ศรีนคร อัญมณีแห่งแคชเมียร์

ศรีนคร อัญมณีแห่งแคชเมียร์

การไปอินเดีย ไม่ว่าจะที่ไหน ส่วนใด มักจะถูกตั้งคำถามจากเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ด้วยใบหน้าฉงน ว่า "ไปทำไมอินเดีย"

พร้อมกับร่ายมโนทัศนะออกมายาวเหยียด อาหารกินไม่ได้ อากาศร้อน สกปรก ซื้อขอระวังโดนหลอก ฯลฯ สารพัดเหตุผลที่เป็นห่วงกัน แต่ทั้งหลายทั้งปวง ก็อยากจะบอกว่าคนที่ไปอินเดียมาครั้งหนึ่ง มักจะดิ้นรนไปครั้งสอง ครั้งสาม เสมอๆ

คราวนี้เช่นกัน เรียกว่าสมใจอยาก เพราะอยากไป ศรีนคร (Srinagar) แคชเมียร์ มานานแล้ว เมื่อคราวก่อนที่ไป ก็ขึ้นเหนือไปเกือบจะถึง แต่ดันไปหลงเสน่ห์ของเมืองเล็กๆ ชื่อมัสซูรี ที่ตีนเขาหิมาลัยเสียก่อน ก็เลยหยุดอยู่แค่นั้น ครานี้เมื่อกางโปรแกรมให้ใครๆ ดู แต่ละคนพากันบอกว่าเขากำลังรบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ จะไปทำไมถึงแคชเมียร์

แต่เมื่อถึงเวลาไปเหยียบจริงๆ ก็ไม่ได้น่ากลัวถึงขนาดนั้น เพียงแต่ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์ พอมองออกไปด้านนอก ก็เห็นบังเกอร์เรียงรายเต็มไปหมด หรือบางเส้นทางเราจะพบทหารตั้งด่านสกัดค่อนข้างถี่-เท่านั้นเอง

ศรีนครวันก่อนเป็นแบบไหน ก็จนปัญญาย้อนกลับไปดู แต่สิ่งที่เห็นวันนี้ คือศรีนครเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน แต่เป็นเมืองที่ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ตามถนนฝุ่นฟุ้งกระจาย บางแห่งเฉอะแฉะ เพราะน้ำจากคูคลองระบายน้ำไหลซึมออกท่วมถนน

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เราพอจะเข้าใจได้ ว่าน่าจะมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ที่ทำให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนท้องถิ่นบอกว่า โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงต้นฤดูหนาวจะมีระเบิดค่อนข้างถี่ ล่าสุดข่าวว่ามีการสังหารเจ้าหน้าที่โดยนักรบวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งส่งผลให้มีการประกาศเคอร์ฟิวในบางพื้นที่ของศรีนครแล้ว

ด้วยเหตุนี้ การพัฒนาเมืองจึงหยุดชะงักมาเป็นเวลานาน รัฐบาลนิวเดลีเองก็ถูกกล่าวหาว่าละเลยแคชเมียร์ แม้กระทั่ง นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอินเดีย เดินทางไปเยือนในเขตใกล้ๆ กับศรีนคร ก็ถูกต่อต้านจากชาวแคชเมียร์อย่างหนัก ด้วยเหตุที่ครั้งหนึ่งโมดีได้ชื่อว่าเป็นฮินดูที่นิยมความรุนแรง และมักจะออกนโยบาย "แตกหัก" กับชาวมุสลิมเสมอๆ

เมื่อเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติม ก็พบข่าว ว่ากรรมาธิการพัฒนาเมืองศรีนคร ระบุว่า ศรีนครกำลังจะกลายเป็นเมืองอัปลักษณ์ ทุกวันนี้เมืองทั้งเมืองเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย ทั้งการจราจรแออัด ปัญหามลภาวะเป็นพิษ อากาศ และน้ำเน่าเสีย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากชาวศรีนครทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะศรีนครไม่มีแผนพัฒนาเมืองมาหลายปีแล้ว จนทำให้เมืองหลวงของแคชเมียร์แห่งนี้ กำลังสูญเสียเสน่ห์และความงามลงไปเรื่อยๆ

