DJ Maft Sai กว่าหมอลำจะโกอินเตอร์

พูดกันมานานเรื่องการนำเพลงไทย วัฒนธรรมไทยไปต่างแดน แต่ไม่เคยเกิดเป็นรูปธรรมสักที จนมาถึงคราวของหมอลำฟีเวอร์ ที่ขับเคลื่อนโดยหนุ่มวัย 30คนนี้
โดยความเป็นจริงแล้ว กระทรวงวัฒนธรรม สมควรจะมอบโล่เกียรติยศให้ผู้ชายคนนี้ ผู้ปลุกกระแสความสนใจในดนตรีหมอลำให้เกิดขึ้นท่ามกลางหมู่นักฟังนักเสพดนตรีต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป อเมริกา หรือญี่ปุ่น ด้วยความพยายามเพียงไม่กี่ปี กับเงินลงทุนที่นับเป็นเพียงเศษเสี้ยวของงบประมาณหลวง
ณัฐพล เสียงสุคนธ์ เป็นนามจริงของ ดีเจ มาฟท์ ไซ (DJ Maft Sai) ดีแจ โปรดิวเซอร์ และผู้ผลักดันให้เกิดวงดนตรีหมอลำร่วมสมัย ที่ชื่อ The Paradise Bangkok Molam International Band อันเป็นการรวมตัวของนักดนตรีหลากวัยขึ้นมา
ก่อนหน้าที่จะเกิดอัลบั้ม The 21st Century Molam ซึ่งได้รับการยกย่องจาก บีบีซี และแวดวงดนตรีในระดับสากล เมื่อช่วงต้นปีนี้ มาฟท์ไซ ใช้เวลาหลายปี คลุกคลีอยู่ในแวดวงดนตรีที่อังกฤษมาระยะหนึ่ง จากนั้นเขาจึงหันมาลงลึกกับรากเหง้าของเพลงพื้นบ้านอีสาน อย่าง หมอลำ และบทเพลงลูกทุ่งจากยุคทศวรรษ 1970s จนกระทั่งหยิบเอาตัวอย่างเพลงที่น่าสนใจ มาผลิตขายใหม่ในตลาดต่างประเทศ จนสร้างกระแสความสนใจให้เกรียวกราวขึ้นมา
นับเป็นการปูทางให้มิตรรักแฟนเพลงต่างชาติ มีความคุ้นเคยกับสุ้มเสียงและสำเนียงท้องถิ่น ด้วยบทเพลงเก่าๆ เหล่านั้น ก่อนจะถึงคราวสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ในนามของวง พาราไดส์ บางกอก หมอลำ อินเตอร์เนชั่นแนล แบนด์ ซึ่งเมื่อถึงเวลาแสดงสดบนเวที ก็สามารถสะกดความสนใจของผู้ชมเรือนร้อยเรือนพัน จนกระทั่งถึงหลักหมื่นได้อย่างอัศจรรย์
เดือนเมษายนปีนี้ ดีเจมาฟท์ไซ กำลังพาวงดนตรีวงๆ นี้ พร้อมเครื่องดนตรีพื้นบ้าน อย่าง พิณ และแคน ออกไปทัวร์ฤดูใบไม้ผลิ ในหลายๆ เมืองของยุโรป ทั้งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก และเบลเยี่ยม นับเป็นการอุ่นเครื่อง ก่อนที่การทัวร์ครั้งใหญ่ในช่วงซัมเมอร์จะมาถึง
ช่วยวิเคราะห์หน่อยว่า อะไรทำให้ชาวต่างชาติสนใจหมอลำ
มันไม่ใช่แค่เรื่องตัวของวง The Paradise Bangkok Molam International Band อย่างเดียว แต่มันคือเรื่องของ Scene ที่เราพยายาม build มาตั้งแต่ปี 2007 แล้ว ตั้งแต่เปิด (ค่ายเพลง) สุดแรงม้า , ปี 2009 พาราไดซ์ แบงค็อก จนกระทั่ง ปี 2010 ผมทำ compilation (อัลบั้มรวมเพลง) ให้แก่ Soundway Records ซึ่งเป็นเพลงเก่า เพราะถ้าเอาของใหม่ไปเลย คนอาจจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ คือมันไกลเกินที่จะรู้จัก
ผมเริ่มจากโปรเจ็คท์ที่ชื่อว่า Thai Funk จริงๆ แนวนี้มันไม่ใช่แนวที่ฝรั่งเรียก หรือไม่ใช่แนวอะไรเลย มันแค่เป็นแนวที่ผมเรียกเพลงไทยที่มันร้องเพลงแก้กัน เราจะเรียกมันว่าอะไรดีนะ Thai Funk คือเรียกให้มันเข้าใจง่าย จำง่าย เราตั้ง Genre (แนวเพลง) เองเลย คือก่อนหน้านี้เราชอบเพลงลูกทุ่ง หมอลำ อยากจะปล่อยตรงนี้ออกไป แต่ตอนนั้นผมเปิดลูกทุ่งในกรุงเทพฯ ยังมีคนด่าเลยบอกว่า นี่จังหวัดอะไรเนี่ย กลับบ้านนอกไปเลยไป
