ทะเลของเรา... เขาล้อมหมวก

ผมเปิดดูหนังสือ'ทะเลในฝัน'ที่ หัสชัย บุญเนือง และ อสท. เขาทำออกมาจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป
(อีกเล่มคือหลังกล้องท่องเที่ยว) เพื่อเผยแพร่ทะเลของไทย ก็ยอมรับว่าภาพถ่ายและข้อมูลที่เขาให้มาในเล่ม ล้วนแล้วแต่เป็นทะเลที่ชวนฝันและไปได้จริงๆ ทะเลหลายแห่งที่เอามาบอกในเล่ม ยังคงไม่คุ้นหูคนเดินทางทั่วไป แต่ผมดันซอกแซกไปมาเกือบทุกที่แล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าถึงจะไปมาแล้ว แต่พอเปิดดูภาพที่สวยงามก็อยากจะไปอีก เพราะมันเป็นทะเลในฝันจริงๆ
เมื่อพูดถึงทะเลในฝัน ผมก็นึกถึงภาพท้องทะเลเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมื่อขึ้นไปมองจากบนเขาล้อมหมวก ในกองบิน 5 (อ่าวมะนาว) ว่าช่างเป็นทะเลที่งามเหลือเกิน งามจนผมไม่กล้าเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว...
อันที่จริง ประจวบคีรีขันธ์เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ผมว่าน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวอย่างมาก ตัวเมืองที่สงบเงียบ ไม่แออัด และอยู่ติดชายทะเล ที่สำคัญ ค่าครองชีพ ค่าที่พักไม่ใช่แบบเมืองท่องเที่ยว เพราะแบบนี้จะไม่ชวนให้ไปเที่ยวไปพักที่ประจวบได้ยังไง
ในตัวเมืองนอกจากการขึ้นเขาช่องกระจก ไปไหว้ศาลหลักเมือง ไหว้พระอุปคุต หรือเดินเล่นถนนคนเดินที่เลียบชายทะเลแล้ว แนะนำว่าควรจะแวะไปเที่ยวโรงเรียนประจวบวิทยาลัย ริมถนนสละชีพ โรงเรียนนี้ก็เหมือนโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดทั่วไป ที่ไม่ทั่วไปคือเกียรติประวัติของคุณงามความดีแห่งจิตสำนึกปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนจากข้าศึกศัตรูของบรรดาลูกเสือของโรงเรียนนี้ เมื่อครั้งสงครามมหาเอเชียบูรพาที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่อ่าวประจวบฯ ในขณะที่ทหารไทยในกองบิน 5 ที่กำลังน้อยกว่ากำลังต่อสู่ปกป้องมาตุภูมิ มีลูกเสือของโรงเรียนประจวบวิทยาลัย 4 นาย คือ ลูกเสือตรีบุญยิ่ง ศิริเสถียร ลูกเสือตรีบุญเลื่อน เจริญพงษ์ ลูกเสือตรีทองปลิว จิตต์การุณย์ และลูกเสือตรีละมูล ช่วงชู เห็นว่าทหารในกองบิน 5 ต่อสู้กับข้าศึกอย่างหนักไม่ได้รับทั้งน้ำ อาหาร ทั้งกระสุนปืนก็กำลังหมด จึงชักชวนกันนำอาหาร น้ำและกระสุนปืนเข้าไปให้ทหารในแนวรบอย่างกล้าหาญ
