แอ่ว "น่าน" กับเจ้าบ้านน้อย

นี่คือดินแดนแห่งความงดงามและความหลากหลายของผู้คน เผ่าพันธุ์ ศิลปะและธรรมชาติ ที่อยู่ใต้ผืนแผ่นฟ้าเดียวกัน
"คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้ อะฮิ อะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา…"
ทันทีที่เสียงว่ากลอนล้านนาจบลง ผู้มาเยือนทุกคนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พร้อมกับร้องขอให้หนูน้อยวัยใสอธิบายความหมายของกลอนที่ว่านั้น เพื่อไขความข้องใจให้กระจ่าง โดยเฉพาะคำว่า "อะฮิ อะฮี้" ที่ดูน่ารักน่าชัง
"ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น"
นี่คือคำอธิบายทั้งหมดจากเสียงใสๆ ของ "เจ้าบ้านน้อย" ที่อยู่ภายในวัดภูมินทร์ วัดหลวงคู่บ้านคู่เมืองของชาวน่าน
ใช่แล้ว ฉันกำลังจะพาทุกคนกลับไปเยือนดินแดนล้านนาตะวันออกกันอีกครั้ง แต่คราวนี้มีหนูน้อยวัยใสเป็นผู้นำทาง และพวกเธอก็ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ เสียด้วย
ป่ะ...ไปเที่ยว น่าน ด้วยกันนะ
..................
"...น่านนะสิ น่านนะสิ นานกี่เดือนกี่ปีก็ยังงดงาม น่านนะสิ น่านนะสิ เก็บน่านให้ดีๆ ให้นาน น้าน น่าน..."
ท่อนจบของเพลง "น่านน่ะสิ" ที่พี่จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง ร้องไว้ แว่วดังขึ้นมาในความคิดทันทีเมื่อฉันมายืนอยู่ในดินแดนแห่งความเงียบสงบที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน "น่าน" น่ะสิ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสมาเยือนน่าน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไกด์นำทางเป็นเด็กน้อยตัวจิ๋ว ดีกรีแชมป์ "เจ้าบ้านน้อย" ระดับประเทศ จากการประกวดโครงการเจ้าบ้านน้อย ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
นึกขอบคุณโต้โผหลักอย่าง อภิชาติ อินทรพงษ์พันธุ์ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญทำให้โครงการจัดตั้ง "ศูนย์การเรียนรู้ด้านการท่องเที่ยว" กระจายไปในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ จนปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการมากถึง 84 แห่ง
โครงการนี้ดีอย่างไร หลักใหญ่ใจความคงอยู่ที่การสร้างความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ของตัวเองของเด็กๆ และเปิดโอกาสให้พวกเขาทำหน้าที่เป็น "เจ้าบ้านน้อยที่ดี" ในการต้อนรับนักท่องเที่ยว แน่นอนว่า จังหวัดน่านเองก็มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว นั่นคือ โรงเรียนจุมปีวนิดาภรณ์ (เทศบาลบ้านภูมินทร์) และตัวแทนเจ้าบ้านน้อยจากโรงเรียนนี้ก็รอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนอยู่ที่ วัดภูมินทร์ วัดสำคัญที่ตั้งอยู่ใจกลางหัวแหวนของเมืองน่านนั่นเอง
"วันนี้พวกเราขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ดินแดนล้านนาตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของเมืองเหนือค่ะ" น้องอุ้ม-ชนาภา เพิ่มสุข นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนจุมปีวนิดาภรณ์ (เทศบาลบ้านภูมินทร์) ในฐานะ "เจ้าบ้านน้อย" เปิดฉากต้อนรับผู้มาเยือนอย่างยินดี ก่อนจะเล่าถึงความสำคัญของเมืองน่านในบริบทต่างๆ ซึ่งแม้ถ้อยความเหล่านั้นจะเป็นการเล่าแบบท่องจำ แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นการท่องจำที่ผ่านการทำความเข้าใจมาแล้วอย่างดี
