ลิ้นชักชีวิต 'พิง ลำพระเพลิง'

หลากอารมณ์ หลากความคิด สไตล์ศิลปิน นักคิด นักเขียน ที่มุมมองชวนค้นหา
งานเขียนบท ก็ตอบโจทย์ชีวิตได้หมด จนรู้สึกว่ารักมันจังเลย ซึ่งงานเขียนบท เราทำให้คนอื่นดัง ต่างจากหนังหรือการแสดงข้างถนน ผมภูมิใจที่ได้ทำ แต่ผมโชคดีนะ เวลาละครออนแอร์ ไม่ว่าละครจะออกมาบวกหรือลบ คนดูก็จะด่าคนเขียนบท เออ! ดีจังเลย เขาสนใจเรามากกว่าคนจัดละครซะอีก
เพราะผู้ชายคนนี้อยู่กับความคิด ความฝัน และจินตนาการ เขาจึงเลือกที่จะเป็นนักเขียน ผู้กำกับ นักแสดงหน้าขาว และนักแต่งเพลงในบางคราว ฯลฯ
เขาเป็นคนร่ำรวยอารมณ์ ไม่ใช่แค่อารมณ์ขัน ยังมีอารมณ์เศร้าคลุกเคล้าไปด้วย ดูได้จากชีวิตและเรื่องราวที่เขาเขียน และตอนนี้เขาพูดได้เต็มปากว่า งานเลี้ยงชีวิตหลักๆ คือ เขียนบทละครทีวี มีผลงานออกมาจนนับไม่ถ้วน อาทิ ขุนกระทิง ลูกผู้ชายไม้ตะพด หางเครื่อง ปลื้ม นังเหมียวย้อมสี ฯลฯ
หากพูดถึงงานที่รัก พิง ลำพระเพลิง หรือ ภูพิงค์ พังสอาด บอกว่า ภาพยนตร์ ทั้งเขียน สร้าง กำกับ และแสดง ยังคงความเป็นตัวของตัวเอง เป็นงานที่เติมสีสันให้ชีวิต ไม่ต่างจากสตรีท โชว์
ส่วนงานพูดให้เด็ก เยาวชน พนักงานขายฟัง ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนฮึดสู้ ทั้งเรื่องงานและชีวิต และนั่นทำให้เขาลองทำทอล์คโชว์ เพื่อเช็คเรตติ้งตัวเอง
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในบทสนทนาตรงนี้ คงมีบางมุมที่คุณสัมผัสถึงใจของผู้ชายที่คิดบวก และเป็นนักเรียนรู้ที่ไม่ย่อท้อ....
ช่วงวัยหนึ่ง เขามีหนี้สินรุงรัง จึงขอไปตายเอาดาบหน้า เป็นเด็กเสิร์ฟในอเมริกา พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ก็เรียน(ด้วยตัวเอง)ให้รู้ ไม่ต่างจากการเล่นเปียโน เต้น ละครใบ้ หรือมูฟเม้นท์ให้เหมือนหุ่นกระบอก ในวัย 47-48 และในวัย 50 กว่าๆ เขาอยากทำอะไรบางอย่าง...
ถ้าอย่างนั้น ก็ขอถามคำถามนี้เลย ?
ผมอยากตีลังกาให้ได้ ผมจ้างสตั๊กแมนมาสอน เพราะเวลาผมเล่นสตรีทโชว์ ถ้าผมเล่นเป็นบรูซ ลี จะได้ตีลังกาได้ และคำว่าตีลังกาไม่ใช่แค่ม้วนตัว แต่ต้องตีลังกาโดยไม่ใช้มือ ผมอยากทำให้ได้ มันท้าทาย เป็นสิ่งที่คนอายุ 50 ไม่ควรทำ แต่การแสดงสตรีทโชว์ เป็นสิ่งที่สนุกและผมมีความสุขมากๆ ผมจึงอยากทำ
สำหรับคุณแล้ว สตรีทโชว์เป็นเวทีที่ทำให้คุณได้ฝึกฝนการแสดง ?
