'สวิส'ระหว่างทาง

'สวิส'ระหว่างทาง

ประเทศที่อยู่บนเส้นองศาที่ 46 ทางซีกโลกเหนือแห่งนี้ มีส่วนต่างเวลาห่างจากประเทศไทยกว่าครึ่งวัน

"มันจะดีต่อสุขภาพของคุณนะ"

รอยยิ้ม หรือท่าทางเชื้อเชิญให้ออกไปสูดอากาศข้างนอกอย่างเป็นมิตร เชื้อเชิญอย่างเต็มที่ หลังจากที่เห็นท่าทีของคนแปลกหน้ายืนเก้ๆ กังๆ มองดูสายฝนโปรยฟ้าอยู่ในตอนนี้

"คุณแน่ใจนะ"

เขายิ้มย้ำคำยืนยัน

ใครคนนั้นจึงออกไปสัมผัส "อากาศสวิส" อย่างถึงเนื้อถึงตัวตามคำแนะนำ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยที่สุด บางประโยคบนหน้ากระดาษหลายๆ เล่มก็มักให้ความเห็นตรงกันว่า การเดินทางนั้นเป็นทั้งสายตา และประสบการณ์ รวมทั้งคอยผลักไสไล่ส่งคนเราให้ก้าวออกจากเส้นทางเดิมๆ อยู่ร่ำไป

คิดต่อมาอีกหน่อย ระหว่างการเดินทางนั้น จึงมักมี "เป้าหมายส่วนตัว" แอบแฝงเอาไว้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้น วิกเตอร์ นาวอร์สกี้ คงไม่ขวนขวายออกจากสนามบินเพื่อไปล่าลายเซ็นต์ของนักดนตรีแจ๊สให้ได้ หรืออย่าแปลกใจกับอาการบ้าๆ บอๆ ของ 2 ตัวเอกตัวแทนประเทศไทยในการร่วมทางแบบ "ยินดีที่ไม่รู้จัก" รวมทั้งอีกหลายอาการ "ไม่ปกติ" ที่เรามักมีแรงทำได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่ออยู่ระหว่าง "ชีพจรลงเท้า"

ด้วยความพิเศษแบบนี้เอง ถึงทำให้คนเรามักหาอะไรที่เป็นเฉพาะตัวทำเมื่อได้มีโอกาสเดินทางออกไปจากเส้นทางเดิมๆ ของตัวเองอยู่เสมอ

สวิตเซอร์แลนด์ หรือ สมาพันธรัฐสวิส (The Swiss Confederation) ชั่วโมงนี้ก็ไม่ต่างกัน

ประเทศที่อยู่บนเส้นองศาที่ 46 ทางซีกโลกเหนือแห่งนี้ มีความสูงของภูเขาเป็นส่วนประกอบมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ตั้งอยู่ระหว่าง เยอรมัน, ฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี ออสเตรีย และลิกเตนสไตน์ มีส่วนต่างเวลาห่างจากประเทศไทยกว่าครึ่งวัน กลายเป็นเหมือน "สวนหลังบ้าน" ที่เป็นคำสัญญาส่วนตัวหลังบรรจงวางรองเท้าวิ่งคูเก่งลงเป็นส่วนหนึ่งในกระเป๋า

เพื่อสำรวจเส้นทางใหม่ๆ ตาม "เป้าหมาย"

-1-

...หนาวเหน็บ

คงจะจริงอย่างที่ใครบางคนให้คำนิยามมาถึงอากาศแบบ "สวิส" แล้วก็คงจะจริงยิ่งกว่ากับการออกมาสาวเท้าวิ่งตากฝนไปตามถนนกลางเมืองโลซานน์ "นครหลวงแห่งโอลิมปิก" อย่างนี้

แน่นอนว่าต้นกำเนิดมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่างโอลิมปิกจะเริ่มต้นที่กรุงเอเธนส์ แต่นครโลซานน์ (Lausanne) นั้นเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee) มาตั้งแต่ปี 1994

