เที่ยว 'เว้' ชมวังราชวงศ์เหวียน
ท่ามกลางสายลมอุ่นและแสงแดดกล้า ขณะที่ชาวเวียตต่างห่อตัวมิดชิดไม่ให้แสงแดดโลมเลียผิวพรรณ
ทำให้ฉันนึกถึงผลฝรั่งที่ชาวสวนบรรจงห่อไม่ให้ลูกฝรั่งโดนแดด ผิวจะได้สวยขายได้ราคา ขณะที่คนไทยอย่างเราและฝรั่งผมทองช่างกล้าใส่เสื้อผ้าเปลือยไหล่รับแดดที่กำลังแผดเผา
---------
คราวนี้เราเดินทางมาเยือนเมืองลุงโฮ ตามคำเชิญของสายการบินเวียดเจ็ท พาบินลัดฟ้าสู่เมืองโฮจิมินห์-เว้-ฟองญา-ถ้ำสวรรค์ 3 วัน 4 คืน ทันทีที่เที่ยวบิน VJ8902 พาเราไปถึงไซง่อนเมืองแสนโรแมนติค ก่อนอื่นต้องไปเยี่ยมชมสำนักงานและพบผู้บริหารของสายการบิน มร.ลิว ดึ๊ก ก๋าน กรรมการผู้จัดการ และมีส เหวียน ถิ ถวี่ บินห์ รองประธานฯ จากนั้นก็ได้เวลาไปท่องราตรี เหมือนไปอินสเป็คสถานที่สำคัญๆ ยามค่ำคืน
ไม่ว่าจะเป็น ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดี (Reunification Place) ทว่าชมได้เพียงภายนอกแบบเกาะรั้วดู ทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้หรือรู้จักกันในชื่อทำเนียบแห่งการประกาศอิสรภาพ อาคารทั้งหมดได้ถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิมเหมือนตอนที่ถูกใช้เป็นทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ และภายในยังมีสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในยุคนั้น อีกแห่งก็คือ มหาวิหารน็อทร์-ดาม (Notre Dame Cathedral) ถนน Han Thuyen อยู่บริเวณใกล้กันกับที่ทำการไปรษณีย์กลาง ปัจจุบันยังคงเปิดทำการอยู่
ไกด์ท้องถิ่นนามว่าลุง “ลั้ง” เล่าว่า โบสถ์นอร์ทเธอดาม อายุ 137 ปีแล้ว เพราะสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2420 โบสถ์เก่าแก่ทั่วไปมักจะมีกระจกสีสวยงาม ทว่า ณ ที่แห่งนี้เคยได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงแตกต่างจากโบสถ์ทั่วไป แม้ไร้กระจกสี ทว่าก็ได้รับคำชมว่าเป็นโบสถ์ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง
บริเวณติดกันเป็นที่ตั้งของ ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ถือว่าตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของเมือง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส ถือว่าเป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามเลยก็ว่าได้ ภายในตัวอาคารมีการประดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และมีภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ ปัจจุบันนี้ยังมีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐานอีกด้วย
จบวันแรกของการไปเยือนเวียดนามใต้ด้วยการไปล่องเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อน...