เป็นสิ่งที่ผมรัก เพราะผมเคยเห็นคนเล่นละครใบ้แล้วชอบ ก็กลับมาฝึกฝนเอง เอาสีโปสเตอร์ทาหน้า ตอนนั้นไม่รู้ว่า เขาใช้แป้งเยอรมัน เราก็ไม่สนใจ หัดเล่นโดยจำสิ่งที่เห็น ฝึกเอง สมัยนั้นไม่มียูทูบ ผมก็ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อย่างการเคลื่อนไหวโดยใช้ร่างกายแสดงเป็นหุ่นกระบอก ผมดูจากยูทูบ ผมเปรียบเทียบว่า ถ้าใช้ร่างกายเป็นหุ่นกระบอก ต้องเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อผมฝึก แล้วเอาไปแสดง ก็มีหลายคนชอบ ผมเขียนบทเอง เป็นเรื่องของหุ่นกระบอกที่พยายามซ่อมแซมตัวเอง
ผมเล่นประกอบเพลง คนบนฟ้า ที่ผมร้องและเขียนเอง สไตล์เศร้าๆ ประกอบมูฟเม้นท์ ก็ถือว่าคุ้ม ผมใช้เวลาซ้อมหน้ากระจก ซึ่งปัญหาใหญ่ตอนนั้นคือ เราฝึกต้องอายุเยอะแล้ว ตอนนั้น 47-48 ปี ต้องใช้หัวเข่าค่อนข้างเยอะ ตอนนั้นผมซื้อหุ่นกระบอกไว้เต็มบ้าน รู้สึกว่า หุ่นกระบอกเป็นตุ๊กตาเชือกที่ไม่มีอิสระซะเลย แต่เวลาแสดง มันมีความเป็นกวีอยู่ในนั้น ถ้าถามว่าทำไมผมเล่นคนเดียว ตอบตรงๆ เลยนะ ถ้าเล่นกับคนอื่น ผมกลัวไม่เด่น แต่ถ้าตอบอ้อมๆ คือ ผมไม่มีเวลาไปฝึกร่วมกับใคร
จริงๆ แล้วผมเล่นสตรีท โชว์ เหมือนผมทำหนังเลย ผมจะเริ่มจากเสียงหัวเราะจบด้วยความเศร้า เพราะผมรู้สึกว่า ถ้าเล่นข้างถนน แล้วเริ่มต้นด้วยความเศร้า ไม่มีคนดูหรอก เมื่อทำให้คนดูหัวเราะ และเอ็นดูคนเล่น แล้ว เราก็เอาอยู่ บางคนก็โพสต์ว่า ดูแล้ว ร้องไห้เลย
ฝึกเยอะแค่ไหน
ผมต้องฝึกฝนทุกวัน ผมวิ่งทุกวัน ตั้งแต่อายุ 25 ต้องดูแลตัวเองไม่อย่างนั้นเล่นข้างถนนไม่ได้หรอก ใช้พลังเยอะมาก ถ้าผมเอาตัวเองเป็นหุ่นกระบอก ผมต้องฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ ผมย่อ ยก ดึง ดัน ฝึกมาสองปี ไม่อย่างนั้นเล่นไม่ได้หรอก
นอกจากฝึกมูฟเม้นท์แบบหุ่นกระบอก คุณหัดเล่นเปียโนอย่างไร
เปียโนเนี่ย ผมไปเรียนชั่วโมงเดียว จากนั้นผมหาหนังสือมาอ่าน หัดเล่นเองเกือบทุกอย่าง ตอนนั้นผมเรียนรู้แค่ฟังชั่นของเปียโน แล้วก็ไปซื้อเปียโนมือสองมาหัดเล่น ผมรู้สึกว่า เวลาครูสอนจะช้า ผมอยากเล่นเพลงได้เลย ผมก็ฝึกเอง
แล้วงานเขียนบทละครทีวีล่ะ
เมื่อยี่สิบปีก่อน ผมเริ่มจากการเขียนบท จนกระทั่งผู้กำกับและผู้จัดละครเชื่อใจ เพราะชื่อเราจะไม่ทำให้เขาแก้เยอะ หรือเสียเวลา เป็นงานที่สามารถค้ำประกันกู้ธนาคารได้ ต่างจากรายได้อื่นๆ ที่ไม่เสถียรเลย ผมเริ่มจากเขียนหนังสือ แล้วบังเอิญบทละครเรื่องแรกที่เขียนโด่งดัง ซึมน้อยหน่อย กระล่อนมากหน่อย ก็เลยได้เขียนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