ลูกเสือตรีบุญยิ่ง ศิริเสถียร ถูกกระสุนปืนข้าศึกเสียชีวิตในแนวรบเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2484 นี่เป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของเด็กนักเรียนนุ่งกางเกงขาสั้น สวมเครื่องแบบลูกเสือที่ทำให้แผ่นดินถิ่นเกิดที่คนรุ่นหลังอย่างผมประทับใจมากและไม่รู้ว่าถ้าเป็นผมอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้นผมจะทำเยี่ยงบรรพบุรุษอย่างนี้หรือไม่ ในโรงเรียนประจวบวิทยาลัยเขาเลยมีอนุสาวรีย์เล็กๆ ไว้ในโรงเรียนให้เด็กรุ่นหลังได้รำลึกถึงกัน
เพียงข้ามฟากถนนเป็นวัดเกาะหลัก วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองประจวบคีรีขันธ์มานาน ตัวพระอุโบสถนั้นสวยงามด้วยปูนปั้นที่ตกแต่งอย่างวิจิตร และจิตรกรรมฝาผนังภายในแม้จะเป็นภาพวาดขึ้นไม่นานแต่ก็สวยงามด้วยภาพเทพชุมนุมและมารผจญ สมควรแก่การเข้าไปเที่ยวชม และไปถึงวัดเกาะหลักอย่าลืมเข้าไปไหว้รูปหล่อหลวงพ่อเปี่ยม พระผู้ทรงธรรมคุณแห่งวัดเกาะหลักเป็นสิริมงคลแก่ตัวครับ
ผังเมืองประจวบนี่ง่ายๆ ถนนสายหลักคือถนนสละชีพ(แต่มีถนนคู่ขนานสายเล็กๆประกบอีก 2-3 สาย) แล้วมุ่งตรงมาจนถึงหน้ากองบิน 5 สถานที่สำคัญก็จะอยู่ริมถนนสละชีพนี้ ศาลหลักเมือง โรงเรียนประจวบวิทยาลัย วัดเกาะหลัก เลยวัดเกาะหลักไปไม่กี่ร้อยเมตรก็เข้าเขตกองบิน 5 (อ่าวมะนาว) ซึ่งถ้าเข้าไปตามทางจนทะลุออกอีกด้านหนึ่งขนางกองบินก็จะไปถึงคลองวาฬ ไปหว้ากอได้
ในตัวกองบิน 5 (อ่าวมะนาว) เขามีชายหาดไว้ให้เล่นน้ำ มีแนวป่าสนทะเลสวย แต่หาดที่นี่จะให้สวยสู้ทางอันดามันคงไม่ใช่ ที่ผมจะพาไปคือไปทางพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่อยู่เชิงเขาล้อมหมวก ที่นี่จะมีสถานที่ในเหตุการณ์ครั้งสงครามญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก มีอาคารประวัติสงคราม อนุสาวรีย์ผู้เสียชีวิต ที่มั่นสุดท้ายก่อนยุติการสู่รบและสถานที่ลงนามสัญญาสงบศึก มีสถานที่จริง มีศาล มีป้ายบอกเล่าเรื่องราวในอดีต ที่นี่มีแนวชายทะเลขนาบทั้งสองข้างคืออ่าวประจวบฯ และอ่าวมะนาว ตรงเชิงเขาล้อมหมวกจะมีศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวกให้ไหว้สักการะ และที่ขาดไม่ได้คือค่างแว่นถิ่นใต้ที่นี่เยอะมาก
การเดินขึ้นสู่ยอดเขาล้อมหมวกคือสิ่งที่ไม่อยากให้พลาด ทางเดินขึ้นเริ่มจากศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวกนี้ ทางเดินจะเป็นการเดินขึ้นเขาทั่วไป มีสองรูปแบบคือ ทางเดินที่เขาทำเป็นบันไดปูนมีราวจับเรียบร้อย ทางปูนนี่จะขึ้นไปได้แค่ครึ่งทาง นอกนั้นจะเป็นทางวิบาก เหมือนขึ้นเขาทั่วไป ที่ต้องปีนป่าย ไปตามทางขรุขระ ชัน เจอหินคม และร้อน โชคดีที่เขาจะมีเชือกไว้ให้เราสาวตัวขึ้นไปข้างบนได้
