The Tribe รักร้าวไร้เสียง

ในฐานะคนที่ไม่ได้ยินเสียงอะไร ฉันอยากทำสิ่งที่นักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้หูหนวกเป็นใบ้ ทำไม่ได้
“มันไม่ใช่หนังที่คุณจะดูแล้วรู้สึกมีความสุข มันรุนแรงมากและอาจรบกวนจิตใจของบางคน” ยานา โนวิโควา บอกผ่านภาษามือ “แต่ฉันคิดว่าจุดสูงสุดของเรื่องเกี่ยวกับความรัก”
ความรักท่ามกลางความรุนแรงสุดขั้วในโรงเรียนไร้เสียงพูด The Tribe ผลงานของนักเขียนและผู้กำกับชาวยูเครน ไมโรสลาฟ สลาบอชไพสกี ผู้เคยมีผลงานส่วนใหญ่เป็นหนังสั้นและรายการโทรทัศน์ในยูเครน
สลาบอชไพสกี บอกว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังอย่าง ‘Dogville’ ‘Bully’ ‘Elephant’ และ Irreversible
ฉากหลังของเรื่องเป็นโรงเรียนสำหรับคนหูหนวก เซอร์เกย์ นักเรียนใหม่ รับบทโดย กริกอลี ฟีเซงโก ได้รับการชักชวนให้เข้ากลุ่ม Tribe ที่ที่เขาต้องมีส่วนในการขโมย เป็นแมงดาหาแขกให้เพื่อนนักเรียนหญิง ข่มขู่ และทำเรื่องเลวร้ายรายวัน ขณะเดียวกันเขากลับตกหลุมรักเพื่อนร่วมชั้น อันนา รับบทโดย โนวิโควา แต่เธอทำงานเป็นโสเภณี แถมยังเป็นแฟนของหัวหน้ากลุ่มอีกด้วย
ยานา โนวิโควา เป็นนักแสดงสาววัย 21 ปีที่เกิดมาหูหนวก เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงนำของ The Tribe หนังที่แทบจะเป็นหนังเงียบ ด้วยทีมนักแสดงหูหนวกผู้สื่อสารผ่านภาษามือและท่าทาง หนังดำเนินไปโดยไม่มีกระทั่งคำบรรยายใต้ภาพ
การให้สัมภาษณ์ของเธอต้องใช้ล่ามสองคน ในการแปลภาษามือเป็นภาษายูเครน และจากภาษาที่ผู้ฟังในที่แห่งนั้นเข้าใจได้ สำหรับ โนวิโควา กระบวนการร่วมมือแบบนี้สร้างความน่าสนใจให้กับโปรเจ็คต์ที่มีความคิดสร้างสรรค์
“ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเดี่ยวหรือจิตใจที่แน่วแน่ก็ย่อมมีขีดจำกัด” โนวิโควา บอกผ่านภาษามือ “แต่เมื่อมีคนสองคนหรือมากกว่านั้นนำเอาไอเดียและผลงานแตกต่างหลากหลายเข้ามาในโปรเจ็คต์ มันก็กลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากขึ้น”
The Tribe เข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีที่แล้ว คว้ารางวัล Critics’ Week Grand Prix มาได้ และทำให้ โนวิโควา ได้รู้จักชื่อเสียงในแบบที่เธอได้แต่คิดถึงมันเท่านั้น
“โดยเฉพาะกับฉัน เพราะฉันเป็นพวกที่มักจะชอบหนัง หนังสือ หรือศิลปะ” เธอบอก “พวกเขาแสดงให้ฉันเห็นโลกที่คนๆ หนึ่งไม่ต้องฟังหรือพูดเพื่อให้สนุกและมีส่วนร่วม จากนั้นฉันก็ได้ดู Blue is the Warmest Color และตัดสินใจว่าฉันต้องเป็นนักแสดงหนังให้ได้”
โนวิโควา เข้าร่วมโรงเรียนพิเศษสำหรับนักเรียนหูหนวกในยูเครน แต่ไม่เคยตระหนักว่าอาการหูหนวกหรืออาการเป็นใบ้จะเป็นข้อเสีย