สำนักงานใหญ่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลแห่งนี้ มีส่วนที่ปรับปรุงเป็น พิพิธภัณฑ์โอลิมปิก ซึ่งเพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อต้นปี 2014 โดยภายในพิพิธภัณฑ์จะมีส่วนจัดแสดงรายละเอียดที่สำคัญๆ เกี่ยวกับโอลิมปิกไม่ว่าจะเป็น ประวัติการจัดการแข่งขัน ชุด และอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีเปิดการแข่งขัน (เราจะสามารถเห็นวิวัฒนาการของคบเพลิงโอลิมปิกตั้งแต่ยุคแรกๆ มาจนถึงปัจจุบันได้ที่นี่) เหรียญรางวัล ของที่ระลึก หรือรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงในพิธีเปิดการแข่งขัน รวมทั้งลายเซ็นต์ที่ระลึกของนักกีฬาแทบทุกคนที่ร่วมลงชิงชัยใน ลอนดอนเกมส์ 2012 ก็ถูกจัดแสดงเอาไว้ที่นี่ด้วย

ไม่ใช่การเป็นศูนย์กลางด้านกีฬาเท่านั้น เมืองริมฝั่งทะเลสาบเจนีวาเหนือแห่งนี้ ยังสามารถย้อนประวัติศาสตร์กลับไปถึงต้นศตวรรษที่ 4 ในสมัยที่ชาวโรมันมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่ ชื่อเสียงของโลซานน์ยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 จากการมาเยือนของบรรดานักประพันธ์-นักปรัชญานามอุโฆษอย่าง วอล์แตร์ ดิกเค็นส์ ไบรอน และที เอส อีเลียต เป็นต้น

นอกจากทัศนียภาพแบบยุโรปตะวันตกที่มีเอกลักษณ์ตรงตำแหน่งที่ตั้งที่ติดกับฝรั่งเศส ซึ่งในวันที่อากาศปลอดโปร่งจะสามารถมองเห็นภูเขามองบลังค์ (Mont Blanc) ได้แล้ว ภายในตัวเมืองโลซานน์ยังสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง

สำหรับปวงชนชาวไทยเอง เมื่อพูดถึงโลซานน์ก็ต้องนึกถึงสถานที่พำนักชั่วคราวของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ที่สวนสาธารณะ Denantou Park สวนสาธารณะที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองโลซานน์ เป็นที่ตั้งของ ศาลาไทย (The Thai Pavilion) อนุสรณ์แห่งความทรงจำที่พระองค์ทรงพระราชทานไว้

ศาลาไทยแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 2007 โดยช่างฝีมือจากเมืองไทย โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จทรงเป็นประธานในการเปิดอย่างเป็นทางการในปี 2009 จนถึงวันนี้ ศาลาหลังนี้ก็ยังเป็นสถานที่ที่คนมักจะมาเยี่ยมชม และชื่นชมในความละเอียดอ่อนของงานฝีมือไทยอยู่เสมอ

นอกจากนั้น ยังมีความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ Lausanne Cathedral หรือ Cathedrale Notre-Dame de Lausanne โบสถ์ประจำเมืองโลซานน์ ศูนย์รวมจิตใจอีกแห่งหนึ่งของชาวโลซานน์ที่สร้างเมืองบนเขานี้ขึ้นเพื่ออพยพหนีจากการรุกรานของฝรั่งเศสและเยอรมนี โดยเริ่มก่อสร้างในปี1170 และเสร็จสมบูรณ์ในปี 1275 ตัวโบสถ์สร้างจากหินทราย (Sandstone) เดิมเป็นโบสถ์ที่มีทางเข้าทางทิศใต้ ต่อมาย้ายไปเข้าทางทิศตะวันออก เหมือนโบสถ์อื่นๆ ภายในเมือง

สิ่งที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงของ Lausanne Cathedral คือ Rose Window หรือ กระจกสีทรงกลม ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน Rose Window ที่สำคัญ และสวยงามที่สุดของยุโรป เทียบเท่ากับโบสถ์ Notre Dame และ Chartres ในฝรั่งเศสเลยทีเดียว

นอกจากนั้น บริเวณนี้ยังเป็นจุดชมวิวมุมสูงของเมืองอีกด้วย เนื่องจากโบสถ์ตั้งอยู่บนยอดของเนินเขานั่นเอง