ตอนนั้น สังคมยังไม่ได้เปิดรับเหมือนทุกวันนี้ เราาเหมือนผลักอะไรที่มันฝืน ผมเอาโปรเจ็คท์บางโปรเจ็คท์ เหมือนเป็นการหยอดน้ำจิ้มไปก่อน ให้เสพง่ายขึ้น หลังจากนั้น พอคนโอเคกับ Thai Funk แล้ว คนฟังมีมุมมองที่โอเคกับเพลงไทยแล้วนะ ผมออกชุดลูกทุ่ง ผมเขียน The Root of Thai Funk พอหลังจากลูกทุ่งไปเนี่ย ผมตามสบายแล้วไง คนเริ่มเปิดรับกันแล้ว เราอัดหมอลำ เราอัดลูกทุ่ง เราอัดตัวลึกๆ เราอัดตัวช้าๆ ได้ แต่มันก็ยังอยู่ในกลุ่มเล็กๆ
กลุ่มเล็กๆ ที่ว่ามันประมาณเท่าไหร่
จริงๆ ช่วงนั้น คือลิมิเต็ด 500 แผ่น ถึงทุกวันนี้เราก็ยังทำลิมิเต็ดแค่ 500 แผ่น เพราะเราไม่อยากให้แผ่นของเรา ไปอยู่ในร้านขายของมือสอง เราต้องการให้แค่คนที่ชอบ มันมีจำนวนแค่เท่านี้ คุณก็ต้อง appreciate มัน เพราะเพื่อนผมก็ทำค่ายเพลงกันเยอะตอนอยู่อังกฤษ คือบางทีเราปั๊ม(แผ่น)มากเกินไป เราขายให้ถูกลง เราต้องตัดสต็อกออก คือพยายามที่ปล่อยของพวกนี้ ซึ่งบางทีพอคนไปเห็นในร้านขายของมือสอง ที่เอามาดั๊มพ์ราคาถูกๆ มูลค่าของมันเริ่มหาย แล้วผมมองว่าเราอุตส่าห์ทำมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เราอยากจะพรีเซนต์ตรงนี้ เราอยากจะโปรโมทตรงนี้ให้มันดูดี มากกว่าเป็นอะไรที่สักแต่ว่าจะขาย ให้มันได้เงินกลับคืนมาในการผลิต
เดิมเอาอดีตมานำเสนอ แล้วตอนนี้เอาปัจจุบันมานำเสนอด้วย ?
ก่อนหน้านั้น เราอาจจะมีเรื่องอดีต เป็นตัวเรา เป็นเรื่องของการ selection ของเราที่เลือกมาว่า เพลงนี้เพลงนั้น อย่างที่พูดไปว่ามันก็จะเป็น niche market ที่ผมบอกว่าขาย 500 แผ่น แต่ว่าพอตัว Sound of Siam ที่เราทำให้กับค่าย Soundway ของอังกฤษ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก มีเพลงๆ นึงเป็นหมอลำ แต่ว่าแซมปลิงมาจาก (เพลง) Jumpin' Jack Flash ซึ่ง มิค แจ็คเกอร์ (แห่ง เดอะ โรลลิง สโตนส์) ก็ส่งอีเมลมาหาค่าย แล้วรีวิวให้เลย บอกว่าชอบฟังมากเพลงนี้ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าเพลงของเขาจะ influence ไปถึง northeastern part of Thailand มันแบบว่ามาไกลมาก เค้าไม่ได้มองว่าเป็นการก็อปปี แต่มองว่ามันทำมาตั้งแต่ 70 แบบฉวีวรรณ ดำเนิน มีโปรดิวเซอร์ทำให้ ซึ่งเค้ามองว่ามันมีฟีดแบคที่ดีมาก
หลังจากนั้น ผมมี Jimmy Page เคยมาที่ร้าน แล้วซื้อพิณไปตัวนึง ซื้อเพลงไทยที่เป็นคัฟเวอร์เพลง Santana เค้าบอกว่าตอนนี้เค้าอินกับพิณมากเลย แล้วก็บอกว่าเค้าชอบเก็บแผ่นเสียงมาก ชอบเก็บพวกเครื่องดนตรีแปลกๆ เค้ามาเมืองไทยบ่อย มาแบบ off the record เค้าบอกว่าชอบมาก ผมว่านักดนตรีและคนหลายๆ คนรู้จักเรา จาก (แผ่น) Sound of Siam เพราะว่า Sound of Siam มันเป็น compilation แรกในช่วงนั้น เป็นเพลงรากหญ้าจริงๆ เพลงแบบคนพื้นบ้านจริงๆ ที่ออกไปนำเสนอในต่างประเทศ
เท่าที่ผ่านมา มันออกไปในเชิงของวัฒนธรรมมาก แทนที่จะเป็นเรื่องของโปรดักชั่นเพลง มีแต่การรำมีการแสดงวัฒนธรรมไทยในวัดไทย เราก็ไม่ได้ติตรงนั้น มันแค่คนละสายกัน สายคนฟังดนตรีอย่างเดียว มันไม่มี compilation อะไรที่รวมเพลงรากหญ้าจริงๆ Sound of Siam เป็นตัวแรกที่มีการรวมหมอลำ รวมลูกทุ่งออกไป แล้วฟีดแบคดีมาก ทั้ง CNN BBC Guardian ศิลปินต่างๆ รีวิวกันมา
แผ่นนี้มีขายแต่ในเมืองนอก ?
