรับค่าเข้าชมไม่แพงมากมาย แค่ 10 ริงกิต หรือ 100 บาทเท่านั้น โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 19.00-24.00 น. ทุกวัน
Red Carpet เป็นโซนที่คล้ายๆ กับเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง มีพื้นที่ราว 30,000 ตารางฟุต โดยในส่วนของห้องจัดแสดงนั้นถูกจัดให้เป็น 6 ธีมหลัก คือ namely world icons, celebrities, sport stars, world book of records, interactive and all stars cafe
ในส่วนของ Trick Art Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงความเป็นมาของมาเลเซียแบบอาร์ตๆ ผ่านการแสดงนิทรรศการ 3 มิติ เช่นเดียวกัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มี 5 ธีมที่น่าสนใจ คือ namely masterpieces, egyptian,sea life, animal kingdom and modern classic
มาถึง Snow Walk หรือดูไปก็คล้ายๆ กับเมืองฮาร์บินจำลอง เพราะที่นี่ปรับอุณหภูมิไว้ต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ภายในมีทุกสิ่งที่เมืองหิมะทั้งหลายควรมี ไม่ว่าจะเป็นบ้านน้ำแข็ง สไลเดอร์ สโนว์แมน เพนกวินน้ำแข็ง และบาร์น้ำแข็ง มาที่เมืองแห่งแสงไฟทั้งที ภายใน Snow Walk นี้ก็ไม่น้อยหน้า ประดับประดาได้อย่างสวยสดงดงามด้วยแสงไฟสีต่างๆ จากพลังงานแสงอาทิตย์ เช่นกัน
สุดท้ายคือ Water World เป็นโซนสวนน้ำที่ทุกคนสามารถเข้ามาสนุกสนานเย็นฉ่ำสบายใจได้ เพราะเป็นสวนน้ำขนาดใหญ่กว่า 25 ไร่ มีสระใหญ่และสระเล็กๆ มากมาย แต่ละสระมีความลึกหลายระดับให้เลือกเล่นตามความสูงและวัยที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการจำลองพื้นที่ส่วนต่างๆ ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงของธรรมชาติไว้ด้วย ที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นโซนโต้คลื่นแบบทอร์นาโดที่นักท่องเที่ยวทุกคนได้เปล่งเสียงกรีดร้องอย่างสบายใจ ใครไม่มาโซนนี้อาจรู้สึกเสียใจได้ภายหลัง
เพราะอยู่ไกลเมืองหลวงออกไปเกือบ 2 ชั่วโมง ทำให้ i-City ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไรนัก อย่างไรก็ตาม ระยะหลังมานี้ก็เริ่มมีทัวร์เมืองไอทีแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และใน "ดงไฟ" หรือ เมืองแห่งแสงไฟ ก็เริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คน แม้จะเป็นชาวมาเลย์เสียส่วนใหญ่ แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าที่นี่กำลังได้รับความนิยม
นักท่องเที่ยวที่ไปมาเลเซียหลายๆ ครั้ง แล้วรู้สึกว่าได้ไปแต่สถานที่เดิมๆ ซ้ำๆ จนน่าเบื่อหน่าย เชื่อแน่ว่าถ้าได้เดินทางไป i-City Shah Alam แล้ว ไม่มีใครออกมาด้วยอาการของคนผิดหวังแน่นอน