ดังนั้นจึงต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว เพื่อไม่ให้ศรีนครในวันนี้ เดินสวนทางกับความหมายที่แท้จริงของ "ศรีนคร" หรือ Srinagar ซึ่งมาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง "นครอันรุ่งเรือง" นั่นเอง

ศรีนครใหม่

หากมีคำเอ่ยอ้างใดที่กล่าวถึง "ศรีนคร" ทุกถ้อยคำคงจะเยินยอถึงความงามสุดอลังการที่แผ่นดินนี้มอบให้กับผู้มาเยือนอย่างไม่มีวันจบสิ้นไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน คุณจะเห็น "เฟรม" ภาพใหม่ๆ เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดเสมอๆ ซึ่งไม่แปลกเลย ที่ศรีนครมักถูกพูดถึงมานานแล้ว ว่าเป็น "เมืองในหุบเขาแห่งเทพนิยาย"

แต่เป็นเพราะถูกสาป หรือเพราะมหาราชาฮารี ซิงห์ (Hari Singh) ผู้ครอบครองจัมมู-แคชเมียร์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ลังเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ว่าจะพาจัมมู-แคชเมียร์ไปอยู่กับปากีสถาน หรือจะขึ้นกับอินเดียดี เพราะยามสงบก็อยากค้าขายกับปากีสถาน แต่เมื่อเกิดเรื่องวุ่นวาย กลับไปขอความช่วยเหลือจากอินเดีย สุดท้ายจัมมู-แคชเมียร์ และศรีนคร ก็ประสบกับวิบากกรรมแห่งความขัดแย้งเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ถึงกระนั้น ศรีนครก็ไม่ต่างอะไรจากหญิงงาม ไม่ว่าจะเกรี้ยวกราด หรือมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษซักเพียงใด ศรีนครกก็เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวต้องการไปเยือน...ครั้งหนึ่งก็ยังดี และนับวันกระแสนี้ ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างปี 2013 มีนักท่องเที่ยวเข้าไปยังศรีนคร เกือบ 1 ล้านคน ในจำนวนนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 23,000 คน

ตัวเลขนี้ต้องทำความเข้าใจกันเล็กน้อย ว่าทำไมตัวเลขของนักท่องเที่ยวท้องถิ่น (ชาวอินเดียในประเทศ) กับนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงไม่สมดุลกัน สาเหตุชาวอินเดียชอบท่องเที่ยวมากจากสถิติเมื่อปี ค.ศ.2010 พบว่า คนอินเดียที่เดินทางในประเทศมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.7 หรือประมาณ 740 ล้านคน (จากประชากรประมาณ 1,300 ล้านคน) ขณะที่ในปีเดียวกัน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปยังอินเดีย 6.29 ล้านคน จะเห็นว่าสัดส่วนต่างกันมาก ซึ่งคนที่ไปเที่ยวอินเดียก็เห็นประจักษ์แล้วว่าสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งจะเต็มไปด้วยคนท้องถิ่นที่ออกไปเที่ยวกัน แต่ช่วงหลังจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อคนไปมาก ก็เริ่มมีการคิดจะปรับปรุงเมือง ล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางหอการค้าและอุตสาหกรรมแคชเมียร์ (The Associated Chamber of Commerce and Industries- Kashmir (CCIK) เสนอให้รัฐบาลอินเดียพัฒนาเมืองใหม่ แล้วใช้ชื่อว่า ศรีนครใหม่ หรือ New Srinagar

ข้อเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนแม่บทพัฒนาเมืองศรีนคร ซึ่งหอการค้าและอุตสาหกรรมแคชเมียร์ เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของศรีนครควรได้รับการพัฒนา เพราะอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก พร้อมกับระบุว่า เมืองใหม่ควรเป็นเมืองทันสมัย มีถนนหนทางกว้างขวาง และโครงสร้างพื้นฐานอยู่ในระดับสากล

แผนแม่บทนี้ ระบุถึงการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ขยายการให้บริการน้ำประปาอย่างทั่วถึง การจัดการน้ำเสีย ปรับปรุงระบบการระบายน้ำ จัดการสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น ไฟฟ้า, ถนน, ลานจอดรถ โรงพยาบาล โรงเรียน วิทยาลัย ศูนย์พักผ่อนหย่อนใจ และอาคาพาณิชย์