ในเมืองไทย ก็มีเราที่นำเข้ามา ตอนนั้นค่อนข้างจะขายได้เร็วมาก เร็วเป็นประวัติการณ์เลย คือภายใน 2-3 เดือนแรก หมดไป 2-3 พันแผ่น แผ่นเสียงอย่างเดียวนะ ซึ่งช่วงนั้นแผ่นเสียงก็รู้กันอยู่แล้วว่า ขายได้ครบพันแผ่น นี่ก็บุญแล้ว เพราะยิ่งกลุ่มเพลงเป็น niche market กลุ่มคนเล่นแผ่นเสียง มันยิ่งเป็น niche market ยิ่งกว่าอีก พอขายได้ขนาดนี้ ฟีดแบคดี แล้วก็คนรู้จักเราจากตรงนั้นเยอะมาก
พูดถึงการไล่ฟังเพลงยุค 70 ตอนนั้นคุณน่าจะเพิ่งเกิดด้วยซ้ำ ?
คือผมเป็นที่ไม่ค่อยมองเรื่องอายุ เพราะถ้าเกิดเราจะมองว่า เราเกิดไม่ทันอะไร เราจะเสพมันได้ยังไง มันไม่ใช่ประเด็นใหญ่ สมมติบางคนมองว่า หมอลำ ฝรั่งฟังเข้าใจหรือ แล้วถ้าคุณฟังเพลงฝรั่ง คุณฟังเข้าใจขนาดนั้นหรือ คือตราบใดที่เรารู้ feeling ได้ ถ้านักดนตรีสื่อมาถึงเราได้ เราก็โอเคกับมัน
ผมเริ่มเปิดแผ่นปี 2000 ตอนนั้นผมอยู่อังกฤษ ผมเปิดพวก electronic music ; Deep House ; Detroit หลายๆ แนว แต่ว่าท้ายที่สุด คนที่เป็นโปรดิวเซอร์เพลงใหม่ๆ หลายแนว influence ของเขา ก็คือเพลงเก่า Hiphop ; Sample ; disco ; Funk ; Soul ; Jazz เข้ามาล้วนๆ ตอนนั้นผมพวกสายนิวยอร์ก สาย deep house ก็มี influence จากเพลงแอฟริกันเยอะ ผมเลยเริ่มเก็บเริ่มขุดหาของที่เก่า เริ่มไม่อยากฟังแค่เพลงที่เค้าผสมมาแล้ว แต่เราอยากรู้ว่า นักดนตรีที่เราชอบ เป็นดีเจหรือโปรดิวเซอร์ที่เราชอบ จริงๆ เค้าชอบอะไร เราเริ่มตามฟัง ก็ไปถึงแอฟริกัน
จากนั้น เรามองว่าแอฟริกาไม่ใช่ประเทศนะ มันเป็นทวีปนะ มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น เราเลยเริ่มลงไปแต่ละที่ ว่าเพลงจาก มาลี โซมาลี เคนย่า เอธิโอเปีย ไนจีเรีย กานา คือยิ่งหา มันยิ่งเยอะขึ้น ทำไมมันไม่หมดสักที
แล้วผมก็เริ่มไปดูเพลงจากอิหร่าน มันเป็นช่วงที่ผมโชคดีกว่าคนอื่น ตรงที่ว่า ตอนอยู่ลอนดอน ร้านแผ่นเสียงเยอะมาก การเสพเพลง การหาเพลง มันมีกลุ่มหลายกลุ่ม มันมีคนย้ายมาจากหลายทวีป อยากจะหาแผ่นจากอัลจีเรีย ผมไปฝรั่งเศล มีคนแอฟริกันย้ายมาอยู่ในฝรั่งเศสเยอะมาก แผ่นเสียงเต็มไปหมดเลย คือเริ่มหาปุ๊บ มันน่าสนใจ แล้วในขณะเดียวกัน ผมย้ายบ้านตอนนั้น ย้ายมาอยู่พรินสตัน ร้านแผ่นเสียงเร้กเก้เต็มเลย วันๆ เข้าแต่ร้านแผ่นเสียง พอเก็บแผ่นเสียงเพลงพวกนี้มาเยอะๆ เพลงเร้กเก้ เพลงแอฟริกัน มันคือเพลงยุค 60 70 80 เหมือนกัน พอเก็บไปถึงพวก Turkish ตอนนั้นผมก็ย้ายกลับเมืองไทยพอดี
พอกลับมาเมืองไทย ผมมองว่า สิ่งที่เรารู้จักในเรื่องของหมอลำ มันคือสิ่งที่เราเคยได้ยินในยุค 80 90 เป็นเพลงที่เปิดตามวิทยุ ตามอะไรที่มันเป็น re-make ไปเรียบร้อยแล้ว สมมติ (เพลง) ผู้ใหญ่ลี จริงๆ ผู้ใหญ่ลี มีประมาณ 30 เวอร์ชั่น แต่ว่าที่เราเคยฟัง เป็นตัวที่จังหวะใหม่ เเบบขายซีดีเยอะๆ เป็นโปรดักชั่นเเบบคุณภาพลดมาหน่อย คือไม่มีความดิบ
