Dubai สวรรค์เนรมิตแห่งทะเลทราย
ใครเลยจะคิดว่าบนพื้นที่ 4,000 ตารางกิโลเมตรที่เป็นท้องทะเลทรายและอยู่ติดกับอ่าวเปอร์เชียแห่งนี้ในอดีตอันเนิ่นนานผ่านมา
ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงชนเผ่าชนเผ่าบานียาส จะกลับกลายเป็นเมืองอันศิวิไลซ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกในเวลาต่อมา ภายใต้ชื่อที่คนทั่วโลกรู้จักนามดินแดนแห่งนี้ว่า "ดูไบ" Dubai
...................
แม้ว่าพื้นที่บริเวณนี้จะมีแต่ท้องทะเลทรายและความแห้งแล้ง แต่เนื่องจากบนชายฝั่งที่ใกล้กับอ่าวเปอร์เชียนั้น มีคลองทอดผ่านเข้ามาในผืนดินนั่นเอง จึงทำให้นอกจากอาชีพการประมงจะอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังก่อให้เกิดสถานที่สำหรับการจอดแวะของเรือสินค้าของชาติต่างๆ อีกด้วย แล้วหลังจากนั้นจึงกลายเป็นท่าเรือสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่มักจะมีเรือสินค้าของชาติต่างๆ จอดแวะซื้อขายสินค้า และติดต่อเจรจาค้าขายระหว่างกัน จนทำให้ชุมชนชาวประมงที่นี่คึกคัก และกลายเป็นศูนย์กลางค้าขายที่ใหญ่อีกแห่งหนึ่งบริเวณอ่าวเปอร์เชีย
ในท่ามกลางทะเลทรายและเปลวแดดของดูไบในอดีตกาลนั้น ก็เหมือนกับสรวงสวรรค์ได้ประทานสิ่งพิเศษให้ชุมชนดั้งเดิมของดูไบภายใต้การนำของคนตระกูล"มักตูม"แห่งนี้ เพราะนอกจากท้องทะเลทรายที่เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของดูไบจะแฝงไว้ด้วยความสวยงามแล้ว ลึกลงไปในท้องทะเลทรายที่ถูกแดดแผดเผามาตั้งแต่โบราณกาลนั่นยังอุดมด้วยน้ำมันมหาศาลอีกด้วย
จนกระทั่ง ปี 1960 สิ่งที่สวรรค์ประทานให้มาก็บังเกิดแก่ชาวดูไบ เมื่อขุดพบเจอน้ำมันใต้ผืนทะเลทรายอย่างมากมาย และน้ำมันนี่เองที่เป็นสินค้าส่งออกราคาแพงที่สร้างความมั่งคั่งให้กับดูไบ พร้อมกับมีการพัฒนาอย่างขนานใหญ่ ทำให้ดูไบเป็นเมืองที่โดดเด่นมีความยิ่งใหญ่หลายๆ ด้านทันที ขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางของบรรดานักธุรกิจ และมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปสัมผัสดูไบในแต่ละปีจำนวนมาก
ดูไบเป็น 1 ในจำนวนหนึ่ง 7 รัฐที่รวมตัวกันก่อตั้งเป็นประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE อันประกอบด้วย อาบูดาบี อัจมาน ดูไบ ฟูไจราห์ ราสอัลไคมาห์ ชาร์จาห์ และอุมม์อัลไกไวน์ โดยเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือ ดูไบ โดยในดูไบนั้นปัจจุบันมีพลเมืองกว่า 3 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวเอมิเรตส์จริงๆ ประมาณร้อยละ 19 เท่านั้น และเนื่องจากดูไบเป็นเมืองที่มั่งคั่งและเป็นเมืองธุรกิจระดับใหญ่หลายอย่าง จึงทำให้มีชาวต่างชาติเดินทางไปทำงานในดูไบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวเอเชียใต้มีมากถึงร้อยละ 45 นอกนั้นเป็นชาวอาหรับอื่นๆ และชาวอิหร่านร้อยละ 23 และชาวตะวันตกอีกร้อยละ 13 ดังนั้นจะเห็นว่าสัดส่วนจำนวนประชากรในดูไบนั้น ชาวดูไบหรือชาวเอมิเรตส์ที่แท้จริงนั้นยังถือว่ามีอยู่น้อยมาก
การขุดพบน้ำมันของดูไบ นอกจากจะทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูแล้ว ยังทำให้โฉมหน้าของรัฐดูไบเปลี่ยนแปลงเป็นเมืองที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว จนแปรเปลี่ยนเป็นเมืองที่ทันสมัยและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จนกระทั่งในวันนี้ เมื่อปริมาณน้ำมันที่มีจำนวนมากในอดีตลดลง นครรัฐดูไบจึงปรับเปลี่ยนนโยบายให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว โดยเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่งโลกในแต่ละปีจำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจนทำให้ดูไบเป็นเมืองอันดับที่ 5 ของโลกที่ชวนสัมผัส นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้ว ยังน่าสนใจทั้งสิ้น