ปีหนึ่งผมเขียนบทละครทีวีมากกว่าสองเรื่อง เขียนมาไม่ต่ำกว่า 40 เรื่อง ต่างจากงานภาพยนตร์ ผมจะไม่กำกับสิ่งที่เราไม่อยากทำ ผมจะไม่แก้บทในสิ่งที่เราไม่อยากแก้ ถ้าแก้...ให้เขียนเรื่องใหม่เลยดีกว่า ทำหนังมาสิบปี ผมเพิ่งมีผลงานแค่ห้าเรื่อง หนังที่ทำออกมาไม่ขาดทุน แต่ไม่ตูมตาม เป็นหนังที่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเอง
ถ้าเป็นหนัง พิง ลำพระเพลิง ก็จะมีสไตล์เศร้าๆ ตลกๆ นั่นเป็นตัวคุณหรือ
เราไม่เก่งพอที่จะเล่าเรื่องคนอื่น เวลานำบทไปเสนอหลายๆ แห่ง ก็จะมีคนบอกว่า มีแนวตลาดไหม เราก็บอกว่า เราไม่ได้โตมาแบบนั้น เราไม่กล้าไปเล่าแบบนั้น เราเล่าคงไม่ดีเท่าคนอื่น หลายๆ แห่งก็เลยปฎิเสธ เพราะเวลาเล่าหนังจากปมด้อยตัวเอง เราจะอิงกับตัวละครมากกว่า เราจะรู้ปมด้อยตัวละครว่า เขาต้องการอะไร ถึงทำแบบนั้น คนดูอุตส่าห์ตั้งใจไปดู เราก็ต้องตั้งใจทำ แต่ไม่ใช่ว่า งานเขียนบทไม่ตั้งใจนะครับ มันอยู่ในบ้าน เขาจะดูหรือไม่ดูก็ไม่รู้ แต่การที่คนเข้าไปดูหนัง เพราะเขาอยากดูจริงๆ
หลังจากทำหนังเรื่องแรก ผมรู้สึกว่า อารมณ์เสถียรละ ได้พิสูจน์แล้วว่า เราทำได้ และได้ตอบโจทย์อะไรบางอย่าง เหมือนอีโก้เล็กๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง ได้นั่งไทม์แมชชีนส่วนตัวไปดูเรื่องตัวเอง อะไรที่เราอยากบอก อยากเล่าได้ถูกบันทึกไว้แล้ว อย่างเรื่อง “โคตรรักเอ็งเลย” หลายคนก็ชม เป็นหนังได้เงิน 70-80 ล้านบาท ผมเคยเสนอบทหนังเรื่องนี้ 6-7 แห่ง ผมไม่ยอมแก้บท เนื่องจากเป็นหนังที่เดี๋ยวตลก เดี๋ยวเศร้า กว่าจะได้ทำหนังเรื่องนี้ ก็นานพอควร
เราอยากเล่าแบบนี้ เพราะเราเป็นคนทีเล่นทีจริง ผมเชื่อว่า หนังทุกเรื่องจะมีเรื่องจริงของผู้กำกับทุกคนปนอยู่ เพียงแต่จะเข้มข้นแค่ไหน ก็แค่นั้นเอง และผมเชื่อว่า ผู้กำกับทุกคนก็อยากทำหนังที่เป็นตัวเขา ผมทำหนังที่เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะผมไม่เดือดร้อนค่าใช้จ่าย และผมมีงานเขียนบทละครเป็นงานเลี้ยงชีวิต แต่งานหนังเป็นงานเลี้ยงจิตวิญญาณ ตอนนี้ผมเขียนบทไว้ 4-5 เรื่อง ไปเสนอที่ไหนก็ไม่ผ่าน เขาให้แก้ ก็ไม่ยอมแก้ นาทีนี้คนลงทุนอยากได้หนังวัยรุ่น แต่เราทำไม่เป็นจริงๆ ไม่ได้หยิ่งนะ ซึ่งต่างจากบทละคร ใครจ้างให้เขียนอะไร ทำได้หมด จะแนวผี ตลก วัยรุ่น เพราะเรารู้เยอะ ทั้งกำกับ และเขียนหนังสือ
บทละครทีวีประเภทไหนที่คุณจะไม่เขียนเลย
ไม่มีครับ เพราะเราผูกเรื่องขึ้นมาเอง ก็ต้องแก้เอง ผมถูกแปะจากคนจัดว่า ถ้าเป็นละครตลกๆ ต้องให้พิงเขียน