น้องน้ำทิพย์ - มยุรฉัตร อ้วนสูง และน้องชมพู่ - กมลนันท์ คำเขียว เพื่อนร่วมห้องของน้องอุ้มที่ทำหน้าที่เดียวกันผายมือให้ฉันเดินไปตามทางที่มุ่งหน้าตรงไปยังส่วนกลางของบริเวณวัด
"เมื่อเดินเข้าวัดภูมินทร์ทางด้านทิศเหนือ จะได้พบกับพญานาคขนาดใหญ่ 2 ตัว มีลักษณะเทินพระอุโบสถไว้เพื่อเชิดชูพระพุทธศาสนา ซึ่งพญานาคทางด้านซ้าย เป็นพญานาคตัวเมีย สังเกตได้จากที่มีหงอน 4 หงอน เป็นหงอนขนาดเล็ก ส่วนขวามือเป็นพญานาคตัวผู้ สังเกตจากหงอนขนาดใหญ่ 2 หงอน และมีสร้อยสังวาลย์" น้องชมพู่ อธิบายความพร้อมกับชี้ให้ดูความต่างของพญานาคทั้ง 2 ตัว ก่อนที่เราทั้ง 4 คนจะเดินเข้าไปภายในอาคารหลังใหญ่นั้นพร้อมๆ กัน
จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นวัดที่สร้างทรงจตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถ รัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ได้จำลองพระวิหารหลังนี้ไว้ด้วย
เรากราบพระประธานจตุรทิศ ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย ที่ประดิษฐานอยู่ภายในครบทั้ง 4 ทิศ แล้วจึงค่อยๆ เดินไปพินิจภาพจิตรกรรมฝาผนังชื่อดังของวัด ที่สันนิษฐานว่านาจะเป็นฝีมือของ "หนานบัวผัน" ศิลปินพื้นเมืองชาวไทลื้อฝีมือเลื่องชื่อท่านหนึ่งในล้านนา ซึ่งภาพจิตรกรรมที่วัดภูมินทร์นั้นมีภาพน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวิถีชีวิตชาวไทลื้อ ภาพคันธกุมารชาดก ภาพเปรตทรมาน ภาพบุคคลขนาดเท่าตัวจริง ภาพโมนาลิซ่าเมืองน่าน และภาพสำคัญ "ปู่ม่านย่าม่าน" ที่มาของคำ "กระซิบบันลือโลก" ที่โด่งดัง
"นี่คือภาพหญิงที่สวยที่สุดในเมืองน่าน หรือโมนาลิซ่าเมืองน่านค่ะ นางมีนามว่านางแก้วสีไว หรือนางแก้วสีเวย นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ จึงมวยผมขึ้นเหนือศีรษะ และนำดอกไม้หอมหรือดอกไม้แห้งมาเสียบไว้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ถ้าตายไปแล้วจะได้นำดอกไม้นี้ไปถวายพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่หูก็จะระเบิดหู มีแผ่นทองบางๆ สลักชื่อวันเดือนปีที่เกิดห้อยไว้ที่รูติ่งหูแทนบัตรประจำตัวประชาชนเหมือนคนในสมัยนี้ค่ะ และมีคำกลอนที่บรรยายภาพนี้ไว้ว่า "คิ้วโก่งค้อม แวดอ้อมตาขำ เหมือนจันทร์เดือนแฮม สิบสองค่ำใต้ ฮิมปากอ่อนแดง เหมือนแสงก๊อไต้ หยังมางามวิไล เลิศล้ำ” หมายถึง คิ้วโก่งเหมือนพระจันทร์เดือนแรม 12 ค่ำ ริมฝีปากอ่อนแดงเหมือนแสงทับทิม ทำไมนางถึงงามเช่นนี้"
เสียงเจื้อยแจ้วของน้องชมพู่ที่อธิบายภาพนั้นอย่างฉะฉาน ทำให้ฉันตกหลุมรักความสามารถของเจ้าบ้านน้อยแห่งเมืองน่านไปอย่างไม่รู้ตัว
และแน่นอนว่า "ปู่ม่านย่าม่าน" ก็มีคำอธิบายที่มาที่ไปอย่างน่าทึ่งเช่นกัน
"ภาพปู่ม่านย่าม่าน หรือภาพกระซิบรักบันลือโลก ปู่ม่านจะสักตั้งแต่พุงลงมาถึงต้นขา คำทางภาคกลางเรียกว่า การสักลาวพุงดำ สักสีแดงเป็นรูปคนวิ่ง เรียกว่า สักฝาง สักเพื่อประดับประดาตนเอง หรือหมายถึงในบ้านของชายผู้นี้มีข้าทาสบริวารเท่าไร ส่วนย่าม่านใส่เอี๊ยมเกาะอกหนา 2 ชั้น ใส่เสื้อคลุมแขนกระบอก ใส่ซิ่นที่ด้านหน้าจะมีการแหวกเล็กน้อยเพื่อการเดินที่สะดวกค่ะ" น้องน้ำทิพย์ ตัวเล็ก แต่เสียงเด็ดเดี่ยวมีพลัง เล่าให้ฟังว่าภาพนี้มีที่มาอย่างไร ก่อนจะว่ากลอน "อะฮิ อะฮี้..." ที่ทำให้ทุกคนอดอมยิ้มไม่ได้ให้ฟัง
เราอยู่ที่วัดภูมินทร์กันจนเที่ยงกว่า ถึงเวลาอาหารกลางวัน "เจ้าบ้านน้อย" ก็พาเราเดินข้ามถนนไปยัง ร้านเฮือนฮอม ร้านอาหารเหนือที่บรรยากาศดี แถมรสชาติจัดจ้านดีไม่หยอก และเมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว เราก็พร้อมเดินทางกันต่อ