ทางหอการค้าและอุตสาหกรรมแคชเมียร์ เชื่อว่าการแยกไปเป็นเมืองใหม่ศรีนคร จะสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่รอบๆ ทะเลเสาบดาล ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมากที่สุด ควรได้รับการปรับปรุง โดยเฉพาะกฎในการห้ามมีสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในรัศมี 200 เมตรจากชายฝั่งทะเลสาบ แต่ทุกวันนี้ตรวจสอบพบอาคารผิดกฎหมายถึง 1,298 หลังทีเดียว

อัญมณีแห่งศรีนคร

หากจะเล่าประวัติย้อนกลับไปในอดีต ศรีนครดูจะจะมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจไม่น้อย เริ่มตั้งแต่ชื่อเมืองทั้งภาษาอังกฤษ (Srinagar) หรือจะแกะออกมาเป็นภาษาไทย คือคำที่มีรากมาจากภาษาสันสกฤต 2 คำ ศรี กับ นคร หมายถึงเมืองแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรือง หรืออีกนัยหนึ่ง คือเมืองของพระนางลักษมี เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ พระชายาของพระวิษณุตามความเชื่อในศาสนาฮินดูนั่นเอง

ในศตวรรษที่ 17 จักรพรรดิชะฮันคีร์ และพระนางนูร์ ชะฮัน (พระบิดาและพระมารดาของพระเจ้าซาร์ชะฮัน ผู้สร้างทัชมาฮาล) ได้เสร็จมาจากเมืองอัครา ทรงโปรดปรานทิวทัศน์แห่งหุบเขาแคชเมียร์มาก จึงมีบัญชาให้สร้างสวนดอกไม้และบ่อน้ำพุร้อนขึ้นหลายแห่ง เพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนในฤดูร้อน ทำให้ทุกวันนี้ ศรีนครโดดเด่นมีชื่อเสียงอย่างมากในแง่ของการเป็นเมืองที่จัดสวนได้สวยงามตามแบบสมัยของราชวงศ์โมกุล สวนที่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่ สวนชะลิมาร์ สวนนิชาท เป็นต้น

การชมสวนในศรีนครจึงเป็นความรื่นรมย์หนึ่งที่ไม่ควรพลาด และหากจะให้ประทับใจยิ่งขึ้น ต้องไปค้างคืนบนเรือนแพกลางทะเลสาบดาลสักครั้ง เพียงแค่คุณออกมามายืนบนระเบียงเรือ แล้วมองไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า วันใดที่ลมสงบ พื้นทะเลสาบจะเรียบดุจกระจกใส สะท้อนทิวเขาปีร์ ปันซัล (Pir Panjal) ที่ตระหง่านเป็นฉากหลังได้อย่างงดงามยิ่ง ซึ่งเป็นที่มาสมญานามของทะเลสาบดาล ว่าเป็น อัญมณีแห่งศรีนคร

ทะเลสาบดาลมีอยู่ 2 ส่วน คือ ทะเลสาบดาลใหญ่ หรือ บอดดาล (Bod Dal) และทะเลสาบดาลเล็ก หรือ โลกุตดาล (Lokut Dal) มีความยาวรวมกันประมาณ 15.5 กิโลเมตร กว้าง 4 กิโลเมตร มีพื้นที่ 26 ตารางกิโลเมตร ลึกมากที่สุด 12 เมตร รอบๆ ทะเลสาบยังมีแอ่งน้ำทะเลอีก 5 แห่ง ต่อร้อยกันด้วยคูคลองมากมาย ซึ่งที่ลุ่มเหล่านี้เป็นแหล่งรายได้ของชาวเมืองที่อยู่รอบๆ เพราะจะมีแปลงบัวปลูกเต็มไปหมด และยังมีปลาชุกชุมอีกด้วย

ล่องเรือไปพักเรือนแพ

เสน่ห์อีกอย่างของทะเลสาบดาล คือการล่อง เรือศิขระ (Shikaras) เรือไม้ขนาดนั่งได้ 6 คน ตกแต่งอย่างหรูหราสไตล์เปอร์เซีย-แคชเมียร์ คือบุด้วยพรมหรือขนสัตว์ตลอดทั้งลำเรือ มีหลังคากันแดดกันฝน ผู้โดยสารสามารถนั่งเอกเขนกเอนกายดื่มด่ำทัศนียภาพโดยรอบได้อย่างเต็มที่ โดยมีคนแจวเรือคอยให้คำแนะนำ