-2-

เช้าตรู่ท่ามกลางสายฝนที่โลซานน์ออกจะให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเส้นทางเลียบทิวเขาของเมือง วิลลาร์ (Villar) ไปพอสมควร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิ่งไล่สายตาไปชนกับป้าย Lausanne Marathon ที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม (แน่นอน ขณะที่คุณอ่านข้อเขียนนี้ มันคือช่วงเวลาของการวิ่งที่เมืองโลซานน์เกิดขึ้นพอดิบพอดี) หากไม่นับสายฝนที่ทำให้อากาศเย็นลงกว่าเดิมแล้ว ด้วยทัศนียภาพ รวมทั้งความปลอดภัยของเมืองที่แม้บนจุดที่แสงไฟส่องไปไม่ถึงนั้น ทำให้เมืองนี้ (จริงๆ อาจจะเรียกได้ว่าทั้งประเทศ) เหมาะแก่การพักผ่อน รวมทั้งออกกำลังกายอย่างแท้จริง

ขณะที่ ความสูงระดับ 15,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลของเทือกเขาสวิสแอลป์ (Swiss Alps) ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

วิลลาร์ เป็นชื่อเรียกสั้นๆ ของ Villars-sur-Ollon เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลโว (Vaud) สภาพโดยทั่วไปที่อยู่บนยอดเขาสูงทำให้มีคนอาศัยไม่มาก โดยที่นี่จะมีประชากรราว 3,000 คน แต่เมื่อถึงฤดูท่องเที่ยวจะเต็มไปด้วยผู้คนไม่ต่ำกว่า 15,000 คนเลยทีเดียว

ด้วยความที่เป็นเมืองกลางหุบเขาแอลป์ที่สามารถมองเห็นยอดเขามองบลังค์แบบใกล้ชิด (ระดับสายตา) กิจกรรมท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อก็อยู่ตรงการเป็นจุดเล่นสกีและปีนเขายอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของประเทศอีกด้วย (แน่นอน ยอดนักท่องเที่ยวระดับหลักหมื่นที่ได้ยินมานั้นยังมีเสียงกระซิบสำทับเอาไว้ด้วยว่า ไม่นับรวมคนที่มาเที่ยวมาสกีแล้วกลับไปโดยไม่พักค้างคืนด้วยนะจะบอกให้)

นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อย่าง สเลจ (sledge) และการเดินบนหิมะ (snowshoeing) ให้เลือกอีกด้วย สำหรับช่วงหน้าร้อนก็มักมีคนมาพักผ่อน สปา หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง เช่น กอล์ฟ เดินป่า ปีนเขา ปั่นจักรยานภูเขา เพราะความสูงของที่ตั้งทำให้อากาศเย็นสบาย ในบางปีช่วงฤดูหนาว ลมจะหอบทราย (Sand rain) จากซาฮาร่ามา ทำให้หิมะเป็นสีชมพู กลายเป็นอีกหนึ่ง "จุดขาย" ที่นักท่องเที่ยวมักไม่พลาดที่จะมาเยือนเหมือนกัน

แต่สำหรับคนที่พลาด (หรือไม่เชิงว่าพลาดด้วยเหตุผลต่างๆ) ก็ไม่ต้องน้อยใจ เพราะช่วงโลว์ซีซั่น คนที่เดินทางมาที่วิลลาร์จะได้รับ Free access card สำหรับใช้เดินทางและเล่นกิจกรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (บัตรมีมูลค่า 40 ฟรังก์)

อย่างที่บอกว่า เมืองวิลลาร์ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับยอดนิยม นั่นก็เพราะนอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว การเดินทางมาก็ค่อนข้างสะดวก เพราะที่นี่ใกล้กับเมือง Bex ชุมทางรถไฟใหญ่ที่เชื่อมเมืองสำคัญๆ ของยุโรปไว้ด้วยกันนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น เมืองนี้ยังเคยเป็นที่พำนับของบุคคลสำคัญในราชวงศ์ต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย

นอกจากที่เที่ยวที่กิน เมืองวิลลาร์ก็ถือว่าเป็นอีกแหล่งที่รวมเอาความเป็นท้องถิ่นของสวิตเซอร์แลนด์ไว้ด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Raclette จานที่มีเนื้อชีสทำละลายติดก้นไว้จิ้มกับเนื้อตากแห้ง ขนมปัง หรือมันฝรั่ง จนไปถึงฟองดูว์ชีส คำแนะนำจากเจ้าถิ่นก็คือ ชีสควรกินกับไวน์ หรือชาร้อน แทนน้ำเปล่า เพื่อเลี่ยงอาการท้องอืด หรือกินแนมกับ Pickles (ผักดอง เช่น แตงกวาดอง) ที่มีกรดช่วยย่อย (และตัดรส)"หมาป่า" เสียงใครบางคนดังขึ้นระหว่างทางลงจากยอดเขาหลังมื้ออาหารค่ำยังก้องดังอยู่ในหัวจนถึงตอนนี้