Burj Khalifa : สูงเสียดฟ้าท้าโลก
ในปี 2013 มีสถิติของจำนวนนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ที่เดินทางไปยังดูไบที่บ่งบอกให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยมีสถิติดังนี้
1.Saudi Arabia: 1,353,819 คน 2.India: 888,835 คน 3.UK: 758,657 คน 4.USA: 510,432 คน 5.Russia: 403,990 คน 6.Kuwait: 336,032 คน 7.Germany: 324,352 คน 8.Oman:290,826 คน 9.Iran: 277,847 คน 10.China: 275,675 คน
จะเห็นว่านโยบายส่งเสริมการท่องของรัฐดูไบที่เข้ามาทดแทนธุรกิจน้ำมันที่หมดลงไปแล้วนั้น ประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง และในทุกวันนี้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวดูไบมากที่สุดและสร้างรายได้ให้กับรัฐอย่างมากก็คือชาวจีน โดยสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังดูไบจะพลาดไม่ได้ก็คือ อาคาร Burj Khalifa ซึ่งเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกนั่นเอง
บุรจญ์เคาะลีฟะฮ์ (Burj Khalifa) เป็นอาคารสูงเสียดฟ้าท้าโลกโดยมีความสูงถึง 828 เมตร หรือ 2,717 ฟุต มี 169 ชั้น เริ่มก่อสร้าง เมื่อปี 2004 ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ ปี 2009 และเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับความสูงของอาคารเมื่อปี 2010 มีการติดตั้งลิฟท์ที่มีความเร็วที่สุดในโลกในอาคารนี้ด้วย โดยภายในตัวอาคารนั้น นอกจากจะมีจุดชมวิวอยู่ที่ชั้น 124 แล้ว ยังมีสำนักงาน ร้านอาหาร และโรงแรมอยู่ภายในนั้นด้วย
นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของดูไบที่ก่อสร้างขึ้นมา นอกจากสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ อย่าง โรงแรมหรูบุรจญ์อัลอาหรับ การถมทะเลสร้างหมู่เกาะต้นปาล์ม ดูไบมารีนา และห้างดูไบมอลล์ที่ใหญ่โตมโหฬาร
ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้แหละสามารถสร้างแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเยือนดูไบ
การร่ายรำของน้ำพุ : Dubai Mall
องค์ประกอบของการท่องเที่ยวดูไบที่สสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะ Dubai Mall นั้นถือเป็นห้างที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นห้างที่อยู่ใกล้ชิดกับ Burj Khalifa อาคารที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ภายในห้างยังจัดโซนพื้นที่เอาไว้ถึง3 ส่วนด้วยกัน คือ Aquarium , Dubai Fountain และ Dubai Lake Ride โดยเฉพาะในส่วนของ Dubai Fountain นั้น ทุกคืนจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะจะมีการแสดงการร่ายรำประกอบเสียงเพลงที่สวยงาม ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวยืนรอดูอยู่รายรอบอย่างเนืองแน่น นอกจากนี้แล้วยังมีเรือบริการให้กับนักท่องเที่ยวให้ลงเรือเข้าไปชมอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
สำหรับ Dubai Mall นั้น นอกจากจะมีสินค้าแบรนด์เนมจากทั่วโลก สิ่งที่เป็นจุดสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวก็คือการตกแต่งภายในห้าง โดยมีการนำเอาเอาโมเดิร์นอาร์ทที่แปลกใหม่มาตกแต่ง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนที่มาเที่ยวอย่างมาก
Burj al-Arab : โรงแรมสุดหรูแห่งดูไบ
สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของดูไบและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกนั้นมีหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น"ที่สุดในโลก"ทั้งสิ้น และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของนครรัฐดูไบก็คือโรงแรม Burj al-Arab ที่ถูกกล่าวขานว่าหรูหราอย่างมาก และกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของดูไบ
ในดูไบทุกวันนี้มีโรงแรมมากถึง 625 แห่ง มีจำนวนห้องพักมากถึง 92,396 ซึ่งส่วนมากจะเป็นโรงแรมระดับห้าดาวขึ้นไปทั้งสิ้น และในปี 2016 ธุรกิจโรงแรมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจะเติบโตมากขึ้น นอกจากจะมีโรงแรมใหม่เกิดขึ้นแล้ว ห้องพักก็จะเพิ่มมากขึ้นโดยประมาณว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 115,000 เลยทีเดียว
สำหรับโรงแรม Burj al-Arab นั้น ถือเป็นโรมแรมที่หรูหราที่สุดอีกแห่งหนึ่งในดูไบ สร้างบนพื้นเกาะที่เกิดจากการถมทะเลเมื่อปี 1994 และเปิดบริการเมื่อปี 1999 ลักษณะของตัวอาคารโรงแรมเหมือนเรือใบ มีความสูง 321 เมตร ห้องพักมีหลายระดับหลายราคา สูงสุดคือห้องสูทพิเศษพักได้จำนวน 6คน ตกราคาคืนละ 1 แสนบาท
หิมะแห่งความสนุก : Mall of the Emirates
แม้ว่าดูไบจะเป็นดินแดนทะเลทราย แต่ถึงกระนั้นดูไบก็สามารถจะดลบันดาลให้มีหิมะสำหรับการเล่นสกีและเลี้ยงดูนกเพนกวินได้ และนี่เป็นอีกหนึ่งของความมหัศจรรย์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจ
"Ski Dubai และThe Snow Penguins" ตั้งอยู่ใน Mall of the Emirates ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าระดับใหญ่อีกแห่งหนึ่งในดูไบ โดยที่นี่เป็นที่สนใจของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะมีลานเล่นสกีที่กว้างขวาง เหมือนลานหิมะจริงทุกอย่าง มีอุปกรณ์การเล่นสกี และชุดกันหนาวให้บริการทุกอย่าง นอกจากนี้แล้วยังมีโรงเรียนฝึกสอนการเล่นสกีให้กับผู้ที่ต้องการจะหัดเล่นอยู่ภายในนี้ด้วย
นอกเหนือจากลานเล่นสกีแล้ว ยังได้จัดพื้นที่สำหรับการพบปะกับนกเพนกวินแสนรู้ให้กับนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการถ่ายยภาพกับรูปปั้นนกเพนกวินด้วยหิมะ โดยที่นี่จะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงสามทุ่ม
Desert Safari Tour : ความเร้าใจในทะเลทราย
ดังที่บอกเอาไว้แล้วว่า พื่นที่ส่วนใหญ่ของรัฐดูไบ จะเป็นท้องทะเลทรายที่กว้างใหญ่ มองดูแล้วจะเห็นแต่ฟ้าจรดทรายเท่านั้น แต่ในความเวิ้งว้างกลางทะเลทรายที่เห็น กลับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของดูไบ โดยเฉพาะ Desert Safari Tour ซึ่งนอกจากจะทำให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสสัมผัสกับความแปลกใหม่ในทะเลทรายแล้ว การนั่งรถผาดโผนโจนทะยานโดยไกด์หรือคนขับรถ ยังเป็นเกมที่สนุกระทึกใจตลอดเวลาอีกด้วย เพราะคนขับที่ชำนาญและผ่านประสบการณ์มาเป็นอย่างดี จะขับรถพาผจญภัยไปตามสันทะเลทรายอย่างตื่นเต้นเร้าใจทุกขณะ
นอกจากนี้แล้ว การทัวร์ซาฟารีทะเลทราย ยังจะทำให้เห็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนเอมิเรตส์ท้องถิ่นอีกด้วย เพราะการทัวร์ทะเลทรายนั้น พอตกค่ำจะมีการพาไปพักผ่อนและรับประทานอาหารค่ำตามแคมป์ต่างๆ กลางทะเลทราย ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นคนในท้องถิ่นที่ร่วมมือกับบริษัททัวร์ต่างๆ ที่พานักท่องเที่ยวมาเที่ยว โดยภายในแคมป์นั้น มีทั้งอาหารการกินของชาวดูไบบริการ ซึ่งเป็นการดินเนอร์แบบอาราเบียน และยังมีโชว์การเต้นรำของชาวดูไบแบบดั้งเดิม หรือหากใครอยากจะนั่งอูฐ ก็สามารถจะนั่งอูฐเล่นได้ที่บริเวณนอกแคมป์
.............................
