Parasyte Part Iระหว่างบรรทัดของการฆ่า

 Parasyte Part Iระหว่างบรรทัดของการฆ่า

มนุษย์เป็นผู้ล่าจนเคยตัว พอมาเจอกับการถูกล่าเสียเองจากปรสิต ที่อ้างสิทธิความชอบธรรมแบบเดียวกับมนุษย์ นั่นคือ ทำไปเพราะความอยู่รอด

 

 

          ทันทีที่รับรู้มาว่า "Parasyte" หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า "ปรสิต" ซึ่งเป็นมังงะหรือหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นผลงานของ Hitoshi Iwaaki ที่คลาสสิกจนขึ้นหิ้ง ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์

  

          ผม, ในฐานะแฟนพันธุ์แท้ของมังงะชุดนี้ ย่อมรู้สึกตื่นเต้นและนำไปสู่การเปรียบเทียบว่า "ปรสิต" เวอร์ชั่นภาพยนตร์ ผลงานกำกับของ Takashi Yamazaki ที่เคยฝากผลงานเป็นหนังภาคต่อฟีลกู้ด อย่าง Always : Sunset on the Third Street จะสามารถทำให้ “ปรสิต” หม่นถึงใจแบบที่มังงะเคยทำได้หรือไม่?

            Parasyte เวอร์ชั่นมังงะถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1988 และจบในปี ค.ศ.1999 พอถูกนำมาสร้างเป็นหนังภาคแรกในปี 2014 หลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่ในหนังจริงต้องถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น อย่างเช่น ในเวอร์ชั่นมังงะ ตัวละครใช้การสื่อสารผ่านโทรศัพท์หยอดเหรียญและโทรศัพท์บ้าน แต่พอมาเป็นภาพยนตร์ในยุคนี้ เปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟนกันแล้ว

            แต่แม้สิ่งของรอบข้างจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ความโดดเด่นในประเด็นที่ปรากฏในหนังกลับโดดเด่นข้ามกาลเวลา ปรสิตได้ตั้งคำถามต่อสมดุลของโลก กับปัญหาที่ว่า ทุกวันนี้การบริโภคของมนุษย์ ทำให้สมดุลของโลกสูญเสียไปกี่เท่าไหร่? คำถามนี้ยิ่งดูจะเข้มข้นมากขึ้นในยุคนี้ที่การผลิตมันอยู่ในอัตราที่สูงมากกว่ายุคไหน ๆ

          “ถ้าประชากรมนุษย์ลดลงครึ่งหนึ่ง ป่าไม้ที่ถูกเผาทำลายจะลดลงครึ่งหนึ่งด้วยไหม? ถ้าประชากรมนุษย์ลดลง 99% มันจะช่วยลดมลพิษบนโลกได้ 99% ด้วยหรือเปล่า?”

            ประโยคเปิดของหนัง มาพร้อมกับก้อนกลมแปลกประหลาดที่มีสัณฐานคล้ายสปอร์แต่มีขนาดเท่ากับลูกเทนนิสซึ่งลอยมากับน้ำ ในมังงะอธิบายว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่มาจากนอกโลก แล้วสักพักมีตัวอ่อนที่ฟักตัวออกมาจากวัตถุประหลาดนี้ นี่คือ “ปรสิต” ที่ต้องการฝังตัวในส่วนหัวของมนุษย์

            ชินอิจิ อิซูมิ วัยรุ่นระดับมัธยมฯ ปลาย ก็เป็นอีกคนที่ตัวปรสิตพยายามจะเข้ามาฝังในร่าง แต่ไม่สามารถไปถึงสมอง จึงต้องฟักตัวที่แขนขวาแทน ปรสิตตัวนี้จึงไม่สามารถยึดครองสมองอันเป็นระบบการสั่งการต่าง ๆ ของมนุษย์ได้สำเร็จ

            ปรสิตตัวนี้มีชื่อว่า “มิกิ” ซึ่งอาศัยเลือดของชินอิจิเพื่อการมีชีวิตอยู่ เหมือนความสัมพันธ์ทางธรรมชาติระหว่างปรสิตกับโฮสต์ (Host) ผู้ให้ที่อยู่อาศัย แต่ในขณะที่คนอีกหลายคนที่ถูกปรสิตฟักตัวที่สมอง กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ และกินมนุษย์เป็นอาหาร