สำหรับเรือศิขระนี้ เป็นเรือที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะที่ทะเลสาบดาลเท่านั้น และดูเหมือนเชื่อมร้อยกับวิถีชีวิตของชาวศรีนครริมฝั่งทะเลสาบอย่างแยกไม่ออก เพราะเรือนี้เป็นได้ทั้งเรือโดยสาร เรือประมง เรือที่อยู่อาศัย และหากใครไปเยือนในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ชาวบ้านจะใช้เรือศิขระขนดอกไม้นานาชนิด ไปยังตลาดที่อยู่กลางเมือง ดูแล้วงดงามอย่างยิ่ง

เมื่อหันหลังกลับมองเข้าไปภายในเรือนแพ หรือ Houseboat ที่ทำมาจากไม้ซีดาร์ มีขนาดความยาวเรือนระหว่าง 24-38 เมตร กว้าง 3-6 เมตร พบว่าภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบเปอร์เซีย ขอบหน้าต่าง บานพับ ประตูเลื่อน ฉลุลายอ่อนช้อย ม่านประดับปักเลื่อม ผูกปมผ้าห้อยระย้าหรูหรา บนพื้นปูพรมผืนใหญ่หนานุ่มเท้า ลวดลายงาม ซึ่งความงดงามลักษณะนี้ เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โมกุลเรืองอำนาจเหนือแผ่นดินชมพูทวีป

เรือนแพแต่ละหลังจะมีทั้งหมด 3 ห้องนอน พักได้อย่างน้อย 6 คน พร้อมผู้ดูแลตลอดทั้งทริปอีก 1 คน ในช่วงที่เราไป เราได้ผู้ดูแลชื่อ อาซิส เขาเป็นเปอร์เซียนตัวเล็กๆ ที่อารมณ์ดี ผิวปากร้องเพลง และทักทายด้วยอัธยาศัยดีเยี่ยม ทุกๆ เช้า อาชิสจะนำอาหารพื้นบ้านของชาวแคชเมียร์มาจัดรอบนโต๊ะอาหาร แม้รสชาติจะไม่ค่อยถูกปากคนไทยนัก แต่เมื่อเห็นความตั้งใจของผู้มาให้บริการแล้ว ดูเหมือนทุกมื้อจะมีความหมายจนปฏิเสธไม่ลง

พอถึงมื้อค่ำอาหารชุดใหญ่สไตล์แคชเมียร์ยังคงลำเลียงมาเช่นเคย คราวนี้อาซิสต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะงานหลังอาหารเย็น คือการจุดเตาผิงสังกะสีที่จุฟืนอยู่ข้างใน มีฝาปิดเปิด ก่อนจุดใช้น้ำมันก๊าดราด พอไฟลุกก็จะเหม็นคลุ้งไปทั้งเรือ เตาให้ความร้อนแบบนี้มีประโยชน์มากหากใครต้องเดินทางไปแคชเมียร์ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป จะต้องเรียกหาเตาผิง และถุงน้ำร้อน เพราะมิฉะนั้นคุณจะข่มตาหลับไม่ลงทั้งคืน แม้จะห่มผ้าหนาขนาดไหนก็เอาไม่อยู่

พ่อค้าเร่ยามวิกาล

เมื่อความหนาวเย็นถูกปลดปล่อยด้วยเตาให้ความร้อนรูปร่างแปลกตามสำหรับคนไทยแล้ว บรรยากาศการนั่งล้อมวงสนทนากันภายในเรือนแพ มักจะถูกรบกวนด้วยพ่อค้าเร่ที่พายเรือมาเทียบหน้าแพ หิ้วกระเป๋าผ้าใบใหญ่เดินเข้าไปในเรือน พวกเขาไม่ต้องรอให้ใครเชิญ แต่ทำตัวเหมือนอยู่ในบ้านตัวเอง เดินฝ่าวงสนทนา วางกระเป๋าผ้าลง เททุกสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า

