ท้า & Tag #กล้า บ้า บลา บลา

จากถังน้ำแข็งสู่กระแสคำท้าที่ถูกแท็กไปทั่วโลกโซเชียล บอกเล่าเทรนด์สังคมคู่ขนานที่เปลียนไปในวันนี้
กระแสเทน้ำ Ice Bucket Challenge ที่มาจากแดนไกลช่วยให้เงินบริจาคเข้าไปถึงหลายหน่วยงานทั้งไทยและเทศ นอกจากจะทำบุญกันแล้ว ยังเป็นการโชว์ความสร้างสรรค์ของหลายๆ คนว่ามีวิธีการเทน้ำที่ "เจ๋ง" แค่ไหน จากการท้าทายแบบบอกบุญที่มีกติกาว่าจะต้องส่งต่อให้คนอื่นอีก 3 คน การเทน้ำราดตัวจึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากท้าคนไม่ซ้ำกันเลย จะมีคนที่เล่นเกมลูกโซ่นี้ครบทั้งประเทศ ภายในทอดที่ยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น
#ก็ไม่รู้สินะ
การท้ากันต่อได้กลายเป็น "เกม" ในโลกโซเชียล ที่หวังให้เพื่อนๆ ที่ติดตาม หรือเพื่อนๆ ในเครือข่ายมาร่วมสนุกกัน แต่ไม่ได้มีเรื่องการทำบุญเข้ามาเกี่ยวเหมือนเกมต้นฉบับ ที่ตาม Ice bucket มาติดๆ ก็คือ ให้โชว์สกรีนล็อคของมือถือตัวเองในทวิตเตอร์
จนตอนนี้มาเป็นกระแสการแท็ก (Tag) เพื่อนในเฟซบุ๊คที่หากใครเฝ้าหน้านิวฟีดอยู่ จะเห็นเลยว่า มีการเล่นแบบนี้ให้เห็นทุกชั่วโมง บางชั่วโมงโผล่มาหลายโพสต์ เรื่องที่ท้ากัน ก็จะมีตั้งแต่เรื่องที่เป็นความชอบ เช่น หนังที่ประทับใจตลอดกาล หนังสือที่ทรงอิทธิพล เพลงที่ฟังแล้วอิน นิยายที่ตราตรึงในใจ ไปจนถึงเรื่องตลกๆ ประเภทที่ว่า เอาฮา แกล้งเพื่อน อย่างทาหน้าตัวเองให้ขาวแล้วถ่ายรูปโพสต์ โชว์รูปบัตรประชาชน บัตรนักศึกษา โชว์รูป "หน้าสด" ไร้เมคอัพ ไม่ผ่านแอปพลิเคชั่นใดๆ หรือให้บอกประวัติตัวเอง น้ำหนัก ส่วนสูง สเปคหนุ่มหรือสาวในฝัน หรือแม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์
ถ้าใครลองไปไลค์รูปหรือสเตตัสแปลกเหล่านี้ดู จะได้รับข้อความลับบอกว่า "คุณคือผู้โชคดี ที่ไลค์รูปของเรา เมื่อคุณไลค์รูปนี้แล้วคุณต้องทำตาม "ขอท้าคุณ ปะแป้ง/…" แล้วถ่ายรูปลงหน้าไทม์ไลน์ของคุณ ถ้าคุณไม่ทำ แสดงว่าคุณป๊อด รับคำท้าแล้ว ท้าต่อด้วยนะ" หรือ "ไลค์แล้วก็ทำตามนะ อย่าโกงล่ะ ไม่เล่น ถือว่าหยิ่งมาก"
ประโยคเด็ดที่จะตั้งเป็นสเตตัสก็มีให้เลือกเลยว่า อยากจะตั้งอะไร เช่น ฉันอยากออกเดทกับแฟนที่ห้องน้ำ พรุ่งนี้ฉันจะแต่งงาน ฉันชอบชาย/หญิงใต้สะพานลอย ถ้าใครมากดไลค์ข้อความเหล่านี้เข้าก็จะเป็นลูกโซ่ต่อกันไปอีกไม่รู้จบ
"มันจะมีข้อความลูกโซ่ มีโพสต์พวกข้อความแปลกๆ อย่างเช่น ฉันลักไก่ไปกินในน้ำ ฉันจะไปหาแฟนที่ห้องนอน รักฉันไหม ฉันหื่น อะไรประมาณนี้ ถ้าเราเห็นใครกดไลค์เรา เราจะไม่ตอบกลับทางคอมเมนต์ ถึงแม้เขาจะคุยกับเรา แต่เราจะส่งข้อความให้ทางแชทแทน" ภัทระ สุขชัย โปรดิวเซอร์อีเว้นท์ ผู้ที่เคยไปกดไลค์สเตตัสแปลกๆ เล่า