เรือก็แสนจะธรรมดา แม่น้ำก็ธรรมดา อาหารยิ่งธรรมดาเข้าไปใหญ่ แถมยังค่อนข้างไปทางไม่ถูกปากอีกด้วย ทว่าอารมณ์ของการล่องเรือนี่สิไม่ธรรมดาขึ้นมาทันใด เมื่อมีนักร้องนักดนตรีมาบรรเลงเพลงเวียดนามสดๆ ด้วยความคลาสสิคของเครื่องดีดสีตีเป่าของเขา ช่างมีเสน่ห์มัดใจจริงเชียว ไปยืนตรงกาบเรือรับลมเย็นๆ มองเห็นพระจันทร์เต็มดวง เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ของค่ำคืนนี้เลยก็ว่าได้ ถึงอย่างไรมาเที่ยวเวียดนามทั้งที ก็ต้องลองมาล่องเรือชมบรรยากาศโดยรอบของแม่น้ำไซ่ง่อน พร้อมกับรับประทานอาหารค่ำ เคล้าดนตรีสด ชมโชว์การแสดงจากสาวเวียดนาม ให้ผ่อนคลายสบายอารมณ์ โดยจะมีโชว์ต่างๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน เรียกง่ายๆ ว่าเป็นภัตตาคารลอยน้ำที่อยู่บนเรือขนาดใหญ่ 2-3 ชั้น ใช้เวลาล่องตามลำแม่น้ำไซ่ง่อน ชมทัศนียภาพสองฝั่งที่สวยงามยามค่ำคืน ประมาณ 1 ชั่วโมง ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เมื่อมาเที่ยวเวียดนามใต้พลาดไม่ได้เด็ดขาด
จากนั้นขอพักกายพักใจที่โรงแรม Royal Lotus Sai Gon ในเมืองโฮจิมินห์ ก่อนวันรุ่งต้องออกเดินทางไปเมืองเว้ ด้วยเที่ยวบิน VJ8370 เรียกได้ว่าเมินบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าของโรงแรม ไปพึ่งพาเลาจ์หรูครบเครื่องเรื่องอาหารและเครื่องดื่มของสายการบิน
ทันใดที่ไปถึงเว้....เป้าหมายแรกที่ควรไปเยือนก็คือ พระราชวังและสุสานของพระเจ้าตือดึ๊กและพระเจ้าไคดิ่นห์ (King Tu Duc & King Khai Dinh) วันนี้น่าจะเป็นวันที่ร้อนที่สุดในโลกกระมัง (ฮา) ชาวเวียดนามมีสารพัดวิธีหนีจากไอแดด ยกเว้นเราที่ไม่กลัวแดด
พูดถึงเมืองเว้ อยู่ในภาคกลางของเวียดนาม เคยเป็นเมืองหลวงมานาน 400 ปี เป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่มีโบราณสถานน่าสนใจหลายแห่งไม่แพ้อยุธยาบ้านเรา พระราชวังเว้แห่งนี้ก็เช่นกัน เนื่องจากเวียดนามจะมีความคล้ายจีน บริเวณพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาล ดูแล้วเหมือนวังหลวงในประเทศจีนไม่มีผิด
ชาวเวียดนามถือว่า “พระเจ้าตือดึ๊กแห่งราชวงเหวียน” เป็นกษัตริย์เวียดนามองค์สุดท้าย ในขณะที่ฝรั่งเศสบอกชาวโลกว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนามคือ “บ๋าวดั่ย” ต้องทำความเข้าใจง่ายๆว่า
พระเจ้าตือดึ๊กเป็นโอรสของพระเจ้าเถี่ยวตรีจักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์เหวียนที่ทรงครองราชย์นานถึง 36 ปี ความจริงไม่ได้เป็นผู้สืบราชบัลลังก์ ตามความเชื่อของขงจื้อ เพราะมีพี่ชายคนโต ทว่ากษัตริย์ผู้เป็นบิดา ทรงเลือกตือดึ๊กเป็นกษัตริย์เนื่องจากขณะนั้นมีฝรั่งเศสเริ่มเข้ามารุกราน เนื่องจากลูกชายคนนี้รักประเทศชาติ ไม่ยอมให้ฝรั่งเศสเข้ามายึดครอง จึงได้รับราชสมบัติแทนพี่ชายที่มีชื่อว่า Hong Bao พี่ชายเองก็พยายามจะยึดอำนาจคืนจากน้องชาย ภายหลังตือดึ๊กจับพี่ชายและพรรคพวกตามกฏแล้วโทษต้องประหารชีวิต ทว่าพระมารดาวอนขอให้อย่าฆ่าพี่ชาย จึงนำตัวไปคุมขังแทน ต่อมาพี่ชายได้ฆ่าตัวตายในคุก