ถ้าอย่างนั้น คุณมองโลกแบบไหน
เป็นคนโชคดี ที่ไม่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ง่ายๆ เลย ล่าสุดผมก้มไปเก็บของ แล้วโดนกิ่งไม้แทงเปลือกตา เลือดอาบเลย วูบแรกที่ผมคิด ก็คือ “โชคดีที่ไม่เข้าตา” ผมจะไม่คิดว่า “โชคร้ายไม่น่าโดนเลย” หรือผมขับรถชนผมก็จะคิดว่า “โชคดีไม่ชนคน” ผมไม่คิดว่า “โชคร้าย” แต่จะคิดว่าโชคดี แล้วตามด้วยสิ่งที่เลวร้ายกว่า เป็นไปโดยอัตโนมัติ ก็เลยประยุกต์กับการเขียนบทละคร เวลาตัวละครเจออะไรร้ายๆ เราก็บิดให้เจอสิ่งที่ดีๆ ซะ อย่างตัวละครเหยียบเปลือกกล้วยล้ม แล้วหัวแตก เราก็ให้เลือดพุ่ง แล้วเดินผิวปากร้องเพลงออกไป
ถ้าใครดูหนังผม จะรู้เลยว่า ผู้กำกับคนนี้มองโลกร้ายแน่ๆ แต่พยายามบิดให้ขำซะ ถ้าถามว่า ตอนเด็กๆอารมณ์ขันไหม ตอบได้เลยว่าไม่ใช่ แต่ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ เพราะเวลาเราตลก คนจะหันมามอง ตอนเด็กๆ ไม่มีคนสนใจ พ่อแม่แยกกันอยู่ ตัวก็เตี้ย หน้าตาก็ไม่ดี แต่พอเราหัวเราะ ทำขำๆ คนก็จะมองเรา ยกตัวอย่างตอนเด็กๆ เข้าแถวร้องเพลง คนอื่นไชโย เราก็รอให้คนอื่นไชโยไปก่อน แล้วค่อยไชโย คนก็จะขำเรา เราก็เลยทำตัวเรียกร้องความสนใจเรื่อยมา ตอบโจทย์ชีวิตทุกอย่าง ผมทำหนังก็เพื่อเรียกร้องความสนใจ ผมไม่ใช่คนรักหนังเลย ผมทำสิ่งต่างๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่พอทำไปนานๆ ก็เลยกลายเป็นนิสัย โดยไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้วผมมองโลกในแง่บวกครับ เมื่อก่อนผมอาจมองโลกในแง่ร้ายบ้าง ผมไม่ค่อยยืดหยุ่นกับชีวิต แต่ตอนนี้เขียนบทไปแล้ว มีบริการหลังการขาย ใครให้แก้ส่วนไหน ผมทำให้หมดครับ อย่างผมเขียนเรื่อง ลูกผู้ชายไม้ตะพด ซึ่งตอนนั้นพระเอกของเรื่อง เจออุบัติเหตุ แสดงต่อไม่ได้ ผมก็ตามแก้บทให้ ผมคิดว่า เบื้องบนให้ผมมาทุกอย่างแล้ว ผมไม่ต้องมองโลกในแง่ร้ายแล้ว
ตอนนี้ยังมีนิสัยเรียกร้องความสนใจอีกไหม
ก็ยังทำอยู่ อย่างการแสดงข้างถนน ก็เพื่อให้คนสนใจ แต่ตอนนี้เราได้รับการยอมรับ เสถียรมากขึ้น อีกอย่างผมก็อยากให้คนเห็นความสามารถ งานเขียนบท ก็ตอบโจทย์ชีวิตได้หมด จนรู้สึกว่ารักมันจังเลย ซึ่งงานเขียนบท เราทำให้คนอื่นดัง ต่างจากหนังหรือการแสดงข้างถนน ผมภูมิใจที่ได้ทำ แต่ผมโชคดีนะ เวลาละครออนแอร์ ไม่ว่าละครจะออกมาบวกหรือลบ คนดูก็จะด่าคนเขียนบท เออ! ดีจังเลย เขาสนใจเรามากกว่าคนจัดละครซะอีก อย่างคู่กรรม ผมไปเติมบทของทมยันตี นักวิจารณ์ก็เตือนผม