ในกลุ่มเฉพาะก็มีเล่นกัน อย่างกลุ่มที่ชื่นชอบ "ไอดอลญี่ปุ่น" ก็จะมีให้ "แตกไลน์" ไอดอลหญิงของตัวเองพร้อมบอกเหตุผล ผู้ที่เป็นคอเดียวกัน ก็จะลิสต์นักร้องที่ชอบเป็นประเภทๆ ไป อย่าง "ชอบระดับ heavyweight (รองจากชอบมากที่สุด) Sugaya Risako (Berryz Kobo) -- อ้วนเร็ว ผอมเร็ว ไม่เอาใจแฟนบอย ธรรมชาติสุดๆ จิกกล้องที มือผมสั่น"
ไม่เว้นแม้กระทั่งนักศึกษา หรือศิษย์เก่าราชมงคลที่เกาะกระแสนี้ไปกับโอกาสที่จะถึงวันพระราชทานนาม "ราชมงคล" ก็ท้ากันให้บอกรหัสนักศึกษา สาขา คณะที่เรียน รวมไปถึงความภาคภูมิใจต่อสถาบัน ส่วนคอบอลก็มีให้ลิสต์รายชื่อนักฟุตบอลที่อยู่ใน "Dream Team" ลิสต์กันทั้งตัวจริง ตัวสำรอง ระบบที่ใช้เล่น ประมาณว่า ถ้าทีมเล่นแบบนี้แล้ว ต้องชนะแน่ๆ
#มันใช่อ่ะ
เมื่อแท็กและไลค์ลูกโซ่กระจายตามหน้าไทม์ไลน์ ข้อความตลก รูปตลก รูปในอดีต รูปบัตรประชาชนที่หวงแหน ก็ถูกนำมาโชว์มากขึ้น บางคนยังไม่รู้ว่า เป็นลูกโซ่ก็กดไลค์กัน เพราะความชอบรูปนั้นๆ จริงๆ หรือ แม้คนเห็นจะรู้แล้วว่า เป็นการแกล้งกัน แต่ก็หนีไม่พ้น เหมือน ฝ้าย (ขอสงวนชื่อจริง) ที่เพิ่งลงรูปบัตรประชาชนตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากโชว์
"เห็นมีชาเลนจ์แบบนี้นานแล้ว และก็ไม่ได้อยากเล่นอะไร เวลาเราเห็นก็หลีกเลี่ยงไม่กดไลค์ ก็รอดมาตลอด จนเมื่อเพื่อนเราลงรูป แล้วเราเผลอไปกดไลค์ด้วยความเคยชิน เพื่อนก็เลยบังคับให้เราลง เพราะสนิทกันแกล้งกันง่าย ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกสนุกนะ แต่ก็ไม่อยากขัดใจเพื่อนไง ก็เล่นไปขำๆ ไม่เสียหาย"
แม้จะไม่สนุก แต่ฝ้ายก็ท้าเพื่อนที่มาไลค์ต่อ ด้วยการบอกหลังไมค์ว่า "ไหนๆ ก็มากดไลค์แล้ว ก็ถ่ายบัตรอวดชาวโลกเป็นเพื่อนเราด้วยนะ"
เช่นเดียวกับ เขมจิรา มุโตะ สมาชิกคนหนึ่งของ "แม่บ้านญี่ปุ่น" ในเมืองนาโงย่า ที่รับคำท้าตั้งแต่ ปะแป้ง โชว์บัตร กระทั่ง "ไลค์แล้วเงิบ" และคาดว่าคำท้าจะล้นทะลักต่อไปเรื่อยๆ เธอยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่รับคำท้าเหล่านั้นก็เพราะแรงกดดันจาก "เฟรนด์" ที่เป็นคนท้า อย่างท้าปะแป้งมีสาสน์ ท้าทายแท็กมาถึง 5 คน ทำให้เธอตัดสินใจปะแป้งโชว์ออนไลน์แบบไม่ต้องห่วงสวย
"ที่นี่คนไทยด้วยกันมีน้อย สังคมค่อนข้างแคบ ถ้าไม่ทำ ก็เหมือนเราไม่ให้ความร่วมมือ หรือแปลกแยกจากคนอื่น ก็มีอยู่บ้างที่ทำอย่างเสียไม่ได้ เพราะค่อนข้างเกรงใจคนที่แท็กมา"
ขณะเดียวกัน เธอก็ท้าคนอื่นต่อ โดยมีโจทย์ว่า เป็นคนที่ค่อนข้างสนิท และคิดว่า "เล่นด้วย"
อย่างไรก็ตาม หลายเสียงที่เล่น บอกว่า ไม่ได้เล่นสนุกอย่างเดียว แต่เล่นเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างเพื่อน อย่างการบอกเล่าหนัง หนังสือ หรือเพลงที่ตัวเองชอบให้คนอื่นรู้ ทำให้ "เห็น" ตัวตนคนๆ นั้นได้ดีขึ้น