ระหว่างที่ก้าวไปในความมืด แน่นอนว่า บางครั้งทางที่สิ้นแสงไฟก็ไม่ได้หมายความว่าจะมองไม่เห็น เหมือนอย่างที่ในความมืดมิดตรงหน้ายังมีทางทอดยาวอยู่ จริงๆ ก็ไม่เชิงมืดนักเพราะพระจันทร์ (ที่ดวงโตกว่าที่ไทยประมาณ 3 เท่า ทั้งๆ ที่เป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกัน) ก็ยังโรยแสงลงมาพอให้ตาคลำทางต่อ

หมาป่าตัวเดิมก็ยังอยู่ในความคิด (แถมคิดไปต่างๆ นานา) ระหว่างก้าวนั้นคำถามก็เกิดขึ้น

จะหยุดตรงนี้ หรือไปให้สุดทาง (ที่ตั้งเป้าไว้)

แน่นอน ไม่มีทางเลือกไหนดีกว่า เพราะแค่นี้ไม่ได้หมายความว่า "ล้มเหลว" หรือปลายทางข้างหน้าก็ใช่ว่าจะมี "ความสำเร็จ" รออยู่ แต่ไม่ว่าจะได้ข้อสรุปตรงไหน รู้สึกตัวอีกทีก้าวสุดท้ายก็มาจบตรงที่ป้ายจราจรที่ตัวเองใช้เป็นเครื่องหมายกำกับเอาไว้ระหว่างทางขึ้นเขาจนได้

ก้าวนี้จึงจบลงตรงที่ว่า...

ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับ "ใจ" ของเราทั้งนั้น

-3-

"สวยตายไปเลย"

ไม่เชิงคำอุทาน ก็ดูเป็นคำเปรียบเปรยที่น่าหมั่นไส้อยู่พอสมควร แต่ถึงอย่างนั้น ภาพเคลื่อนไหวของนักวิ่งที่ก้าวกระโดดจากหินก้อนหนึ่งไปยังเนินหญ้า สลับปีนป่ายไต่ระดับความสูงขึ้นไปตามแนวภูมิประเทศตะปุ่มตะป่ำเวลาเสิร์ชไฟล์วีดิโอคำว่า เทรล (Trail) หรือวิ่งวิบาก มาอยู่ห่างกันแค่หลังกระจกรถยนต์กั้น ก็ทำให้อดคิดถึงโปรแกรมวิ่งในวันถัดไปไม่ได้แล้ว

ยิ่งเมื่อรถชะลอความเร็วตัดเข้าหลังแนวช่องเขาเข้าสู่เขตเมือง ที่มีแม่น้ำสายขนาดเล็กไหลเป็นแนวกั้นถนนกับบ้านเรือน มีฉากหลังเป็นสีสันของทิวสนสะท้อนแสงอาทิตย์ ก็คงไม่ต่างกับการเข้ามาอยู่ในฉากหนังรักสักเรื่อง ที่มีทั้งความเคร่งขรึม และโรแมนติกเป็นส่วนผสมเข้ากันอย่างลงตัว

ที่นี่รู้จักกันว่า "ซูออส"

ซูออส (Zuoz) เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีความเป็นมาตั้งแต่ปี 840 เป็นศูนย์กลางการปกครองของเขตเอ็นกลาดึน (Engadin) เป็นที่ถูกจดจำในฐานะเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งจนถึงวันนี้สภาพโดยทั่วไปของเมืองก็ยังคงรูปแบบดั้งเดิมเอาไว้ สังเกตได้จากลักษณะสิ่งปลูกสร้างที่ระบุวันเดือนปีที่สร้างเอาไว้อย่างชัดเจน (ส่วนใหญ่มีความเป็นมาตั้งแต่ปี 1500)

เมืองนี้มีเนื้อที่ราว 65 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองถูกใช้ไปกับการเกษตร อย่าแปลกใจถ้าจะรู้สึกว่าเดินไปทางไหนก็สามารถมองเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวสุดสายตา พอๆ กับรถไฟที่เข้ามาเทียบชานชลาอย่างตรงเวลาเป๊ะ (จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเราทำอย่างเขาไม่ได้ทั้งๆ ที่ก็มาดูงานกันออกบ่อย)