            ในเบื้องต้นของ Parasyte ทั้งเวอร์ชั่นมังงะและภาพยนตร์ เทน้ำหนักไปให้ความน่ากลัวของตัวปรสิต ที่สำหรับมนุษย์ มันเปรียบเสมือนฆาตกรที่โหดเหี้ยม เพราะการกินเหยื่อของปรสิตนั้นเหลือซากศพที่ชวนสยองขวัญให้ได้แหวะอยู่เสมอ

            แต่เมื่อหนังได้เล่าไปถึงจุดหนึ่ง ภาพยนตร์ Parasyte พยายามผลักดันเรื่องให้นำไปสู่วาทะโต้แย้งที่ว่า การฆ่าเช่นนี้ เป็นเรื่องต้องห้ามบนฐานของศีลธรรมในแบบที่มนุษย์ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะหนังพยายามชี้ให้เห็นว่า การกินของปรสิต ที่เลือกกินมนุษย์นั้น มันกินเพื่อความอยู่รอดเช่นเดียวกันกับที่มนุษย์ต้องกินหมูเห็ดเป็ดไก่เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ในฐานะผู้อยู่ปลายสุดของห่วงโซ่ของการบริโภค มนุษย์เสียอีกที่บริโภคเกินความจำเป็น มนุษย์เป็น ผู้ล่า จนเคยตัว พอมาเจอกับการถูกล่าเสียเองจากปรสิต ที่อ้างสิทธิความชอบธรรมแบบเดียวกับมนุษย์ นั่นคือ ทำไปเพราะความอยู่รอด

          วาทะโต้แย้งระหว่าง ศีลธรรมแบบมนุษย์ กับการเอาตัวรอด (และเพื่อสมดุลของโลกที่ถูกมนุษย์ทำลายมาเยอะแล้ว) ทำให้หนังมีเสน่ห์ที่น่าติดตาม เพราะมาตรฐานศีลธรรมของมนุษย์ และปรสิตนั้น เป็นคนละแบบกัน

            ​ที่น่าพิจารณาก็คือ “การฆ่า” ในสังคมมนุษย์ที่เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันเป็นเรื่องที่มนุษย์ในสังคมการเมืองพึงหลีกเลี่ยง แม้แต่ โทมัส ฮอบส์ นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษยังมองว่า สาเหตุที่มนุษย์ร่วมกลุ่มกัน สร้างสัญญาประชาคม (Social Contract) เพื่อเป็นข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะธรรมชาติ อันเป็นภาวะสงครามที่นำไปสู่ความตายอันรุนแรง (Violent Dead)

            ​ในสภาวะ “ปกติ” การฆ่าจึงถือว่าเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” เพราะการฆ่า คือการทำลายข้อตกลงร่วมกันที่มีในสังคมการเมือง แต่ที่น่าคิดก็คือ แล้วสภาวะ “ไม่ปกติ” ล่ะ การฆ่านั้น ยังถือว่าเป็นภาวะที่ “ปกติ” ไหม

            ​ในซีรีส์อเมริกันอย่าง The Walking Dead ที่พูดถึงโลกที่ล่มสลายจากภัยคุกคามจากซอมบี้ กลุ่มตัวละครหลักที่ดำเนินเรื่องอยู่ จะมีคำถาม 3 คำถาม สำหรับคนนอก เพื่อพิสูจน์ว่า คน ๆ นั้นเป็น “คนดี” หรือไม่ ด้วยคำถาม 3 คำถามก็คือ 1.ฆ่าซอมบี้มากี่ตัว? 2.ฆ่าคนมากี่คน? 3.ทำไมถึงฆ่า?

            ​หากจะ “อ่าน” ทั้ง 3 คำถาม ในข้างต้น สิ่งที่เห็นอย่างหนึ่งก็คือ ในภาวะที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นใน The Walking Dead กลุ่มตัวละครนี้ยอมรับได้กับการฆ่า เพราะในภาวะที่ไร้ซึ่งกฎหมายที่จะยึดถือกันแล้ว การฆ่าอาจจะเป็นความชั่วร้ายที่ยอมรับกันได้ อันนำมาสู่การอ้างความชอบธรรมในคำถามข้อที่ 3 ว่าทำไมถึงฆ่า?