ทว่าตลอดการปกครองของกษัตริย์ตือดึ๊กก็มีความขัดแย้งมากมาย ทั้งคนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการคัดเลือกรัชทายาทของกษัตริย์องค์ก่อน (พ่อ) แถมยังมีการรุกรานจากฝรั่งเศส ไหนจะมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีอากรเพื่อสร้างพระราชวัง ประชาชนพบกับความยากจนอดอยาก พระองค์จึงตัดสินใจปิดประเทศ เพราะขณะนั้นประเทศจีนที่เป็นพี่เลี้ยงก็มีปัญหาภายในประเทศ ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ทำให้เวียดนามต้องดูแลตัวเอง ขณะนั้นกษัตริย์ตือดึกมีทางเลือกสองทางคือ เซ็นต์สัญญากับฝรั่งเศส และอีกทางคือทนสู้ต่อไป ทว่าหากทนสู้ต่อไป ต้องสู้กับพวกที่คอยจะยึดอำนาจ พระองค์จึงเลือกทางแรกก็คือเซ็นต์สัญญากับฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามตือดึ๊กถือว่าเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด
พอเซ็นต์สัญญาแล้วฝรั่งเศสก็เข้ามาดูแล เนื่องจากตือดึ๊กเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีทายาท เนื่องจากอาการป่วยทำให้ทรงเป็นหมันจึงไม่มีทายาทสืบสกุล ทรงครองราชย์อย่างไม่ค่อยมีความสุข แม้แต่วันที่สิ้นพระชนม์พระองค์ยังทรงเกลียดฝรั่งเศสจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มีเรื่องเล่าว่าในวันที่ฝังพระศพมีคนทำงานลับๆ อย่างรวดเร็วในการแอบเอาพระศพไปยังที่แห่งหนึ่ง อาจจะทรงรู้ว่าไม่ค่อยมีคนรักพระองค์ จึงพยายามจะรักษาร่างของพระศพเอาไว้ โดยนำพระศพออกไปคาดว่าจะมีทรัพย์สมบัติด้วย เนื่องจากใช้คนมากมายถึง 200 คน นำไปฝังที่ไหนสักแห่ง จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน และทั้งสองร้อยคนถูกประหารชีวิตหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความลับรั่วไหล
เนื่องจากไม่มีรัชทายาทพระองค์จึงรับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ขึ้นครองราชบัลลังก์ได้เพียง 7 เดือนก็สิ้นพระชมน์ อย่างกระทันหัน ทำพิธีฝังพระศพอย่างกระทันหันเช่นกัน จากนั้นกษัตรย์องค์ต่อไปก็ขึ้นครองราชย์ นั่นก็คือกษัตริย์ “ไคดิ่นห์” (King Khai Dinh) ว่ากันว่าพระองค์ไม่ได้เป็นชายแท้ โปรดแต่งหน้าแต่งตัวสวยงาม แม้กระทั่งหลุมฝังศพของพระองค์ก็สวยมาก มีความเป็นผู้หญิงสูง ไกด์เวียดนามมักจะเรียกฉายาว่า กษัตริย์ตุ๊ด ดังนั้นคนเวียดนามถือว่ากษัตริย์องค์สุดท้ายของพวกเขาก็คือ ตือดึ๊ก แต่ตามบันทึกของฝรั่งถือว่า กษัตริย์บ๋าวได (ขึ้นครองราชย์ตอนอายุ 9 ขวบ) ครองราชย์ต่อจากไคดิ่นห์ คือกษัตริย์องค์สุดท้าย
เดินชมพระราชวังอันแสนกว้างใหญ่ บางแห่งชำรุดเสียหายเหลือเพียงซากปรักหักพัง เข้าชมท้องพระโรงที่กษัตริย์เคยนั่งบัลลังก์ว่าการ มีโซนนิทรรศการเก็บภาพเก่าๆ ที่มีการบันทึกไว้ถึงพระราชกรณียกิจของกษัตริย์นำมาจัดแสดง บริเวณหน้าท้องพระโรง มีหลักหินที่จารึกตำแหน่งของผู้ตั้งแถวเข้าเฝ้าเรียงรายเป็นแถวตอนลึกตามตำแหน่งของจอหงวนหลงเหลือให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้
ตลอดทั้งวันมีนักท่องเที่ยวฝรั่ง และนักเรียนนักศึกษาเข้ามาศึกษาประวัติศาสตร์เมืองโบราณ อาณาจักรของพระราชวังที่กว้างใหญ่ไพศาล บ่งบอกของความยิ่งใหญ่ทำให้เราทึ่งตั้งแต่แรกเห็น
