ย้อนอดีต “ทวาย” มุกเม็ดใหม่แห่งอันดามัน

นอกจากเรื่องท่าเรือน้ำลึก คนไทยแทบจะไม่รู้จักทวายในแง่มุมสังคมและวัฒนธรรม
“ทวาย” (Dawei) หรือที่อออกเสียงว่า “ทะแว - ดะแว” ในสำเนียงพม่า ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำทวายด้านเหนือ บนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตรงข้ามจังหวัดกาญจนบุรี เป็นเมืองท่าปากแม่น้ำ อยู่ห่างจากทะเลอันดามันราว 30 กิโลเมตร
ด้วยความเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ เต็มไปด้วยทรัพยากรไม่ว่าจะเป็น ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ อัญมณี ทรัพยากรทางทะเล แหล่งปลูกพืชเศรษกิจ และแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามทั้งแม่น้ำ ทะเล แมกไม้ ป่าเขา
ทำให้ชื่อของทวาย ได้รับการกล่าวขานในฐานะเมือง “ดาวรุ่ง” ที่เตรียมเปิดพื้นที่รองรับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ อาทิ ท่าเรือน้ำลึก และเขตนิคมอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน ทวายยังเป็น “เมืองแห่งยอดเจดีย์” ที่รุ่มรวยด้วยศาสนา พิธีกรรม และความหลากลายของผู้คนต่างชาติพันธุ์ คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ท่ามกลางกระแสการพัฒนาที่เชี่ยวกราก คนทวายจะทำอย่างไรเพื่อรักษาสมดุลระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจกับการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิต
รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ มองว่า คนไทยยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่รู้จักทวาย หรือรู้ก็เฉพาะในมิติเศรษฐกิจการเมือง แต่แทบจะไม่รู้จักทวายในแง่สังคมวัฒนธรรม
“คนทวายคือใครเราแทบจะไม่มีความรู้เลย ตื่นกันในเรื่องเป็นท่าเรือน้ำลึก แย่งกันเข้าไปลงทุน โดยไม่ได้รู้ว่าคน บ้านเมืองของทวายเป็นอย่างไร รู้แต่จะลงทุนหารายได้ทางเศรษฐกิจ ที่จริงทวายสัมพันธ์กับเราอย่างใกล้ชิด ภาคใต้ของพม่ามีความสัมพันธ์กับเรามานาน อย่างทวายก็มีความสำคัญตั้งแต่ในสมัยอยุธยา สมัยสมเด็จพระนเรศวรเป็นต้นมา ทวายเคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม เป็นเมืองท่าสำคัญ จนกระทั่งตอนหลังพม่าขยายอำนาจขึ้นมาในราชวงศ์คองบอง ก็พยายามจะแยกทวาย มะริด ตะนาวศรี ออกจากเราเพื่อการค้า ทำให้มีการขัดแย้งกัน และอาจจะเป็นสาเหตุอันหนึ่งของสงครามไทยพม่าก็ได้”
หากดูจากตำแหน่งที่ตั้งของทวาย ซึ่งตั้งอยู่ใกล้อ่าวเมาะตะมะ พื้นที่เป็นอ่าวเวิ้งใหญ่กินพื้นที่กว้างมาก เป็นพื้นที่ที่มีเมืองท่าสินค้า 3 จุด คือทวายซึ่งอยู่ตอนบน ตรงกลางคือมะริด และด้านล่างคือตะนาวศรี มีอ่าวใหญ่ให้เรือเข้ามาจอด เป็นแหล่งท่าเรือการค้าทางทะเลที่เก่าที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11-12 เป็นอย่างน้อย
การค้าข้ามคาบสมุทรในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 การเดินทางจากฝั่งอินเดียไปทางจีน ต้องมาถึงบริเวณนี้แล้วขนถ่ายสินค้าข้ามส่วนที่เป็นแผ่นดิน เพราะไม่มีเรือเดินตลอด จนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ 13 จึงมีเรือที่ข้ามทะเลใหญ่ แล่นมาตามอ่าวมะละกา อ้อมปลายแหลมมลายู ทวายจึงเป็นเมืองท่าสำคัญที่สุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