พอทำโปรเจ็คท์นี้ เลยรู้สึกว่าพอมาเจอแผ่นลูกทุ่งที่เมื่อก่อนผมก็ไปหาตามพวกคลองถม ซึ่งผมเป็นคนที่ฟังก่อนซื้อ คือผมไม่ซื้อตามปก แผ่นไทยยิ่งดูยาก เเต่แผ่นต่างประเทศ เค้าจะบอกค่ายไหน หรือนักดนตรีคนไหนเล่นบ้าง เมืองไทยเขียนเเค่ชื่อนักร้อง แต่ชื่อมือกลอง มือพิณ มือเเคน ไม่เขียนเลย คือจะขายเเค่รูปลักษณ์เท่านั้นเอง เช่น เเผ่นไวพจน์ ก็มีตั้งเเต่ up beat มีหมอลำ มีเเหล่ มีเยอะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเพลงไหนเป็นเพลงไหน เราก็ต้องนั่งฟัง
พอนั่งฟังไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าเพลงลูกทุ่ง คล้ายกับเพลงเอธิโอเปียน ศิลปินหลายๆ คนในเอธิโอเปีย ก็เลยคิด ถ้าเราเปลี่ยนเเค่ภาษา เพราะมันคล้ายๆ กับลูกทุ่งเลย เเต่ว่าหมอลำ วิธีการเล่นพิณ ผมว่ามันมีวิธีการเล่นคล้ายกันกับวิธีเล่นกีตาร์ของมาลี ไม่ได้เล่นเป็น riff หรือว่า chord เเต่อัดเมโลดี้อย่างเดียวเลย เหมือน Ali Farka Toure เหมือนหลายๆ คน
เเล้วทำไมมันไม่มีมุมมองที่คนเค้ามองอย่างนี้ เหมือนกับเราบ้าง ผมไม่เชื่อว่าคนไทย 60 สิบล้านคน จะมีผมคิดเเบบนี้คนเดียว ผมไม่เชื่อ ถ้าพูดว่าผมมีความคิดเเบบนี้คนเดียว ผมว่ามันเป็นคำพูดที่อีโก้มาก มันต้องมีคนชอบกับสิ่งที่เราทำบ้างล่ะ เลยเริ่มโปรเจคท์ สุดเเรงม้าขึ้นมา
เเรกๆ มีคนปฏิเสธไหม
มีเยอะเหมือนกัน เพราะก่อนหน้าที่ผมกลับเมืองไทย ผมเล่นที่ Notting Hill Carnival ทุกปี ตั้งเเต่ปี 2004 ถึง 2007 เล่นอยู่ในยุโรป ปาร์ตี้ประจำอยู่เเล้ว คือบ้านผมอยู่ Portobello ถนนบ้านผม เขาใช้จอดห้องน้ำสาธารณะ ดังนั้น Notting Hill Carnival จะเป็นอะไรที่เเบบเราจะไม่อยู่บ้านกัน เพราะมันเหม็นมาก เราไปตามปาร์ตี้ เเล้วตอนนั้นผมยังไม่ได้เล่นเพลงไทยเยอะ ใส่แอฟริกัน ใส่เร้กเก้ คนก็โอเคตอบรับดี
พอกลับมาเมืองไทย ตอนทำโปรเจ็คนี้ เอ๊ะ! ทำไมตอนนั้นมีคนจ่ายค่าตัวเรา มีคนจ้าง เเต่พอกลับมาถึงปุ๊บ ผมอยู่นิ่งๆ มาเกือบปี ทำไมเราไม่มีงาน ตอนปี 2007 ขนาดเราเปิดให้ฟรี จะไม่คิดเงิน ก็ยังไม่มีคนจ้าง เลยพิจารณาตัวเอง ผมคิดว่าเราหยุดวิ่งหางานก่อน เมืองไทยดีสำหรับผม คือที่อังกฤษมันมีอะไรให้ดูเยอะ ให้เสพเยอะมากในเรื่องของดนตรี ในเรื่องของ culture ในเรื่องของ art เเต่สิ่งที่มันไม่มีสำหรับเรา คือเวลาที่จะได้ทำงาน เมืองไทยอาจจะไม่มีสิ่งเหล่านั้น เเต่ถ้าเกิดคุณไอเดีย มันจะมี space มันมีเวลา มันมีทุกอย่างให้คุณสามารถทำได้ไปเรื่อยๆ