เธออธิบายว่า ก่อนหน้านี้ หนังหลายเรื่องที่ออกฉายก็เป็นหนังเงียบ โดยอ้างอิงถึง ชาร์ลี แชปลิน ว่าเป็น “หนึ่งในคนแรกๆ ที่ได้ยินแต่สามารถพรรณนาโลกใบนี้ได้โดยปราศจากเสียง”
ในการให้สัมภาษณ์ทุกครั้ง โนวิโควา และผู้แปลภาษามือจะถ่ายทอดคำพูดที่เปิดเผยและตรงไปตรงมา เพื่อให้ตรงกับความคิดที่ต้องการถ่ายทอด
“ฉันอ่านหนังสือที่ แชปลิน มีเพื่อนหูหนวก และเขาปวารณาตัวเป็นศิษย์ของเพื่อนเพื่อให้ได้การเคลื่อนไหวร่างกายและการแสดงออกทางสีหน้า ดังนั้น มันคือความร่วมมือ - เช่นเดียวกับใน The Tribe”
“ในโลกไร้เสียง มันสำคัญมากกับการพูดอย่างที่คุณหมายถึงจริงๆ เพราะเราอาจไม่มีโอกาสได้แก้ไขให้ถูกต้อง เราเรียนรู้ที่จะไม่เสียเวลา เพื่อให้ได้ความสัมพันธ์และความร่วมมือที่มีค่าจริงๆ เช่นเดียวกับการขัดเกลาทักษะการสื่อสารของเรา” เธออธิบาย
สลาบอชไพสกี ไม่ใช้ดนตรีประกอบและไม่มีคำบรรยาย (ต่างจากหนังของ แชปลิน) ใน The Tribe มีเพียงบทสนทนาไร้เสียงที่เงียบอย่างเหลือเชื่อ บวกกับเสียงทั่วๆ ไปที่เราได้ยินในทุกวันอย่าง เสียงฝีเท้าบนทางเดิน เครื่องมือขุดเจาะที่ถูกลากเข้าไปในลานจอดรถ เสียงประตูเปิดปิด หรือเสียงเครื่องยนต์ในตู้เย็นของซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งยังมีเสียงเล่นหมากรุกและเสียงเดาะลิ้นของตัวละคร
“ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้ทำงานร่วมกับ ไมโรสลาฟ” เธอบอก “ถ้าไม่ใช่เพราะหนังเรื่องนี้ บางทีฉันอาจจะไม่สามารถมาไกลขนาดนี้ได้”
ก่อนการคัดเลือกนักแสดงจะเริ่ม เธอไม่เคยประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญากับบริษัทภาพยนตร์สำหรับคนหูหนวกในเมืองเคียฟ
“แต่จากนั้นฉันก็ได้พบกับ The Tribe โดยบังเอิญ และมันเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลย”
ทีแรก โนวิโควา มึนงงกับฉากเซ็กส์ในบทหนัง แต่หลังจากได้ดูหนังบางเรื่องที่ สลาบอชไพสกี แนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Blue is the Warmest Color และ 9 Songs เธอก็เปลี่ยนใจ เธอเลิกกับแฟนที่คัดค้านการรับบทนี้หัวชนฝา แล้วเข้ายิมเพื่อฟิตกล้ามเนื้อตัวเอง
“ฉันรู้ว่าถ้าไม่เลิกกับเขาและพยายามทำอะไรกับชีวิต มันก็คงสนุกและมีความสุขได้ แต่ฉันเลือกจะทำอย่างนี้ เพราะมันเป็นชีวิตและความฝันของฉัน ฉันต้องการสิ่งนี้มากกว่าชีวิตกับแฟนหนุ่ม ในฐานะคนที่ไม่ได้ยินเสียงอะไร ฉันอยากทำสิ่งที่นักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่ไม่ได้หูหนวกเป็นใบ้ทำไม่ได้”
การเป็นคนหูหนวก - เธอเพิ่มเติม - ไม่ใช่ข้อด้อยเสมอไป
“ฉันต้องใช้ทั้งร่างกายเพื่อถ่ายทอดตัวตน และในชั้นเรียนการแสดง ฉันเรียนรู้ว่านั่นคือสิ่งที่นักแสดงหญิงต้องฝึกฝน ในแง่นั้น บางทีฉันอาจได้เปรียบมากกว่าคนอื่นๆ ก็เป็นได้”