“เราพยายามจะศึกษาเส้นทางข้ามคาบสมุทรสมัยสุวรรณภูมิ เอกสารของคนลังกาพูดว่าพระเจ้าอโศกส่งศาสนทูตคือพระโสณะเถระและพระอุตระเถระมายังสุวรรณภูมิ มายังไง การเดินทางสมัยนั้นคงออก แถวแคว้นโอริสสา หรือปากน้ำคงคา เลาะชายทะเล ผ่านมอญ สะเทิม เมาะตะมะ ลงมาทวาย จากนั้นจึงขึ้นบกข้ามตะนาวศรี น่าจะเป็นไปได้ว่าเมื่อครั้งส่งสมณทูตมายังสุวรรณภูมิไม่ได้หยุดแค่ฝั่งอันดามัน ต้องข้ามเขาตะนาวศรีมาฝั่งอ่าวไทยหรือทะเลจีน เราจึงพบเมืองโบราณรุ่นแรกๆ ที่เป็นเมืองท่า เช่นเมืองอู่ทอง นครปฐม คูบัว ศรีมหาโพธิ มีการค้นพบลูกปัดชนิดต่างๆ”
“สิ่งที่เราจะต้องรู้ตอนนี้คือ คนทวายคือใคร คนทวายสัมพันธ์กับอยุธยา กับกรุงเทพมานานแล้ว เป็นส่วนหนึ่งในสยาม แต่งงานปะปนกัน ด้านที่ผมคิดว่าเราไม่รู้จัก คือคนทวายปัจจุบันเป็นอย่างไร เมืองทวายเป็นเมืองที่เหมือนกับกรุงเทพฯ สมัย 50-60 ปีที่ผ่านมา เมืองไม่แออัด บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาด ดูแล้วประทับใจ ชุมชนในชนบทมีวัดเป็นศูนย์กลาง เช้าไปวัด ไปตลาด บ้านของคนทวายเป็นเรือนเสาสูง มีใต้ถุน เป็นบ้านชาวสวน มีวิถีชีวิตสงบ เป็นสังคมพุทธที่มีความเชื่อมั่น มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี เป็นเมืองที่นับถือพุทธศาสนาที่มั่นคงและดีรองจากศรีลังกา นี่คือสิ่งที่คนไทยปัจจุบันควรจะเรียนรู้ ว่าสังคมเขาเป็นอย่างไร ถ้าจะมีการท่องเที่ยวควรจะเข้าไปดูในแง่ของสังคมวัฒนธรรม แล้วกลับมาดูว่าจุดอ่อนของเราคืออะไร ทำไมเราไม่มีความสุข นี่คือสิ่งที่คนไทยต้องทบทวน”
ด้าน ซอ ทูระ นักวิชาการชาวเมียนมาร์ และเป็นคนทวายโดยกำเนิด ผู้ก่อตั้งสมาคมการศึกษาทวาย กล่าวว่า ปัจจุบันทวายอยู่ในความสนใจจากนานาชาติ ซึ่งอาจเป็นเพราะทวายมีภูมิยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจ มีทะเลที่เชื่อมต่อกับแผ่นดิน มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์มากๆ แต่นอกจากนั้น ทวายยังมีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับโลก
“ทวาย” หรือที่ชาวเมียนมาร์เรียกว่า “เตอแวะ” อยู่ในมณฑลตะนาวศรี หรือทะนินตะญี ทางตะวันตกของไทย จากทวายตอนบนเป็นรัฐมอญ ทางตะวันออกติดไทย ตะวันตกติดทะเลอันดามัน ห่างจากส่วนกลางของพม่าประมาณ 1,000 ไมล์ มีประชากรในทวายประมาณ 8 แสน ส่วนใหญ่เป็นชาวประมง ชาวสวน คนทวายจะอยู่อาศัยบริเวณแม่น้ำทวาย มีภาษาทวายที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองต่างจากภาษาพม่า มีเพลงพื้นบ้าน มีการร่ายรำแบบทวายที่ปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว
ในทวายมีการบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ตามเอกสารระบุว่าในพื้นที่ทวายเคยมีเมืองโบราณ 16 เมือง แต่จากการศึกษาจากแผนที่ทางอากาศพบเมืองโบราณ 4 เมือง เมืองโบราณที่ใหญ่ที่สุดคือเมืองตะกะระ (ภาษาบาลี) หรือมิวฮอง (ภาษาพม่า) แปลว่าเมืองท่าเรือ ที่มีความเก่าแก่นับพันปี ที่ผ่านมามีการขุดค้นทางโบราณคดีโดยรัฐบาล แต่ก็เป็นการทำเพียงระยะเวลาสั้นๆ จากขุดค้นที่ค้นพบที่เมืองตะกะระ มีการพบวัตถุโบราณสำคัญจากที่นี่มากมาย มีการค้นพบพระพิมพ์จำนวนมาก รวมถึงโบราณวัตถุยุคพุกามตอนต้น รูปเคารพในศาสนาฮินดูจำนวนมาก
“ทวายคือทวาย เรามีวัฒนธรรมที่แลกเปลี่ยนระหว่างเรากับมอญ จีน อินเดีย แต่ก็มีความเป็นทวาย มีประเพณีวัฒนธรรมของตนเอง เวลาเจอคนพม่าบอกว่าทวายเป็นรัฐหนึ่งของเขา เจอคนมอญก็บอกว่าทวายเป็นส่วนหนึ่งของมอญ เจอคนอารกันหรือยะไข่ก็บอกว่าทวายเป็นส่วนหนึ่งของเขา ผมว่าคนไทยก็อาจจะคิดอย่างนี้เหมือนกันว่าทวายเป็นคนไทย สรุปแล้วเราเป็นใครกันแน่”
ที่ผ่านมาประมาณปี 2011 เขาได้เริ่มเขียนรายงานเรื่องความสำคัญของเมืองโบราณในพื้นที่ทวายส่งให้รัฐบาลกลาง โดยเสนอต่อรัฐบาลพม่าว่า ควรจะปกป้องเมืองโบราณ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากโครงการ จนกระทั่งในปี 2012 รัฐบาลพม่าได้ประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์เมืองโบราณตะกะระ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางของประเทศ แต่สำหรับทวายซึ่งอยู่ไกลจากศูนย์กลาง ทำให้ไม่ได้รับความสนใจ ที่สำคัญไม่มีหน่วยงานเกี่ยวกับศิลปะหรือโบราณคดีประจำในพื้นที่ นอกจากนี้ ในระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมามีสงครามภายในประเทศทำให้การค้นคว้าหลักฐานทางโบราณคดีไม่ได้รับความสนใจ จนกระทั่งหลายอย่างได้สูญหายไป
ในปีค.ศ.2008 หรือพ.ศ.2551 รัฐบาลพม่าและไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจที่จะเดินหน้าโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ต่อมาในปี 2012 ก็มีการลงนามเพิ่มเติมที่จะศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งสร้างความกังวลกับชาวบ้าน เนื่องจากพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอยู่ห่างจากเมืองเก่าตะกะระเพียง 2 ไมล์
“ก่อนหน้านี้เราปิดประเทศมานาน เราไม่สามารถทำอะไรได้มาก ไม่สามารถจะได้ข้อมูลจากภายนอกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และไม่สามารถจะแชร์อะไรจากภายในอีกด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีโครงการพัฒนาเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่เราพบคือโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เข้ามาเราไม่รู้ข้อมูลเลยว่ามีอะไรบ้าง”
“ที่ผ่านมามีการศึกษาเรื่องทวายน้อยมาก ถ้าจะเข้าไปก็ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลกลาง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนสนใจจะเข้ามาที่ทวายไม่ว่าจะเรื่องการพัฒนา เรื่องการท่องเที่ยว ตอนนี้ทวายมีชื่อเสียงในเรื่องท่าเรือน้ำลึก นักธุรกิจญี่ปุ่นบอกว่าทวายเป็นสวรรค์แห่งสุดท้ายของธุรกิจญี่ปุ่น มีหลายประเทศเข้ามาทวาย นักธุรกิจจากยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี แต่คำถามคือเรามีความพร้อมหรือยังกับการพัฒนาที่เข้ามามาก จนตอนนี้เรารับมือแทบจะไม่ไหวแล้ว”