“นี่เป็นผ้าพัชมินาของแคชเมียร์ ของแท้แน่นอน” พ่อค้าหนุ่มใหญ่ คลี่ผ้าออกแล้วเปิดฉากการขายทันที พร้อมกับพิสูจน์ความแท้หรือไม่แท้ในสินค้าของเขา ด้วยการถอดแหวนออกแล้วสอดผ้าพันคอหรือผ้าคลุมไหล่เข้าไป รูดไปจนสุดแขน ผ้าทั้งผืนก็สอดผ่านแหวนวงเล็กไปได้

"พัชมินาทอมาจากขนแพะ ตรงบริเวณคอ ผ้าจะนุ่ม ไม่ยับ คุณจับดูสิ... ไม่เชื่อเหรอ ผมจะลองอะไรให้ดู" เขาล้วงเอาไฟแช็กออกมา จุดไฟแล้ว แล้วลนไปบนชายผ้า "คุณได้กลิ่นมั้ย นี่แหละกลิ่นของขนสัตว์ล่ะ"

"เท่าไหร่ล่ะ"

"ทเวนตี้ไฟฟ์ดอลลาร์" 25 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินบาทตัวเลขกลมๆ 800 บาท ค่อนข้างแพงทีเดียว ตกลงว่าคืนนั้น คืนแรก พ่อค้าหนุ่มไม่ได้เงินจากนักท่องเที่ยวไทยแม้แต่รูปีเดียว

อันที่จริงผ้าพัชมินาถือเป็นผ้าคุณภาพดี อ่อนนุ่ม ไม่ยับยู่ยี่ง่าย ดาราฮอลลีวู้ดอย่าง แบรด พิตต์, แองเจลินา โจลี, เพียร์ส บรอสแนน หรือ คนดังแห่งปากีสถานอย่าง อิมราน ข่าน ล้วนมีผ้าพัชมินาพันรอบคออย่างน้อย 1 ผืน ด้วยเหตุที่ต้องใช้ขนแพะบริเวณคอ ค่อยๆ ถักทอให้ได้ผ้า 1 ผืน จึงถือเป็นงานละเอียดและใช้เวลาค่อนข้างนาน ทำให้พัชมินาจึงมีราคาแพงลิบลิ่ว บางผืนราคาถึง 17,000 ดอลลาร์ทีเดียว

พัชมินาที่ราคาแพงขนาดนั้น เรียกว่า ชาตูช (Shatoosh) เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม เพราะกว่าจะได้มา คนทอต้องออกล่ากวางชีรู หรือกวางหิมะ นำขนอันอ่อนนุ่มของมันมาทอ ปัจจุบันผ้าชาตูชไม่มีของใหม่แล้ว เพราะสูญพันธุ์ไปพร้อมกับกวางหิมะ ผ้าเก่าที่ยังเหลืออยู่ล้วนเป็นมรดกตกทอดมาจากราชวงศ์จีน และอินเดียแทบทั้งสิ้น

พ่อค้าเร่คนเดิมเวียนกลับมาขายของให้เราทุกคืน และแต่ละคืนราคาขายผ้าพัชมินาจะลดลงเรื่อยๆ อย่างคืนที่ 2 เหลือ 10 ดอลลาร์ แต่นักท่องเที่ยวจากเมืองไทยก็ใจแข็งพอที่จะไม่จ่าย จนล่วงสู่คืนที่ 3 ก่อนเดินทางกลับ พ่อค้าหนุ่ม บอกว่า "ผมลดให้เยอะแล้วนะ พอคุณบอก 10 ดอลลาร์แล้วคุณจะซื้อ แต่คุณก็ไม่ซื้อ"

"คิดจะหลอกผมใช่มั้ย ผมพายเรือมาจากอีกฝั่งของทะเลสาบนะ" โวยวายเหมือนเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมานิดๆ แต่ในที่สุด เขาก็ให้ราคาสุดท้ายที่ 7 ดอลลาร์ ปรากฏว่า คืนนั้น ผ้าพัชมินาที่เขาเทียวหอบขึ้นลงแพอยู่ 3 คืน ปลิวไปอยู่ในกระเป๋าเดินทางของนักท่องเที่ยวไทยมากกว่า 100 ผืน

นอกจาก ทิวเขา สายน้ำ ท้องฟ้า ฯลฯ แล้ว ผู้คนคือเสน่ห์อันน่าหลงใหลอย่างยิ่งในศรีนคร