"หนังที่ชอบ แสดงความเป็นตัวเราออกมามาก ชอบหนังสงครามนะ ถึงเห็นเป็นแบบนี้ก็เถอะ ไม่ได้ชอบหนังรักเวิ่นเว้อ แล้วได้เห็นคนอื่นด้วยว่า เพื่อนเฟมินิสต์หนักๆ จะดูหนังอะไร" กชวรรณ ฉายะวรรณ นิสิตปริญญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่ที่เล่นแท็ก "15 movies that stay have stayed with me in some ways" และ "15 films that have stayed with you" เล่า และบอกเช่นกันว่า จะเลือกแท็กคนที่สนิทต่อ เพราะเกรงใจคนที่ไม่ได้สนิทกันมาก และส่วนหนึ่งที่เล่น ก็เพราะคนที่แท็กมาเป็นคนสนิทด้วย
ฉัตราภรณ์ เหรียญเขียว เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคล บริษัทเอกชน ที่เล่นแท็ก "หนัง 15 เรื่องที่ประทับใจ" ก็ให้เหตุผลที่เล่นว่า สนุกที่ได้แสดงตัวตนและเห็นตัวตนของคนอื่นมากขึ้น
"เป็นการแสดงความเป็นตัวเรา โดยไม่ต้องเขิน ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็โพสต์ แต่มีคนท้ามา เวลาที่เราสนใจเล่นอะไรแบบนี้ มันก็สนุกดี ที่ได้ไปอ่านความคิดเขา เหมือนการเปิดโลก ใน15 เรื่องที่เขาดู ถ้าตรงกับเราสัก 5 เรื่อง เราก็เริ่มสนใจอีก 10 เรื่องที่เขาดู เราน่าจะชอบ”
มีบางคนไม่ใช่คอหนัง ก็รู้สึกไม่สนุกกับการบอกเล่าหนังที่ประทับใจ จึงสนใจเล่นเรื่องอื่น อย่าง นิธิภัค ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา บิวตี้บล็อคเกอร์ ได้เริ่มแท็กหัวข้อใหม่ที่ตั้งขึ้นมาเองว่า "สสารที่แดกได้15 อย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ โดยไม่ลังเล" เล่าว่า "ที่เราทำไม่เหมือนคนอื่น เพราะอยากรู้คำตอบของคนอื่นด้วย ว่ามีอะไรบ้าง เราจะตามไปกิน" และยังบอกด้วยว่า จะเล่นแท็คก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่สนใจเท่านั้น
"ปะแป้งขาว เราว่าไร้สาระ เพราะไม่ได้ประโยชน์ ถ้ามีคนชวน ก็จะไม่เล่น"
ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเล่นแบบนี้ ก็จะปล่อยผ่านไป ไม่ร่วมเล่นด้วย แม้จะมีแท็กมาก็ตาม
"เพื่ออะไรล่ะ ไม่ทำก็ไม่เป็นไรมั้ง อย่าง Ice bucket ยังพอเข้าใจนะ แต่ถ้ามาแบบไม่บริจาคกัน เราก็ไม่เล่นด้วย" ธีรพันธุ์ กลิ่นประทุม นิสิตปริญญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็น โดยส่วนตัว เขาก็ไม่ได้สนใจเกมลักษณะนี้อยู่แล้ว และก็ไม่เคยคิดจะริเริ่มแท็กใครเลย
#เข้าใจตรงกันนะ
ไม่เฉพาะวิธีการ ความสนุก หรือเหตุผลส่วนตัวที่คนออนไลน์จะหยิบขึ้นมาบอกเล่าบรรดา Challenge สารพัดรูปแบบที่ปลิวว่อนอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กตอนนี้ หากถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับสังคมออนไลน์บ้านเรา ขจร เจียรนัยพานิชย์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ macthai.com ยอมรับว่า นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก นอกเหนือไปจากการเชื่อมโยงกันระหว่าง "ออนไลน์" กับ "ออฟไลน์"