ผมเห็นหลายคนแต่งตัวไปก็ได้แต่ส่ายหัว รองเท้าผ้าใบดีสุดไม่ควรเป็นรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าแตะ น้ำดื่มติดตัวไปด้วย หมวกกันแดด และไม่จำเป็นต้องขึ้นไปแต่เช้า เวลาเดินขึ้นก็ไม่ต้องเร่งรีบ ค่อยๆ ไป เหนื่อยก็นั่งพักชมวิวที่สวยงามไปเรื่อยๆ เพราะพอเราเดินขึ้นสูงไปเรื่อยๆ จะเห็นทิวทัศน์ของท้องทะเลไทยที่สวยงามมาก
ทางขึ้นนั้นจะเห็นเพียงทางอ่าวมะนาวและโค้งเขาคลองวาฬและเกาะบริวารในโค้งอ่าว มองเผินๆ เหมือนที่หมู่เกาะอ่างทอง แต่พอขึ้นไปจนถึงยอดของเขาล้อมหมวกที่มีศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ข้างบน ความงามที่ผมอยากให้มาเห็นจะปรากฏเบื้องหน้า ฝั่งหนึ่งคืออ่าวประจวบที่โค้งสวยไปจนถึงเขาตาม่องล่าย ในอ่าวมีเกาะแรด(มีกระโจมไฟวชิรรุ่งโรจน์) เกาะหลัก(สถานีวัดระดับน้ำขึ้น-ลง เป็นของทหารเรือ) เกาะไหหลำ(มีศาลเสด็จเตี่ยอยู่ เวลาน้ำลงเดินไปได้) เวลาที่น้ำลง แนวสันทรายจะโค้งกระหวัดราวมังกรเล่นน้ำ ที่ราบระหว่างอ่าวคือสนามบินของกองบิน 5 แลเห็นแนวเขาตะนาวศรีไม่ไกล
ส่วนอีกด้านคืออ่าวมะนาวที่เป็นโค้งเขาไปจนจรดเขาคลองวาฬและมีเกาะบริวารกลางอ่าว เมื่อขึ้นมาบนนี้ได้ บนจุดที่เห็นความงามของทะเลไทยสวยงามและคุ้มค่ากับการปีนป่ายขึ้นมาจนถึงยอดเขา ผมไม่เคยไปสวรรค์ แต่ถ้าสวรรค์มีจริงก็คงสวยงามไม่ต่างจากทิวทัศน์ที่มองเห็นจากยอดเขาล้อมหมวกนี้ (ถ้าจะตำหนิมีแค่ ผบ.กองบินที่ 5 น่าจะให้ลูกน้องเอาธงชาติขึ้นไปเปลี่ยนด้านบนซะหน่อย รุ่งริ่งแบบนั้นดูไม่สง่างามไม่สมกับเป็นเขตทหารเอาซะเลย)
ทะเลไทยสวยงามปานนี้ แผ่นดินไทยงดงามและทรงคุณค่าปานนี้ มิน่าทหารไทยและลูกเสือโรงเรียนประจวบวิทยาลัยจึงพลีชีพเพื่อปกป้องไว้ให้ จนผมอดหวนนึกถึงคำไว้อาลัยจากเพื่อนผู้ร่วมวีรกรรมบนฐานอนุสาวรีย์ลูกเสือที่โรงเรียนประจวบวิทยาลัยที่ลูกเสือผู้รอดชีวิต คือ ลูกเสือตรีบุญเลื่อน เจริญพงษ์, ลูกเสือตรีทองปลิว จิตต์การุณย์ และลูกเสือตรีละมูล ช่วงชู จารึกถึงเพื่อนเขาว่า
“...ขอดวงวิญญาณเพื่อนจงสถิตอยู่ ณ ฟากฟ้าชั้นสูงสุด เพื่อดูแลลูกหลานของเรารุ่นหลังให้เขารักษาแผ่นดินนี้เยี่ยงทหารนักรบ และพวกเราที่ร่วมสร้างวีรกรรม ยอมสละได้แม้ชีวิต ดังเช่นบรรพบุรุษที่ปกป้องประเทศชาติสมควรที่เหล่าลูกเสือ และอนุชนรุ่นหลังจะได้ประพฤติเป็นแบบอย่างสืบไป”