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดภูมินทร์ คือจุดหมายที่เราต้องการไปให้ถึงในวินาทีนี้ เพราะแดดยามบ่ายร้ายแรงดีเหลือเกิน ครั้นจะเดินเที่ยวเห็นทีจะเหี่ยวแห้งไปตามกัน ต้องพึ่ง "รถรางชมเมือง" อย่างเดียว
น่าน มีรถรางให้บริการ โดยเป็นรถแบบโบราณนั่งได้ 24 ที่นั่ง โดยจะให้บริการวันจันทร์ - วันศุกร์ วันละ 1 รอบ เวลา 15.30 น. ค่าบริการคนละ 30 บาท ส่วนวันเสาร์-วันอาทิตย์ ให้บริการวันละ 2 รอบ เวลา 10.30 น. และ เวลา 15.30 น. และวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือวันหยุดยาวติดต่อกัน ให้บริการวันละ 2 รอบ เช่นกัน คือ เวลา 10.30 น. และ เวลา 15.30 น. แต่ถ้ามาเป็นหมู่คณะควรมีการติดต่อล่วงหน้าเพื่อการดำเนินการที่สะดวก ส่วนค่าบริการสำหรับชาวไทยแค่ 30 บาท ส่วนต่างชาติมากขึ้นนิด คิด 150 บาทถ้วน
น้องๆ เจ้าบ้านน้อยทั้ง 3 พาเราเดินทางชมเมืองน่านแบบรวดเร็วด้วยการนั่งรถราง โดยมีมัคคุเทศก์ตัวจริงอย่าง ขวัญใจ มะโนวร เป็นผู้เล่าเรื่องราวของสถานที่ต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งการนั่งรถรางนี้ใช้เวลาไม่นาน เพียง 40 - 60 นาที ก็น่าจะครบรอบ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้เวลากับสถานที่ใดมากเป็นพิเศษเท่านั้น
"แอ่วเท่ๆ เสน่ห์เมืองน่าน วันนี้ไปกับรถรางนำเที่ยวเจ้า สุมาเต๊อะเจ้า น้องอู้เป็นภาษาคำเมืองเข้าใจกั๋นก่อเจ้า หากไม่เข้าใจ๋ ก๊ด 1 เลือกภาษากลางได้เน้อเจ้า" ขวัญใจ กล่าวต้อนรับด้วยมุกขำๆ จนทำให้คนในรถรางคันนั้นหัวเราะครื้นเครงไปตามๆ กัน
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถรางนั้น จะผ่านวัดที่สำคัญๆ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น วัดมิ่งเมือง ที่ประดิษฐานของศาลหลักเมืองที่ชาวน่านให้ความเคารพบูชา ไกด์นำเที่ยวบอกว่า ถ้าอธิฐานเยอะๆ จะได้เฮงๆ รวยๆ ส่วน วัดพระธาตุช้างคํ้าวรวิหาร หรือวัดหลวงกลางเวียง มีหอพระไตรปิฎกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอยู่ภายใน ส่วนข้างๆ หอไตรก็เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปทองคำประทับยืน อายุเกือบ 600 ปีด้วย
เราชม วัดศรีพันต้น แบบผ่านๆ เห็นว่าเป็นวัดบูรณะใหม่ ด้านหน้าอุโบสถมีจิตรกรรมปูนปั้นพญานาคเจ็ดเศียรสีทองเหลืองอร่ามสวยงามตระการตาอย่าบอกใครจริงๆ มาถึง วัดสวนตาล วัดนี้เป็นวัดสำคัญคู่เมืองน่าน เป็นที่ประดิษฐานของ "พระเจ้าทองทิพย์" พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ซึ่งทุกๆ ปี ในช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ จะมีการจัดงานนมัสการและสรงนํ้าพระเจ้าทองทิพย์ที่ชาวน่านเคารพนับถือคู่บ้านคู่เมืองด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมี วัดหัวข่วง, วัดดอนแก้ว, วัดมหาโพธิ, วัดหัวเวียงใต้ ฯลฯ ส่วนสถานที่ที่ไม่ใช่วัด แล้วเรามีโอกาสได้ลงไปนั่งพักพร้อมทำความรู้จักก็คือ พิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด ที่ตั้งอยู่ในวัดพระเกิด ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของน่าน และเพราะที่วัดมีโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวชุมชนบ้านพระเกิดจึงคิดจัดตั้งให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่ออนุรักษ์สิ่งของล้ำค่าเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไป โดยนำกุฏิของครูบาอินผ่อง วิสารโทร มาปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด และนำวัตถุโบราณของทางวัด รวมถึงสิ่งของต่างๆ ของชุมชนที่นำมาบริจาคสมทบไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย
เราเดินขึ้นไปชมคัมภีร์ใบลานอักษรธรรมล้านนา (ตั๋วเมือง) บนชั้น 2 แล้วลงมาชมข้าวของเครื่องใช้ในพิพิธภัณฑ์ที่ชั้นล่างของเรือน ก่อนจะเดินเข้าไปทำ "ตุงก้าคิง" ถวายพระเพื่อความเป็นสิริมงคล
สุดท้ายคือ โฮงเจ้าฟองคำ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระเกิดนัก ที่นี่เป็นเรือนไม้เก่ายกสูงสามหลังติดกัน มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว ตามประวัติว่า บ้านหลังนี้เป็นของ "เจ้าศรีตุมมา" เจ้าเวียงเหนือ ผู้สืบเชื้อสายเจ้าผู้ครองนครน่านในสมัยนั้น ต่อมาได้ตกเป็นมรดกของลูกหลาน คือ "เจ้าฟองคำ" จึงเป็นที่มาของเฮือนเจ้าฟองคำ หรือ โฮงเจ้าฟองคำ (คำว่า โฮง เป็นคำพื้นเมืองล้านนา แปลได้ว่า คุ้ม หรือที่อยู่อาศัยของเจ้านาย)
ถึงแดดจะร้อน แต่เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่มีต้นไม้ร่มครึ้ม ความร่มเย็นแผ่เข้ามาปกคลุมทันที เราเดินไปนั่งเล่นรับลมเย็นๆ บริเวณใต้ถุนบ้าน ตรงนี้มีแม่อุ๊ยหลายคนนั่งทอผ้าพื้นเมืองน่านเพื่อจำหน่าย แต่ถ้าใครอยากจับจ่ายที่โซนด้านในก็มีทั้งผ้าซิ่น เสื้อพื้นเมือง และเครื่องเงินจำหน่ายในราคาสมเหตุสมผลด้วย
เจ้าบ้านน้อยทั้ง 3 เพลิดเพลินอยู่กับการฝึก "ดีดฝ้าย" ที่มีผู้ใหญ่ใจดีสอนให้ ดูพวกเธอจะสนใจเอามากๆ ผลัดกันถาม ผลัดกันทำอย่างสนุกสนาน นี่อาจเป็นอีกหนึ่งห้องเรียนของเจ้าบ้านน้อยเมืองน่าน ที่ช่วยฝึกให้พวกเธอรู้ และเข้าใจถึงความสำคัญของคำว่า "ถิ่นฐานบ้านเกิด"
และเมื่อรถรางพาพวกเราเดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้น น้องๆ เจ้าบ้านน้อยทุกคนก็เอ่ยคำลาพร้อมกัน
"อย่าลืมนะคะ มาคราวหน้าพวกหนูในฐานะละอ่อนน่านจะอาสาเป็นเจ้าบ้านน้อยที่ดี "ละอ่อนน่านจุมปีปาแอ่ว" พาทุกๆ ท่านเที่ยวเมืองน่านอย่างมีความสุขอีกเหมือนเคยนะคะ"
มา "น่าน" คราวนี้ถือว่าเพลิดเพลิน และเกินกว่าจะเอ่ยคำว่าลาจากได้อย่างสนิทใจจริงๆ
..................
การเดินทาง
น่าน เป็นจังหวัดที่กว่าจะไปถึงได้ทุกคนจะรู้สึกเหมือนกัน นั่นคือ "น๊าน นาน" ถ้าไปโดยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 32 จนถึงนครสวรรค์ แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 17 ไปจนถึงพิษณุโลก จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 11 โดยจะผ่านอุตรดิตถ์และ อ.เด่นชัย จ.แพร่ แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 101 ผ่านแพร่ไปจนถึงน่าน รวมระยะทางประมาณ 668 กิโลเมตร ถ้ารถประจำทางปรับอากาศมีให้บริการวันละหลายเที่ยว โดยรถจะออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9-10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490 www.transport.co.th ปัจจุบันบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้เปิดให้บริการจองตั๋วรถโดยสารออนไลน์แล้ว ติดต่อได้ที่ www.thaiticketmajor.com นอกจากนี้ยังสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ไทยรูท ดอทคอม www.thairoute.com ส่วนสายการบินแนะนำสายการบินนกแอร์ สอบถาม โทร. 1318 หรือ www.nokair.com
รายละเอียดการท่องเที่ยวและการเดินทางสามารถสอบถามเพิ่มเติมที่ ททท.สำนักงานแพร่ โทร. 0 5452 1127 ส่วนรถรางนำเที่ยว ติดต่อได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โทร. 0 5475 1169