ใครบางคนให้ข้อมูลเอาไว้ว่า คนสวิสส่วนใหญ่มักเป็น "ลูกผสม" อันประกอบด้วย สวิส-เยอรมัน 60 เปอร์เซ็นต์ สวิส-ฝรั่งเศส 30 เปอร์เซ็นต์ สวิส-อิตาลีอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก 1 เปอร์เซ็นต์ในตัวเลขกลมๆ เหล่านี้นั้นเป็น สวิส-โรมาเนีย

ที่นี่ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีสัดส่วนชาวต่างชาติเกือบครึ่งหนึ่งของประชากร (ลืมบอกไปว่าคนที่นี่พูดเยอรมัน แต่เป็นสำเนียงสวิส คล้ายๆ ว่าพูดเยอรมัน "เหน่อ") ที่เป็นอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเมืองข้างๆ ที่อยู่ห่างกันไม่เกิน 10 นาทีรถยนต์นั้นก็คือ เมืองเซนต์มอริทซ์ (St.Moritz) เมืองตากอากาศระดับโลกนั่นเอง

ด้วยความสูงใกล้ยอดเขาเซนต์มอริสทำให้กิจกรรมการท่องเที่ยวของซูออสนอกจากเชิงวัฒนธรรมเมืองดั้งเดิมแล้ว ยังเป็นกิจกรรมกลางแจ้งเสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสกี เดินป่า จักรยาน หรือกระทั่งการวิ่ง (เพราะป้ายแนะนำการท่องเที่ยวที่นี่ก็มีการเซ็ตโปรแกรมสำหรับนักวิ่งเอาไว้ให้ดูด้วย)

ไฮไลท์อีกอย่างก็คือโบสถ์ประจำเมืองที่จะมีระบบระฆังบอกเวลาอัตโนมัติเอาไว้ให้ชาวเมืองได้รู้เวลา (แต่สำหรับนักท่องเที่ยวอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่กับเสียงระฆังตอนตีสี่)

"...."

สิ้นเสียงนาฬิกาปลุก เสื้อผ้า รองเท้า และอุปกรณ์จับเวลาก็พร้อมสำหรับการออกไปวิ่งชมเมืองทิ้งทวน กุญแจประตูห้องล็อกเรียบร้อย ก่อนก้าวลงบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูโรงแรม

ประตูใหญ่ล็อก!!!

หลังควานหาที่มาของลูกกุญแจอีกดอกที่น่าจะให้ไว้สำหรับแขกที่ต้องการออกไปไหนมาไหนก่อนเวลาประตูเปิดไม่เจอ ก็ต้องย่องขึ้นไปเปิดห้องอย่างเงียบๆ

"โธ่... ฝันสลาย"

....................................

การเดินทาง

รถเช่าถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการเดินทางในยุโรปโดยลักษณะการเช่าจะแยกเป็นประเภทตั้งแต่ รับรถและคืนรถที่เดิม หรือรับและคืนรถคนละเมืองแต่อยู่ในประเทศเดียวกัน แต่ในกรณีเช่ารถข้ามประเทศนั้น บริษัทให้เช่ารถส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้เช่ารถที่รับรถและคืนรถคนละประเทศกัน (บริษัทให้เช่ารถเรียกการเช่าแบบนี้ว่า One way rental) ปกติการเช่ารถนั้นควรจองรถล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ราคาค่าเช่าจะถูกกว่าการจองล่วงหน้าเพียง 1-2 อาทิตย์

การเช่ารถขับในยุโรป นอกจากต้องเตรียมใบขับขี่สากล (International Driving License) ของผู้เช่ารถ (ผู้เช่ากับคนขับรถต้องเป็นคนเดียวกันด้วย) ที่ต้องไม่ลืมอีกอย่างก็คือ ใบขับขี่ของกรมขนส่งทางบก เพราะบริษัทให้เช่ารถจะขอดูใบขับขี่ทั้งสองใบ ตอนไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับรถ นอกจากราคารถเช่าแล้ว สิ่งที่เป็นการบ้านให้ต้องเตรียมตัวหาข้อมูลล่วงหน้าก็คือ ค่าน้ำมัน เพื่อสามารถบริหารค่าใช้จ่ายระหว่างทางได้นั่นเอง หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Europcar.com