            ​การตั้งคำถามว่า ทำไมถึงฆ่า มันทำให้การฆ่านั้นกลายเป็นเรื่องที่ปกติ ทั้งสังคมที่ปกติและไม่ปกติ เพราะมันมีเหตุผลมากมายที่จะเลือกใช้บริการตัวเลือกที่เรียกว่า “การฆ่า” อย่างเช่น เพื่อป้องกันตัว หรือการบังคับโทษทางกฎหมายในเรื่องของโทษประหาร ซึ่งแน่นอนว่า สังคมที่พัฒนาหลักมนุษยธรรมมาถึงขีดสุดแล้ว การฆ่าในลักษณะของโทษประหาร ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่ปกติ” อยู่ดี

            ​กลับไปสู่ภาพยนตร์ Parasyte เมื่อพิจารณาในเรื่อง “การฆ่า” หากตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงฆ่า?” เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างเหตุผลที่ปรสิตฆ่ามนุษย์ และกับการที่มนุษย์ฆ่าปรสิต ได้อย่างน่าสนใจ เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้ว การฆ่าของปรสิต แม้ว่าจะน่ากลัว แต่ฆ่าบนพื้นฐานของความอยู่รอด

            ​มนุษย์ก็เช่นกัน การฆ่าปรสิตนั้นก็เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ แม้ว่าปรสิตจะมีความสามารถที่เหนือกว่ามนุษย์ แต่ด้วยจำนวนที่มากมายของมนุษย์ ทำให้กลุ่มปรสิตที่รวมตัวกันรู้ดีว่า ไม่อาจจะเอาชนะมนุษย์ได้ จึงต้องพยายามปรับตัวให้มีความเป็น “มนุษย์” มากที่สุด เช่นการกินเนื้อสัตว์อื่นแทนการกินมนุษย์

            ​แต่ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากเรื่องความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ความชอบธรรมต่อการฆ่าของมนุษย์นั่นก็คือ การสร้างความรู้สึกเป็นอื่น ความรู้สึกแยกเขา แยกเราโดยแยกมนุษย์ออกจากปรสิต

            ​ฉากสำคัญหนึ่งในเรื่อง นั่นคือ ฉากการเผชิญหน้ากัน 2 ครั้งระหว่างชินอิจิและปรสิตที่ฆ่าและยึดร่างแม่ของเขา ในครั้งแรก ชินอิจิไม่กล้าต่อสู้กับปรสิตในร่างของแม่ เพราะคิดว่านั่นคือแม่ของเขาจริง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พอเจอกันครั้งที่สอง ชินอิจิกลับเลือกที่จะต่อสู้กับปรสิตตัวนี้ โดยไม่มีความรู้สึกที่ว่านี่คือแม่ของเขา ซึ่งปมนี้มันถูกปูมาอย่างแข็งแรงว่า ชินอิจิเลือกที่จะต่อสู้กับปรสิตตัวอื่นซึ่งเป็นการนำเข้าสู่ ParasytePart 2 (2015) ได้อย่างน่าติดตาม

            ​เพราะแม้ว่า ชินอิจิจะมองว่า ปรสิต เป็นศัตรูมากน้อยอย่างไร แต่อย่าลืมว่า ตัวตนของชินอิจิ ส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาก็คือ มิกิ ซึ่งเป็นปรสิต นั่นทำให้ตัวของชินอิจิมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะในขณะที่ชินอิจิรู้สึกโกรธที่ปรสิตฆ่าแม่ของเขา แต่ตัวมิกิเองในฐานะเพื่อนร่วมต่อสู้ กลับเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับปรสิตคนอื่น

            (วิธีคิดเรื่องแบ่งเขาแบ่งเรา ในสังคมการเมืองของมนุษย์ด้วยกันเอง ที่เห็นได้ชัดก็อย่างเช่น การกวาดล้างชาวยิวของนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือการเพิกเฉยต่อชะตามกรรมของชาวโรฮิงญา ในฐานะ "คนไร้รัฐ" ที่ถูกผลักดันให้เป็นอื่นในรัฐที่ตนเข้าไปอยู่อาศัย)

            ​“การฆ่า” ของชินอิจิ จึงนำไปสู่ข้อขบคิดถกเถียงกันในเรื่อง “ศีลธรรมเชิงซ้อน” ระหว่างโลกของชินอิจิ และโลกของมิกิ เอง อย่างมีมิติ

          ​นอกเหนือจาก Parasyte จะนำไปสู่คำถามต่อความสมดุลของโลกที่ถูกสั่นคลอนจากการบริโภคนิยมของมนุษย์ มุมมองต่อ “การฆ่า” ในเรื่องนี้ ยังน่าสนใจเสียจนไม่อยากมองผ่านมันไปเฉย ๆ