ผมมองว่าในเมื่อเรามาอยู่เมืองไทยเเล้ว มองในเเง่ดีก็มานั่งทำโปรเจ็คท์นี้ ช่วงนั้นคืออาทิตย์ละ 6 วัน ผมหาแผ่น ไม่ทำอะไรเลย หาแผ่นเสียง นั่งฟังเพลง ตื่นมาตั้งเเต่เช้าจรดนอน พอทำสักพักก็เริ่มคุ้นว่า ค่ายนี้มีศิลปินคนไหน ค่ายนี้มีการปั้มคู่ตอนที่มันเเชร์ label พอหมดเบอร์นี้ไป อ้าว ทำไมเเคตตาล็อกไปอยู่กับค่ายนี้ล่ะ คือมันเริ่มสังเกต กับของที่เราหาได้
หลังจากนั้น พอเริ่มทำงาน เริ่มติดต่อลิขสิทธิ์ หรือว่าจัดเเสดงโชว์ เเล้วได้เจอศิลปินจริงๆ เราก็ถามประวัติ ตอนเเรกไม่ได้คิดว่าจะถามไปเพื่ออะไร เเต่เราอยากรู้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมค่ายไก่คู่ เบอร์ 31 ทำไมแผ่นใหญ่ที่ค่ายไก่คู่เหมือนกัน มันเบอร์ 34 คือมันคือเลขอะไร เราก็สงสัย เราอยากรู้ พอได้เจอ โอเคเค้าก็มองว่านี่มันปีของเค้า เเล้วนี่มันเป็นอีกปีหนึ่งของลูกเค้าเกิด คือมันเป็นเรื่องราวส่วนตัวมากๆ
ผมมองว่าซีนพวกนี้ คนจากมุมนอก จากต่างประเทศมีความสนใจ เพราะเค้าไม่เคยเห็น culture นี้มาก่อน ถึงเมืองไทย มันจะคล้ายๆ กับจาไมกา แต่มันไม่มีทางเหมือนกันหรอก มันมีซีนของมันเอง มันมีความคิดของมันเอง
ลงทุนไปเยอะไหม
มีเงินเก็บกลับมาเท่าไหร่ ก็หมด สมัยก่อน ความรับผิดชอบเราไม่เยอะเท่ากับวันนี้ การทำงานเราเหมือนกับในเชิงดูแล เป็นคนซัพพอร์ตศิลปิน ตอนนั้น เรามีแค่ตัวเราคนเดียว เราก็มองว่าเราทำงานมา เราชอบเพลง เราอยากฟังอยากมีความรู้ตรงนี้ เราก็ทุ่มไป เราเปิดเพลงได้เงินมา เราก็ซื้อแผ่น ซื้อแผ่นมา เราก็มาเปิด วงจรมันก็มีอยู่แค่นั้น (หัวเราะ)
นานแค่ไหนกว่าจะมีการจ้างงานกลับมาในฐานะดีเจ
จริงๆ คือเราเปิดตั้งแต่ 2000 ต้นๆ แล้วตั้งแต่อยู่ที่อังกฤษ แต่ว่าที่เมืองไทยพอกลับมา ปี 2007 มันใช้เวลาสักปีนึงมั้งครับ แต่พอปีแรกเริ่มมีคนมาบุ๊คกิ้งแล้ว แต่ว่าไม่ได้บุ๊คให้เปิดเพลงไทย ก็ยังให้เปิดแบบ Soul ; Funk เปิดแบบ Disco เปิดแอฟฟริกัน เปิดแนวอื่นๆ อยู่ พอทำมาได้ปีนึง ผมเริ่มรู้สึกว่า ในงานนึงเรารับได้ แต่ในการเปิดเพลงที่เราไม่ได้ proudly presdent ขนาดนั้น ผมว่าหรือว่าเราเมาหมัดหรือเปล่าวะ เราพักก่อนดีไหม พักรับงาน จนกว่าเราพร้อม ผมก็หยุดรับงานทุกอย่าง เพราะผมมองว่า ถ้าเกิดเราอธิบายให้คนอื่นฟัง แล้วเค้าไม่เข้าใจกับเรา เราแสดงให้เขาเห็นดีกว่า
คือผมเป็นคนที่คิดเยอะ บางทีอาจจะบ่นมากไป แต่ผมมองว่า การที่ผมบ่นมากนี่ มันเป็นนิสัยที่ไม่ดี ดังนั้น เราต้องทำอะไรสักอย่างให้มันเปลี่ยน ผมเลยมาเริ่มจัดงานปาร์ตี้เราเองดีกว่า ในเมื่อเราเป็นคนจัดงานเอง เราเป็นคนคุม music direction เราคุมทุกอย่าง
เหมือนกับว่าเราต้องสร้างงานเอง?
ใช่ คือถ้าเกิดคนที่จ้างงานเค้าไม่เข้าใจสิ่งที่เราจะทำ เราก็ไม่ต้องให้เค้าจ้าง เราสร้างขึ้นมาเองเลย แล้วพอสร้างขึ้นมาปุ๊บ มันเริ่มเวิร์ค
ตอนแรกผมไม่ได้อยากทำค่ายนะ คือผมเคยทำค่าย เคยเป็นพนักงานในค่ายเพลงที่อังกฤษ แต่เราก็ไม่เคยคิดว่า เราอยากจะเปิดค่ายเอง แต่ตอนนั้นที่ผมกลับมา ผมก็เจอคนหลายคนมากขึ้น เจอคนที่เค้าเก็บแผ่นเสียงเยอะ ผมเจอคนที่มีไอเดีย ผมว่าน่าจะที่จะทำได้
ผมมองว่า แผ่น(เสียงเพลง)ไทย บางทีบางแผ่นราคาค่อนข้างจะสูง บางทีผมว่ามันสูงเว่อร์ ซึ่งผมมองว่า เพลงพวกนี้ จริง ๆ มันไม่ได้ถูกทำมาให้คนรวยฟัง คนสมัยก่อนฟังกันไม่ได้ เค้าไม่มีตังค์ซื้อแผ่น เค้ายังต้องทำเป็นแผ่นเจ็ดนิ้วสำหรับตู้แผ่นเสียง พอราคามันปั่นกันเอง ซึ่งผมมองว่าใครจะทำยังไง มันก็เป็นการหาเลี้ยงชีพของแต่ละคน แต่กับตัวผมเอง ขายแพง มันไม่มีคนซื้อ ขนาดราคาบางที re-issue (ผลิตใหม่) มา 2-3 พัน (บาท) คุณซื้อแผ่นออริจินัลเพลงแจ๊ส เพลงที่คุณอยากได้ มันไม่ดีกว่าหรอ ผมเป็นผู้บริโภคมาก่อน มันไม่น่าขนาดนั้นนะ พอทำมาสักพัก ผมก็รู้สึกว่า มันเก็บให้กับกลุ่มเฉพาะ กลุ่มคนมีตังค์ในการฟังหรือเปล่า เราเลยเริ่มโปรเจ็คท์ งั้นไม่มีใครทำ เราเองแล้วกัน เลยเริ่มโปรเจ็คที่ว่าทำ re-issue เพื่อที่ว่าคนสามารถ afford ซื้อได้มากขึ้น
หลายคนสงสัยพื้นเพ คุณเป็นคนอีสาน?
ไม่ใช่ครับ คือจริงๆ เป็นคนกรุงเทพเลย ก่อนหน้านี้ ผมไปเรียนที่ออสเตรเลีย ที่บ้านส่งไป แล้วก็ไปอยู่อังกฤษ หลังจากนั้น ผมมองว่าผมก็ไม่ใช่คนแอฟริกัน แต่ก่อนนี่ผมอินกับเพลงแอฟริกันมาก เราชอบ เพราะมันอาจจะเป็นบางเรื่องที่เข้าโสตประสาท แล้วเราอยากรู้ เราอยากเต้นกับมัน เราฟังแล้วเราสนุก เช่นเดียวกันกับหมอลำ สำหรับผม ก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้รู้จักคนอีสานเยอะหรอก ผมไม่ได้มีประสบการณ์ว่าจะทำเป็นอีสาน แต่พอได้ยินเพลงพวกนี้แล้ว เราอยากไปเห็น เราอยากเดินทางไปอยู่จุดนั้น แล้วมันมีเพลงไม่กี่แนวในชีวิตผมที่เข้ามาทำให้รู้สึกอยากไปที่นี่มากขนาดนั้น อีสานเป็นหนึ่งในนั้น
พอฟังหมอลำฟัง เพลงอีสานแล้ว มันรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่มีความจริงใจ ไม่มีการปั้นแต่งเยอะ มันพูดเกี่ยวกับธรรมชาติ เกี่ยวกับชีวิต เครื่องดนตรี สมมติทางของพิณ มันเป็นไลน์ที่ธรรมชาติมาก ผมฟังแล้วสามารถรู้สึกได้ แล้วเพลงมันเหมือนมีการร้อง คือตอนแรกผมฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ว่าอารมณ์ที่ได้จากมัน เราชอบมาก
แล้วพื้นฐานด้านการทำธุรกิจ ?
ผมเป็นคนไม่ชอบทำด้านนี้เลย พูดตรงๆ ว่า มันไม่มีใครดูเเลธุรกิจของคนไหน ได้ดีเท่ากับเจ้าของ เพราะว่ามันจะมองทุกรายละเอียด ว่าอันนี้เสร็จหรือยัง อันนี้เป็นยังไง พอมาทำตรงนี้ ผมก็มองว่าผมอาจจะทำงานไม่เป็นระบบหน่อย ทำงานไม่ค่อยเคลียร์ เเต่ถ้าเราทำ พอเกิดปัญหาปุ๊บเราก็มองว่า เราไม่อยากให้ปัญหานี้มันเกิดขึ้นมาอีก เราก็ต้องพัฒนาการทำงานของเราไปเรื่อยๆ คือจริงๆ ผมเรียนจบมาทางด้านเเฟชั่นโปรโมชั่น ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพลงเลย เเต่ข้อดีของการจบตรงนี้มา คือเรารู้เรื่องการโปรโมท
จึงทำมิวสิคโปรโมชั่นได้?
ใช่ คือทำตั้งเเต่อาร์ตเวิร์คทุกอย่าง ที่ค่ายออก คือผมทำเอง ดังนั้น ตั้งแต่เรื่องอาร์ตเวิร์คยันเรื่องติดต่อ ยันส่งเข้าร้านค้า การผลิต และตอนแรกที่เรายังไม่มีวง ดีเจ เราก็ทำมิกซ์ของเราขึ้นมาเอง คือทุกโพรเซส เราทำเองทุกอย่าง บางทีไปส่งของ เราก็ต้องไปเอง ทำตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ลงรายละเอียดค่อนข้างจะบ้าคลั่งมาก พอทำแบบนี้ไปสักพัก เราก็เรียนรู้ว่าบางอย่างเราต้องปล่อยวาง บางอย่างเราต้องก้าวไปข้างหน้าให้ได้มากขึ้น แล้วอาจจะเป็นเรื่องของโชค เรื่องของโอกาสที่เราได้อยู่ในต่างประเทศมาก่อน ได้มีคอนเน็คชั่นกับร้านแผ่นเสียง ค่ายเพลง หรือว่าวงการดนตรีพวกนี้ เรารู้สึกว่าเรามีพวกนี้อยู่นะ เรายังมีช่องทาง หลายอย่างที่เข้ามา มันทำให้เราสามารถรันค่ายได้ พาวงไปได้
เราพูดถึงการเอาเพลงไทยไปโกอินเตอร์ พูดกันมา 20 ปีแล้วแต่ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม จนกระทั่งเกิดกระแสหมอลำตอนนี้ มองเรื่องนี้อย่างไร
ผมมองว่า มันหลายๆ อย่าง ตัววงมันก็มีสิ่งสำคัญ ตั้งแต่เรื่องของเครื่องดนตรีที่แตกต่าง แนวเพลงที่แตกต่าง การประยุกต์ของใหม่เข้ามาที่กำลังพอเหมาะ ไม่ฟิวชั่นจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน มันเป็นเรื่องของโปรโมชั่น มันคือเรื่องของคอนเน็คชั่น เรื่องของซีนที่เราไม่ได้มาทำวงปุ๊บไปได้ เพราะวงอย่างเดียว
คือเรามีการทำงาน 5 ปีก่อนหน้านั้น คือผมไปดีเจทัวร์ยุโรปทุกปีอยู่แล้ว ตั้งแต่ ปี 2007 แต่ว่าพอถามว่าคุ้มมั้ย บางงานมันก็ไม่คุ้ม แต่เราอยากไปสนุก เราก็ทำไป แต่ว่าพอแล้วเราก็ได้เจอคนมากขึ้น ได้เปิดเพลงแนวอื่นๆ ให้คนเค้าเสพกันมากขึ้น มีการทำ compilation อย่างที่บอก มีการร่วมโปรเจ็คท์กับคนโน้นคนนี้ที มันเหมือนกับเป็นการเก็บเกี่ยวโปรไฟล์ไปเรื่อยๆ ในรอบ 5 ปี พอเก็บเกี่ยวได้ถึงจุดหนึ่ง พอมีวงขึ้นมา แล้วด้วยคอนเซ็ปท์ที่แตกต่างของวง มาบวกกับของเดิมที่มีอยู่แล้ว มันก็รันไปได้เร็วขึ้น
แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะ lastlong ได้นานที่สุด คือผมเป็นคนที่ไม่ได้มองอวยตัวเองเท่าไหร่ แต่พยายามมองหาข้อผิดพลาด ว่าเราผิดพลาดอย่างไร ตรงนี้ถ้าเกิดเราเป็นผู้เสพ เราจะบ่นว่าอย่างไรบ้าง คือบางทีผมก็ไปคิดแทนคนอื่น คิดเยอะ ถ้าเกิดเราทำตรงนี้ เค้าก็อาจจะด่าเรานะเพราะว่าถ้าเป็นเรา เราคงบ่น ดังนั้น เราต้องทำอะไรที่ตัวเราเอง บ่นตัวเองไม่ได้ มันก็เลยเริ่มโปรเจ็คท์ และตอนนี้พอมันอยู่ตัวแล้ว ไม่ได้หมายความว่า มันจะอยู่ตลอดไป ดังนั้น เราจะทำให้วงlastlong ได้ ก็ต้องมีไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา
ตอนนี้ก็เริ่มดูโปรเจ็คท์อัลบั้มที่สอง ต้อง develop มากกว่าอันแรก แต่อันที่สองต้องการจะปรับเปลี่ยนมัน ให้มันมีความร่วมสมัยมากขึ้น
ถึงตอนนี้ ฝรั่งรู้จักหมอลำบ้างแล้วใช่ไหม
ถ้าบอกว่าฝรั่งทุกคนรู้จักหมอลำ มันก็ไม่ใช่ แต่ว่ากลุ่มคนฟังดนตรีในยุโรป อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ที่ฟังดีเจ ฟังดนตรี live หรือว่าฟังดนตรีนอกกระแส กลุ่มคนพวกนี้ จะรู้จักหมอลำแล้ว
แล้วลูกทุ่ง ?
จริงๆ ลูกทุ่งคนก็รู้จักกันเยอะเหมือนกัน แต่ไม่เท่าหมอลำ เพราะด้วยเครื่องดนตรี เพราะลูกทุ่งบางเพลง มันจะคล้ายกับแนวโน้นแนวนี้ เพราะลูกทุ่งมันกว้างไงครับ ดังนั้น คือลูกทุ่งมันสามารถไปได้หลายทิศทาง แต่หมอลำ มันเป็นเสียงเฉพาะ ซึ่งพอบอกว่าลูกทุ่งปุ๊บ คนอาจจะบอกว่า Thai Folk Music แต่หมอลำ เราพยายามไม่อธิบาย หรือตั้งชื่อ molam เป็นภาษาอังกฤษ เราต้องการให้คนเรียกว่า หมอลำ เหมือนตอนแรกโปรเจ็คท์ คนเรียกว่า Thai Funk เรียกว่าแนวเพลงไทย 70 แต่ว่าพอตอนหลัง เราเริ่มมาทำในเว็บไซต์ ในเวลาที่เราโปรโมทไป เราอาจจะใส่ว่า หมอลำ ลูกทุ่ง แหล่ คนอาจจะถามว่าแหล่คืออะไร คุณก็ลองไปเสิร์ชดูสิ
บางทีเราไม่ได้หยิบยื่นให้เค้าหมดเลย เพราะเรามองว่าการจับยื่นให้เค้าหมด พอเคี้ยวมันกินง่ายเกินไป เค้าอาจจะไม่อยากกินก็ได้ แต่บางที เสน่ห์มันอยู่ที่การหา มันอยู่ที่การค้น เค้าไม่รู้จักคำว่าแหล่ เพราะว่าเราไม่ได้บอกไว้ พอเค้าไปค้นหามัน ก็เหมือนได้ค้นพบด้วยตัวของเค้าเอง เค้าจะมีเรื่องราวที่มันติดตัว
เหมือนเราตอนนั้นที่ไม่รู้ว่าหมอลำมันเป็นอย่างไร แล้วพอเราค้นหาเจอ เราก็ appreciate มากเลย การที่เราลำบากกว่าที่จะได้ของมาสักชิ้นนึง อาจจะเห็นคุณค่าต่างกัน