ขณะที่ จักรพงษ์ คงมาลัย Vice President Content Business ของเว็บไซด์ Sanook.com มองว่า เป็นกระแสสังคมปัจจุบันที่ตอบโจทย์เรื่องการแบ่งปันข้อมูล และที่สำคัญ มันสนุก
"ยังจำแพลงกิ้ง (Planking : การเล่นนอนคว่ำ), เลวิเทติ้ง (Levitating : การทำตัวลอยในอากาศต้านแรงโน้มถ่วงโลก), ทำปากจู๋, ท่าแบบเจนนี่ได้ไหมครับ มันเป็นความสนุกของการได้เลียนแบบ" เขาเทียบเคียงกับด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งก็คือ ต้องสนุก เลียนแบบต่อกันได้ง่าย และมีแรงจูงใจให้คนทำตามท้ายสุ ดก็จะกลับไปที่แบรนด์
"อย่าง Ice bucket challenge ก็ค่อนข้างชัด ถึงแม้จะดูค่อนข้างไร้สาระ เอาน้ำมาราดตัว แต่มีกิมมิก คนที่ราดอาจจะจ่ายน้อยลง คนที่ไม่ราดก็ต้องจ่ายมากขึ้น ก็เลยกลายเป็นไวรัล และเหตุที่เป็นไวรัล ก็เพราะมีคนดังทำด้วย อันนี้ปฏิเสธไม่ได้"
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งสำหรับ ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง นักการตลาด Digital คิดว่า สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของเรื่องทำนองนี้อยู่ตรง "คนอื่นเห็น" ด้วย
"เพื่อนคนท้า หรือเพื่อนคนโดนท้า ก็เห็น ก็เลยกลายเป็นแรงกดดันย่อยๆ ไปโดยปริยาย เราเล่นกับเพื่อน แล้วคนอื่นเห็น โซเชียลมันก็ตอบสนองคนประเภทหนึ่ง ก็คือการได้โชว์ นอกจากคนอื่นจะมากดดัน การทำอะไรบางอย่าง ก็เป็นการโชว์ออฟด้วยเหมือนกัน เพื่อให้เห็นว่า ฉันทำได้แล้วนะ เป็นการสนองความต้องการคนอีกประเภทหนึ่ง ก็เลยค่อนข้างซับซ้อนนิดนึง แต่ก็สนุกดี"
กระแสเหล่านี้กำลังสื่อสารอะไร?
"ยุคนี้คนเราไม่ได้อยู่แต่หน้าเดสทอปอีกต่อไป" จักรพงษ์ ตอบ เขาหมายถึงแพลตฟอร์มต่างๆ ที่สามารถอัพเดทวินาทีต่อวินาที หากมีใครสักคนนำเสนออะไรขึ้นมา แล้วน่าสนใจ กระแสก็จะไหลไปเอง คนก็ยินดีที่จะเลียนแบบ แน่นอน ไม่มีสูตรสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์
สำหรับ ณัฐพัชญ์ ชวนคิดต่อในเชิงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่งที่อยู่นอกเหนือเส้นของคำว่า ออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ ไปแล้ว หากแต่หมายถึง การกระตุ้นตัวตนลึกๆ เพื่อบอกเล่ากับสังคม ไม่ว่าจะเป็น หนัง เพลง หนังสือ หรือกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งตอบคำท้าว่า "เราไม่ได้กลัวนะ"
"มันก็เหมือนเป็นการกระตุ้นตัวตนของเราลึกๆ ว่า เราเป็นคนประเภทไหน ถ้าคนไม่แชร์ จะออนไลน์ก็ไม่แชร์อยู่ดี พอมาเป็นออนไลน์ ทำให้คนที่แชร์ แชร์ได้ง่ายขึ้น เลยแพร่ระบาดได้เร็ว" เขาอธิบาย
#จบป่ะ