จากนั้นเดินทางมุ่งหน้าไปชมสุสานของพระเจ้าตือดึ๊กและพระเจ้าไคดิ่นห์ต่อ สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tomb of Tu Duc) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเว้ แม้ว่าพระองค์จะทรงไม่ชื่นชมฝรั่งเศส ทว่าเมื่อเห็นสุสานของพระเจ้าตือดึ๊กแล้วรู้สึกว่ามีกลิ่นอายของความเป็นยุโรปอยู่ไม่น้อย ตามบันทึกบอกว่าพระองค์ได้ทรงออกแบบเองเกือบทั้งสิ้น สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ใช้เวลาสร้าง 3 ปี แถมยังมีกระแสต่อต้านจากประชาชนว่าหมดสิ้นงบประมาณสร้างไปไม่ใช่น้อยอีกด้วย แถมยังใช้แรงงานคนมากมายถึง 3,000 คน อีกด้วย
จุดเด่นน่าชมของสุสานแห่งนี้ คือ ตำหนัก 2 แห่งภายใต้อาคารไม้เก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเคียม อันรายล้อมด้วยดอกบัวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พระองค์ทรงใช้เวลาว่างในตำหนักแห่งนี้นิพนธ์บทกวีและพักผ่อนหย่อนใจด้วยการตกปลา ถัดมาที่ส่วนกลางของสุสานมีศิลาจารึกขนาดใหญ่กล่าวถึงพระเกียรติคุณและเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัชสมัย และอาคารทรงโรงขนาดใหญ่ใช้เป็นโรงละครสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ส่วนตัวสุสานของพระองค์นั้นอยู่ด้านในสุด รายล้อมไปด้วยความร่มรื่นของทิวสน ต้นไม้ที่แสดงถึงความเป็นอมตะ เพราะมีต้นไม้เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่มีใบเขียวตลอดปี ชาวเวียดนามจึงนำไปเปรียบเทียบกับความเป็นอมตะขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน
ชมวังและสุสานจนเหนื่อยล้าเพลียแดด (ฮา) ชื่นชมสาวน้อยนักเรียนนักศึกษาที่นุ่งห่มกายาด้วยชุดประจำชาติสีขาวสะอาดตา ทว่าอยากถามสาวๆ ว่าเมืองนี้เขาไม่มีโรลออนขายหรือไร....แดดร้อน เหงื่อไหล กลิ่นกายนางโชยมาเพิ่มอาการปวดหัวของข้าพเจ้าที่นอนน้อยมาหลายเพลา แถมยังมาเดินท่อมๆ กลางแดดเปรี้ยงแบบไม่ปราณี นี่คือเสน่ห์ของเมืองเว้ที่ยากจะลืมเลือน
ว่าแล้วเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองกว๋างบิ่ญ เข้าพักที่โรงแรม Sai Gon Quang Binh ย่ำรุ่งของพรุ่งนี้จะไปเยือนถ้ำสวรรค์ ที่ร่ำลือกันว่าสวยบาดใจ
.......................
การเดินทาง
หากต้องการเดินทางไปเมืองโฮจิมินห์ ขอแนะนำสายการบินเวียดเจ็ทแอร์ (Vietjet Air) ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ บินตรงจากสุวรรณภูมิสู่สนามบินโฮจิมินห์ หากจะเดินทางไปเที่ยวเมืองเว้ชมพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม สามารถใช้บริการสายการบินเวียดเจ็ทแอร์บินภายในประเทศถึงเมืองเว้โดยง่ายดาย หากใช้บริการบินภายในประเทศ ต้องการความรวดเร็วโดยไม่ต้องไปต่อคิวยาวๆ กับชาวเวียดนามทั้งหลาย แนะนำให้ใช้บริการ Hot Seat ผ่านช่องทางพิเศษเพื่อความรวดเร็วทันใจ ติดต่อได้ที่ Hotline (+66) 22777111 และช่องทางผ่านเวปไซด์ www.vietjetait.com โดยมีภาษาทั้งหมด 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาเวียดนาม และภาษาอังกฤษ ช่องทางการชำระบัตรโดยสารสามารถติดต่อสำนักงานตัวแทนสายการบินซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย