กอด ‘ฮอกไกโด’ ไว้..ไม่ให้หนาว

กอด ‘ฮอกไกโด’ ไว้..ไม่ให้หนาว

ชีพจรลงเท้าสู่ดินแดนทางเหนือที่มีประชากรอาศัยอยู่เบาบาง แต่มนต์เสน่ห์ของดินแดนอาทิตย์อุทัยไม่แปรเปลี่ยน

เสียงกลองไทโกะดังกระหึ่มไปทั่วพื้นที่การจัดเลี้ยงที่มีขึ้นเพื่อต้อนรับคณะของชาวเรา พลังอันหนักแน่นมั่นคงของจังหวะที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตลอดทั้งวันหายไปราวปลิดทิ้ง


ณ เวลานั้น เป็นช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวพอดี เมือง เอซาชิ (Esashi) ถูกห่มคลุมด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ ตามสภาพภูมิประเทศซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเกาะฮอกไกโด พื้นที่จรดทะเลโอคอท์สค์ (Okhotsk Sea) แต่บรรยากาศภายในของ Utanobori Green Park Hotel รีสอร์ทกลางป่าแห่งนี้ กลับเต็มไปด้วยสีสันและความอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์


ทั้งกลิ่นหอมของอาหาร เครื่องแต่งกายพื้นบ้านที่เหล่า ‘ไกจิน’ (gaijin - ชาวต่างชาติ) จากเมืองไทยพากันสวมใส่ ร่วมด้วยรอยยิ้มของเจ้าบ้าน และธรรมเนียมการต้อนรับที่พาเราย้อนกลับไปหาคุณค่าแห่งอดีต ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ในกระแสสำนึกว่า นี่คืออีกค่ำคืนหนึ่งแห่งความประทับใจ ที่เราจะจดจำมันได้ตลอดไป


บนเวที คณะกลองไทโกะ มิใช่คณะผู้เฒ่าเหมือนการแสดงท้องถิ่นหลายแห่งในบ้านเรา ทว่า ประกอบด้วยคนหนุ่มสาวทั้งสิ้น มือกลองที่โดดเด่นเป็นสง่า คือสาวร่างใหญ่บึกบึน ยืนทะมึนอยู่เบื้องหน้า ส่วนแถวหลังดูเป็นน้องน้อยของทีมลงมาสักหน่อย สังเกตพบว่า มีไกจินคอเคซอยด์อีก 1 คนรวมอยู่ด้วย ทราบในภายหลังว่าเป็นฝรั่งที่มาฝังตัว เพื่อฝึกหัดการตีกลองไทโกะมาหลายเดือนแล้ว


เนื่องจาก เอซาชิ เป็นเมืองเล็กๆ ที่แทบจะไม่ปรากฏชื่อบนแผนที่ด้วยซ้ำ ดังนั้น เมื่อมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยือน โรงแรมเล็กๆ ที่บริหารจัดการโดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งนี้ เลยต้องไหว้วานคณะกลองไทโกะอาสาสมัครจากเมืองใกล้ๆ ชื่อว่า ฮามาทอนเบ็ทสึ (Hamatonbetsu) มาทำหน้าที่ให้ความบันเทิง พวกเขาต้องนั่งรถบรรทุกมาพร้อมกับกลอง 5 ใบใหญ่ๆ ใช้เวลา 40 นาทีฝ่าลมหนาวกว่าจะมาถึง


ความประทับใจในค่ำคืนนั้นมิได้มีเพียงกลองไทโกะเท่านั้น แต่เพื่อตอกย้ำความเป็นฮอกไกโด (Hokkaido) ให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ในเรื่องความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอาหารการกิน เรายังมีโอกาสได้ชมการสาธิตการแล่ปลาแซลมอนสดๆ ตัวขนาดบิ๊กเบิ้มจากประมงหมู่บ้าน พร้อมๆ กับเรียนรู้การหัดทำข้าวปั้นหน้าปลาแซลมอนที่เพิ่งแล่เสร็จสดๆ ก่อนจะลงเอยด้วยมื้อค่ำอาหารทะเลแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นปูขน , หอยเป๋าฮื้อ (Abalone) , เห็ดป่า , สาเก และอื่นๆ อีกมากมาย


หลังจากนั้น ทุกคนผ่อนคลายสุดๆ ด้วยการลงแช่น้ำแร่ออนเซน (onsen) เป็นการปิดท้ายก่อนเข้านอน

-1-


ก่อนจะเดินทางมาถึง “ฮอกไกโด” เป็นครั้งแรก ผมจินตนาการมาตลอดว่า เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเกาะฮอนชู จะเป็นเช่นใด เพราะแม้จะมีโอกาสไปเยือนญี่ปุ่นบ่อยครั้ง แต่ชีวิตและการงานทั้งหมด ดูจะวนเวียนอยู่ภายในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นสุดๆ อย่าง โตเกียว หรือ โอซากา เสียมากกว่า


อย่าว่าแต่คนไทยเลย แม้กระทั่งสำหรับคนญี่ปุ่นเอง ฮอกไกโด เพิ่งมาสานสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้นในช่วงกว่า 100 ปีหลังเท่านั้น เพราะเดิมที ดินแดนแห่งนี้ ที่มีชื่อเรียกตามภาษา 'ไอนุ' ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมว่า 'เอโซะ' (Ezo) แต่ด้วยการแผ่อิทธิพลทางการเมืองจากรัฐบาลส่วนกลาง ทำให้สามารถผนวกเกาะแห่งนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ


'เอโซะ' จึงเปลี่ยนชื่อเป็น 'ฮอกไกโด' ในที่สุด


ด้วยพื้นที่ 8 หมื่นกว่าตารางกิโลเมตร (ประมาณ 4 เท่ากว่าๆ ของจังหวัดนครราชสีมา) แต่มีประชากรอาศัยอยู่เบาบางเพียง 5 ล้านคน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ยกเว้นในบริเวณที่ราบลุ่ม จะเป็นเมืองที่มีคนพำนักอาศัย พื้นที่อื่นๆ ยังประกอบด้วยทุ่งหญ้า ผืนนา ผืนป่า ทะเลสาบ ปากปล่องภูเขาไฟ แถมยังถูกโอบล้อมด้วยทะเลทุกด้าน จึงนับว่าเป็นดินแดนที่มีทิวทัศน์สวยงามตระการตายิ่งนัก


วันแรก หลังจากแลนดิ้งด้วยเครื่องการบินไทย ที่สนามบินชิโตเสะแห่งใหม่ (New Chitose Airport) ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเกาะฮอกไกโด ไม่รอช้าเรามุ่งหน้าลงใต้โดยใช้เส้นทาง Hokkaido Express Way สู่เมืองในหุบเขาที่มีชื่อว่า โนโบริเบทสึ (Noboribetsu) ซึ่งว่ากันว่าที่นี่เป็นแหล่งน้ำพุร้อน (Hot Spring) หรือ 'ออนเซน' ที่มีชื่อเสียงในด้านการรักษาโรคผิวหนัง เพราะมีสัดส่วนของกำมะถันค่อนข้างมาก


อันที่จริง โนโบริเบทสึ ถูกค้นพบโดยชาวไอนุมานานแล้ว และด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อน จึงได้กลายเป็นจุดแข็งสำคัญ ทำให้มีการพัฒนาโรงแรมและเรียวกังมากมายบนพื้นที่นี้ โดยผู้ประกอบหรือเจ้าของ ยังเป็นคนในพื้นที่หรือเป็นหน่วยงานท้องถิ่น ลักษณะคล้ายๆ อบต. บ้านเรา เพียงแต่อาจมอบหมายให้บริษัทที่มีความชำนาญ มาบริหารจัดการ และมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน นั่นย่อมดีกว่า ยุติธรรมกว่ากรณีของเขาใหญ่บ้านเราเป็นไหนๆ


ไฮไลท์ของที่นี่ หนีไม่พ้นเส้นทางเยี่ยมชมธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติ 'ชิคอทสึ โทยา' ที่มีชื่อว่า 'จิโกกุดานิ' หรือ 'หุบผานรก' นั่นเอง เพราะมีน้ำพุร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน กลายเป็นบ่อโคลนเดือดที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และกระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่นี้


เสร็จจากแวะหย่อนขาสัมผัสน้ำพุร้อนท่ามกลางอากาศหนาวจนจุใจแล้ว ชาวเรามุ่งหน้าสู่เมืองโอตารุ โดยจัดการมื้อเที่ยงแบบง่ายๆ ที่ร้านอาหารระหว่างทาง ด้วยเมนูพื้นเมืองของชาวประมงฮอกไกโด เป็นปลาแซลมอนย่าง ที่มีชื่อว่า Chan Chan Yaki
ถึงตอนนี้ รสชาติของความเป็นฮอกไกโดกำซาบซ่านอยู่ในชั้นบรรยากาศ

-2-


แม้ ฮอกไกโด จะเพิ่งถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นเพียง 100 กว่าปี แต่ด้วยนโยบายทันสมัย (Modernization) ของรัฐบาลญี่ปุ่น ทำให้พื้นที่หลายแห่งหลายเมือง ได้รับการพัฒนาตามแนวทางตะวันตก ด้วยการสนับสนุนจากชาติยุโรปและอเมริกาในสมัยนั้น


โอตารุ (Otaru) เป็นตัวอย่างชั้นดีในเรื่องนี้ ในฐานะเมืองท่า ที่ยังรักษาร่องรอยความรุ่งเรืองของอดีตเอาไว้ได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะโกดังเก่าๆ ทั้งหลาย ที่ปรับปรุงใหม่ให้เป็นร้านค้าและร้านอาหารสุดชีค ซึ่งตั้งอยู่เรียงรายข้าง “คลองสายหลัก” ของเมือง ความยาวราวๆ สัก 1 กิโลเมตรเศษ
ไม่น่าเชื่อแค่โกดังเก่าๆ ริมคลองโอตารุ ยังมิวายมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเที่ยวชมอยู่มิได้ขาด ขณะที่พื้นที่ประวัติศาสตร์หลายๆ แห่งของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีอายุและความเป็นมายาวนานกว่ามาก กลับถูกทำลายลง ในนามของคำว่า “พัฒนา” เสียมากต่อมาก จนแทบไม่มีอะไรเหลือในวันนี้


ระหว่างเดินทอดน่อง สูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ในเมือง คุณจะสัมผัสได้ถึงลักษณะตรงกันข้ามกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เพราะบ้านเรือนของโอตารุออกแบบในแนวทางตะวันตก หลายอาคารก่อด้วยอิฐ และประดับด้วยกระจกสี แต่ถึงกระนั้นดูเหมือนเข็มนาฬิกาของที่นี่ ค่อนข้างเดินไปอย่างเชื่องช้ามากทีเดียว ราวกับหลุดออกมาจากกาลเวลาปัจจุบัน


ชื่อ Wall Street of the East เป็นคำที่เรียกขานโอตารุ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นสักเท่าไหร่ เพราะจำได้ว่า ตอนไปเดินย่านวอลล์สตรีทในนิวยอร์กซิติ มันเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง เป็นบรรยากาศของการเดินทางไปในป่าคอนกรีตที่ผู้คนหายใจแต่เรื่องเงิน เงิน และ เงิน แต่โอตารุให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่นกว่านั้น แม้อากาศจะหนาวเหน็บและอุณหภูมิติดลบก็เถอะ


ใครๆ ที่ไปเยือนโอตารุ มักไม่พลาดคำแนะนำ ให้ไปเยี่ยมชม 'พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี' หรือ Music Box Museum ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก็คือร้านกิฟท์ช็อพดีๆ นี่แหละ แต่ที่นี่มีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบ 100 ปี ตั้งแต่ตัวอาคาร ไปจนถึงของสะสม ความยิ่งใหญ่ของที่นี่ ไม่เพียงเรื่องราวเก่าแก่ แต่ยังหมายถึง collection ของกล่องดนตรีในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นแล้วก็อดชื่นชมในความมุ่งมั่นของการสะสมสิ่งเล็กๆ ที่มีคุณค่าทางจิตใจนี้ไม่ได้


ว่าแล้วหลายๆ คนก็ตัดสินใจควักกระเป๋า ซื้อกล่องดนตรีเป็นของฝากเสียเลย

-3-


หากคุณคุ้นเคยกับทัศนียภาพของเกาะฮอนชู จนกระทั่งว่า ขึ้นรถทีไรเป็นได้หลับ ขอบอกว่า เส้นทางขึ้นสู่ทางเหนือของเกาะฮอกไกโด โดยมุ่งหน้าสู่เมือง อาซาฮิคาวา (Asahikawa) ให้ความแปลกตา น่าสนใจ จนไม่ต่างจากสารกระตุ้นคาแฟอีนเท่าใดนัก


ระหว่างทาง คณะชาวเราจัดการกับมื้อเที่ยงเลิศรส ใครไม่รับประทานเนื้อ อาจจะเดินทางไม่ถึงฮอกไกโดก็ว่าได้ ในเมื่อที่นี่เป็นแหล่งปศุสัตว์ผลิตวัวเนื้อวากิวแสนนุ่ม รสชาติดี นอกเหนือจากนั้น ยังมีเนื้อแกะหมัก ที่เรียกกันอย่างสนิทสนมว่า “เจงกิสข่าน” รวมถึงเนื้อหมูดำคุโรบุตะ ที่เพิ่มพลังให้แก่การเดินทางไกล


จาก อาซาฮิคาวา เราใช้เส้นทางไฮเวย์สาย 40 มุ่งหน้าขึ้นเหนือเพื่อไปให้ถึงเมืองเล็กๆ ทางเหนือสุด ชื่อ เอซาชิ ดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้นแล้ว โดยผ่านเมืองเล็กๆ ชื่อ เคนบูชิ (Kenbuchi) ที่นี่ มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์น่ารักๆ ชื่อ อัลปากา (Alpaga) เป็นไฮไลท์ที่ทำให้คณะของเราต้องหยุดแวะเยี่ยมชมสักหน่อย


จังหวะดีทีเดียว เมื่อวันนั้น ซูมิโอ ฮายาซากะ (Sumio Hayasaka) นายกเทศมนตรีของเมืองเคนบูชิ แวะมาทักทายนักท่องเที่ยวชาวไทยกันถึงฟาร์ม Viva Alpaga แถมยังมีการเลี้ยงน้ำชาอาหารว่างสุดอร่อย พร้อมกับบอกเล่าถึงการนำ อัลปากา สัตว์น่ารัก พันธุ์เฉพาะจากลาตินอเมริกา (มีแพร่หลายในพื้นที่ของ เปรู , ทางตอนเหนือของ โบลิเวีย และ เอควาดอร์) มาเลี้ยงที่นี่ เพื่อโปรโมทการเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเด็กๆ พร้อมกับการทดลองพัฒนาสายพันธุ์ ด้วยเหตุเพราะที่เมืองๆ นี้ มีสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่ใกล้เคียงกัน บนความสูง 3,500-5,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล


ท่านนายกเทศมนตรียังหยอดคำหวานตามประสานักการเมืองด้วยว่า ไม่แน่นัก ในอนาคตอาจจะมีโอกาสทำโครงการความร่วมมือกับทางประเทศไทยต่อไป

-4-


ระหว่างมุ่งสู่หุบผาสูงในอุทยานแห่งชาติ ไดเซ็ทสึซัง (Daisetsuzan) ความบันเทิงท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ นอกจากการช็อปปิ้งในร้านเสื้อผ้าราคาถูก แต่คุณภาพดีแล้ว ตัวเลือกที่สะกิดใจกว่านั้นคือ ไอซ์ พาวิลเลียน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ เมือง คามิคาวา (Kamikawa)


ไอซ์ พาวิลเลียน เป็นถ้ำน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส แต่ถ้ายังหนาวเย็นไม่พอ คุณสามารถกดปุ่มพัดลมเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งที่อุณหภูมิติดลบ 41 องศาเซลเซียส ซึ่งดูๆ แล้ว ที่นี่ได้แปรสภาพเป็นสถานที่ทดสอบจิตใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ทุกเพศและทุกวัย โดยพิจารณาได้จากภาพถ่ายความห้าวหาญที่ปรากฏเบื้องนอก ซึ่งบ่งบอกและยืนยันว่า พวกเขาและเธอได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งทางจิตใจและร่างกายมาแล้ว


นอกจากความหนาวยะเยือก สำหรับคนชอบของสวยๆ งาม ๆ แล้ว ที่นี่ยังมีการจัดแสดงหินย้อยที่เกิดจากน้ำแข็งที่จับตัวกันเป็นเวลานานกว่า 10 ปี พร้อมประดับไฟหลากสี ทำให้เกิดภาพที่สวยงามประทับใจไม่น้อยเช่นกัน


จุดท่องเที่ยวสำคัญของย่านนี้ คือ ช่องเขาในอุทยานแห่งชาติ ไดเซ็ทสึซัง ที่มีชื่อเรียกว่า เทนนินเคียว (Tenninkyo) หรือ 'ทางผ่านของนางฟ้า' เป็นช่องเขาที่มีความงามแปลกตา เป็นหน้าผาสูงชัน และมีธารน้ำไหลผ่าน ยิ่งกว่านั้น ภายในช่องเขายังมีแหล่งน้ำพุร้อน ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาโรคอีกด้วย


ถัดจากไอซ์พาวิลเลียนไม่ไกลนัก เป้าหมายของเรามุ่งสู่โรงแรมที่พัก โซอุนคาคุ แกรนด์ โฮเต็ล (Sounkaku Grand Hotel) ในอาณาบริเวณอุทยานแห่งชาติ ไดเซ็ทสึซัง ในเมือง โซอุนเคียว (Sounkyo) ที่ซึ่งมีบริการน้ำแร่ออนเซนที่มีชื่อเสียง จนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นล้านคนในแต่ละปี


ตกค่ำอุณหภูมิภายนอกลดต่ำลงเรื่อยๆ จนติดลบ รุ่งเช้า เมื่อก้าวออกมาจากห้องพักอันแสนอบอุ่นของโรงแรมแห่งนี้ ผมพบน้ำขวดที่ทิ้งไว้ในรถโดยสารแปรสภาพเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว


ในอ้อมกอดของความหนาวเย็น มนุษย์กลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่



-5-


ดูเหมือนการเยือนฮอกไกโดครั้งแรกของผม ชีพจรจะลงเท้าตลอดเวลา เราใช้เวลาส่วนใหญ่บนรถยนต์เพื่อให้ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเกาะๆ นี้ ให้มากที่สุด


นอกจากการเดินทางแล้ว ตามปรัชญากองทัพเดินได้ด้วยท้อง อาหารดีๆ พร้อมกับเครื่องดื่มอย่างสาเก จึงเป็นยาพลังที่ทำให้เรามีพลังฝ่าความเหน็บหนาวออกไปเผชิญโลก ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล บนภูเขา ใกล้ทะเล ก่อนจะมาลงเอยที่เมืองหลวงของเกาะฮอกไกโด นั่นคือ ซัปโปโร (Sapporo)


ซัปโปโร เป็นเมืองใหญ่อันดับ 5 ของญี่ปุ่น แต่ถ้าโดยเปรียบเทียบ ซัปโปโร คือหมายเลข 1 ของฮอกไกโด ในแง่ของความทันสมัยและความสะดวกสบาย ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ทั้งการขนส่ง การศึกษา การค้า และความบันเทิง


ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา นโยบายการท่องเที่ยวที่มีวิสัยทัศน์ ยังสนับสนุนให้ซัปโปโร เป็นเมืองแห่งดนตรีแจ๊สอีกด้วย โดยมีเทศกาลแจ๊สที่จัดต่อเนื่องกันมาทุกๆ ปี ในช่วงฤดูร้อน


สำหรับสาวๆ ที่หลงทางมาเที่ยวฮอกไกโด ที่นี่คือเมืองๆ เดียว ที่คุณพอจะมองหาสินค้าแบรนด์เนมได้บ้าง หลังจากที่เกิดอาการผิดหวังมาตลอดเส้นทาง


ถึงกระนั้น ซัปโปโร ก็ยังเป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรไม่ถึง 2 ล้านคน ผนวกกับผังเมืองที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ ลักษณะเป็นตารางสี่เหลี่ยม เมืองเล็กๆ เมืองนี้ จึงเหมาะอย่างมาก ที่เราจะเดินทอดน่อง ชมบรรยากาศ (หากมีเวลาเพียงพอ) ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะโอโดริ หอนาฬิกา ที่ทำการรัฐบาลฃเหกก่า หรือจะเป็นจุดชมวิวกลางเมือง อย่าง ทีวีทาวเวอร์ ก็ตาม


แต่เมื่อมาถึงซัปโปโรในนาทีสุดท้าย การเดินทอดน่องกลับไม่ใช่ตัวเลือกแรก ๆ เมื่อนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พึงใจจะใช้เวลากับการช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าที่มีฮีทเตอร์อุ่นๆ


พวกเขาปล่อยให้นักเดินทางบางคนเดินตากลมหนาว ชมทัศนียภาพของเมืองไปตามลำพัง