ทุกวันนี้การท่องเที่ยวถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐดูไบ และมีการจัดงานระดับใหญ่หลายงานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เช่นงาน Dubai Motor Festival, Dubai Food Festival, Dubai International Jazz เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีการพัฒนารูปแบบและวิธีการทำงานของไกด์ โดยให้พนักงานต้นรับในโรงแรม และคนขับแท็กซี่ เป็นไกด์ท่องเที่ยวไปในตัว ตลอดจนการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในเร็ววันนี้การตรวจสอบวีซ่าเข้าดูไบจะสะดวกและง่ายมากขึ้น โดยผ่านช่องทางอีเล็กทรอนิกหรือ E-gateได้ด้วยตนเองที่สนามบิน
ใช่เลย...นี่แหละคือ Dubai สวรรค์เนรมิตแห่งทะเลทราย!
............................
การเดินทาง
การเดินทางสู่ดูไบ สายการบินหลักคือ Emirates โดยมีเที่ยวบินจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังดูไบ 6 เที่ยวบินต่อหนึ่งวัน ใช้เครื่อง แอร์บัส A 380 ทุกเที่ยวบิน
ต้องยอมรับว่าในบรรดาสายการบินในโลกนี้ สายการบิน Emirates Airline เป็นสายการบินแห่งชาติของรัฐดูไบที่ถือว่าเป็นสายการบินที่ยิ่งใหญ่อีกสายการบินหนึ่งในโลกก็ว่าได้ โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 1985 มีการพัฒนามาโดยตลอด ปัจจุบันใช้เครื่องบินโบอิ้งและแอร์บัส นอกจากนี้แล้วสายการบินเอมิเรตส์ ยังติดอันดับยอดเยี่ยมในหลาย ๆ ด้าน เช่น การทำรายได้สูงสุด มีผู้โดยสารใช้บริการสูงสุด ตลอดจนระยะทางการบินที่สูงที่สุดอีกด้วย โดยมีเที่ยวบินให้บริการผู้โดยสาร สัปดาห์ละมากกว่า 2,400 เที่ยว และบินไปยังเมืองต่างๆ ทั่วโลก จำนวน 105 เมือง ใน 62 ประเทศ รวม 6 ทวีป
สำหรับแอร์บัส A 380 ของสายการบิน Emirates นั้น ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในแง่ของนวัตกรรมการบินที่มีความใหญ่โตและมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเพียบพร้อมทุกอย่าง ราวกับคฤหาสน์ลอยฟ้า ทั้งห้องผู้โดยสารชั้นบนซึ่งเป็นชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ รวมทั้งชั้นล่างซึ่งเป็นชั้นประหยัด
โดยเฉพาะชั้นหนึ่งจะมีที่นั่งในห้องสวีทส่วนตัว ซึ่งมีทั้งหมดจำนวน 14 ห้องบนเครื่องบิน พร้อมทั้งเก้าอี้ที่สามารถปรับนอนราบได้ สายการบินเอมิเรตส์เป็นสายการบินแรกที่ให้บริการห้องอาบน้ำที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครันถึง 2 ห้องสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
นอกจากนี้ภายในเครื่องบินยังประกอบด้วยพื้นที่บาร์ ถึง 2 ส่วนด้วยกัน 1 บาร์สำหรับชั้นโดยสารชั้นหนึ่งและอีกหนึ่งบาร์สำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ โดยผู้โดยสารชั้นธุรกิจ สามารถผ่อนคลายไปกับเก้าอี้ที่สามารถปรับนอนราบได้ซึ่งยาวถึง 79 นิ้ว (2 เมตร) ในขณะที่ผู้โดยสารชั้นประหยัดสามารถปรับที่นั่งให้ยาวได้ถึง 33 นิ้ว
(ติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลการบินได้ที่ 02-664 1040 หรือ www.emirates .com/th หรือสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวในดูไบ www.HotelTravel.com )