อะไรคือสไตล์พิง ลำพระเพลิง
ผมแอบหยอดความเป็นตัวเองลงไปตลอดเวลา เวลาตัวละครเศร้าๆ ก็ขำๆ ได้ ซึ่งมาจากก้อนเดียวในหัวใจคือ การเรียกร้องความสนใจ ผมไม่ต้องมาบอกว่า ทำเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ต้องบอกว่าทำเพื่อครอบครัว ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ คนเขียนหนังสือก็ช่างคิดอยู่แล้ว ผมเชื่อว่า คนช่างคิดช่างฝันมีอยู่เต็มแผ่นดิน ผมโชคดีที่มีเวทีให้ระบายออกและมีคนเห็น บางคนอ่านหนังสือผมแล้วรู้สึกดี ก็นึกว่า น่าเอาเป็นแฟน อาจไม่รู้ว่า ด้านมืดผมก็มี ไม่อย่างนั้นแฟนผมคงไม่ตาย อย่างบางคนฟังเพลงที่ผมร้อง ดูงานที่ผมทำ เขาอาจจะรู้สึกว่า ผู้ชายอบอุ่น ช่างฝัน ผมเป็นคนขี้อิจฉาเหมือนกัน อย่างผมเห็นคนบันเทิงเปิดกล้อง ทำหนังอยู่เรื่อยๆ ผมก็อิจฉา แต่ผมไม่ริษยา
แล้วคุณเลี้ยงลูกอย่างไร
ผมไม่เคยบอกลูกว่า ต้องอ่านหนังสือ แต่ผมมีหนังสือเป็นพันเล่ม จนกระทั่งเขาก็เป็นเด็กอ่านหนังสือ ผมไม่เคยบอกว่า ให้เล่นเปียโน พอผมเล่น เขาก็อยากเล่น ก็ไปเรียน ผมไม่บังคับลูก ไม่ตีลูก คุยกับลูกเพราะมาก คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเขาเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก
เป็นคนชอบอยู่กับตัวเอง ?
ไม่เลย บางทีผมเขียนบท ผมไปนั่งเขียนที่ร้านกาแฟ ผมเป็นคนที่ไม่ต้องการสมาธิในการทำงาน ผมก็หิ้วโน๊ตบุ๊คไปเขียนที่นั่น ที่นี่ เปลี่ยนคนที่พบเจอ
ย้อนไปถึงตอนไปล้างจานเมืองนอก คุณทำเพื่อหาเงิน แล้วได้ประสบการณ์อะไรบ้าง
ตอนนั้นทำสำนักพิมพ์แล้วเจ๊ง บรรณาธิการให้แก้งานเขียน ไม่ยอมแก้ ก็คิดว่าพิมพ์เองก็ได้ ในที่สุดไปไม่รอด ผมก็หันไปทำอย่างอื่น เพราะผมคิดว่าดังแล้ว ผมก็แค่ทำงานเพื่อเรียกร้องความสนใจ ยุคแรกๆ ผมดิ้นรน ขั้นทุรนทุราย แต่ยุคนี้ไม่ค่อยเยอะ ผมมักจะคิดว่าตัวเองโชคดี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรธรรมดาเลย
ตอนผมไปอเมริกา จะไปเป็นเด็กเสิร์ฟ ผมบอกเจ้าของร้านอาหารว่า พูดภาษาได้ เพื่อผมจะไม่ต้องล้างจาน ผมชอบเป็นคนข้ามขั้น และลูกค้าฝรั่งในร้านอาหารไทย มันไม่ดูถูกเด็กเสิร์ฟ จะชอบชวนคุย แต่มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าของร้านยืนอยู่ ฝรั่งมันพูดว่า “อากาศดีนะ” ผมก็ตอบ yes แต่พอมันบอกว่า ขอน้ำปลาถ้วยหนึ่ง ผมตอบเหมือนเดิม แล้วยืนอยู่ตรงนั้น เจ้าของร้านก็รู้แล้วละว่า เราฟังไม่รู้เรื่อง ก็เลยถูกไล่ไปล้างจาน ระหว่างล้างจานหกเดือน ผมก็เรียนรู้จากคนพื้นเมืองของอเมริกัน พอได้ภาษาก็ได้ออกมาเสิร์ฟ
คุณเรียนรู้ด้วยตัวเองทุกอย่างเลยหรือ
ทุกอย่าง สมัยวัยรุ่น ผมเคยหยุดงานไปสี่วัน ไปหัดเต้นเบรค แดนซ์ จนถูกไล่ออกจากงาน สมัยนั้นไม่มียูทูบ ก็เต้นได้ ซึ่งนั่นเป็นพื้นฐานต่อมาเพื่อฝึกร่างกายให้เป็นหุ่นกระบอก และที่ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะตอนนั้นผมไม่มีเงิน แต่ถ้ามีเงินก็หาครูเถอะ ครูจะช่วยไม่ให้งมผิด งมถูก อย่างลูกผมก็ไปเรียนเปียโน และไปหัดเต้นบีบอย แต่เขาไม่ค่อยชอบ
ผมได้ทำมาเกือบหมดแล้ว มีคนชวนผมผลิตรายการทีวี ผมไม่อยากทำ เพราะผมไม่เดือดร้อนแล้ว เพื่อผมจะได้มีเวลาออกกำลังกาย อยู่กับแฟนและลูก และมีเวลาไปเล่าเรื่องให้เด็กๆ มหาวิทยาลัยฟัง จริงๆ แล้วผมไปเพื่อที่จะรับ ไม่ได้ไปเพื่อให้ ผมได้ความกระตือรือร้น เวลาผมเหี่ยวๆ ผมก็ออกไปเล่นละครใบ้ให้เด็กๆ ดู คนมาดูสี่ห้าร้อยคน ผมใช้พื้นที่ตรงนั้นฝึกซ้อม เวลาไปพูดสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ฟัง เหมือนผมพูดให้ตัวเองฟัง กลับมากระปี้กระเปร่า บางทีก็มีคนจ้างให้ไปสอน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานขาย ผมก็ได้พัฒนาตัวเอง อย่างพูดให้พนักงานขายรถยนต์ฟัง ผมก็พูดให้เขามั่นใจว่า รถที่เขาขายมีระบบที่ดี ไม่ต้องไปมองว่า รถอีกยี่ห้อขายดีกว่า
อีกมุมคุณเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ แล้วคุณเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน
ผมพูดแล้วได้เงิน และได้สอนตัวเองด้วย มีแต่ได้ ทำอย่างเดียวคือเตรียมร่างกาย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมั่นใจ เมื่อผมกลัว ผมก็จัดทอล์คโชว์ ซ้อมโดยขอไปพูดตามมหาวิทยาลัยสิบยี่สิบแห่ง ผมพูดจนช้าและชัด จนมั่นใจว่ามุกนี้ตลกแล้ว ก็ขึ้นทอล์ค เพื่อสู้กับความกลัว และผมอยากดัง ผมเป็นคนตัวเตี้ย 160 เซนติเมตร หลายอย่างผมต้องฝึก ผมเห็นใครเก่ง ผมลอกเลย ผมทำทอล์คโชว์ ผมลอกอุดม แต้พานิช ผมเห็นพี่จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง เดินร้องเพลง ผมลอกนะ
ชีวิตผมทุกวันนี้ มีส่วนมาจากพี่จุ้ย สมัยผมเป็นศิษย์สะดือ ผมก็อปปี้เลย เห็นเขาเล่นเปียโน เดินร้องเพลง ผมก็ทำ ทุกวันนี้บ้านผมมีเปียโน มีหนังสือเต็มบ้าน ผมเชื่อว่า ผมซึมซับมาจากเมื่อ 27 ปีที่แล้ว เราอยากทำแบบเขา แม้จะก็อปก็ต้องคงความเป็นตัวเองด้วย เหมือนไอสไตน์พูดว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” อย่าลืมว่า คนพูดคือ ไอสไตน์ และเขาเป็นคนที่มีความรู้แน่นมาก ถึงพูดแบบนี้ได้ แต่เด็กยุคใหม่คิดว่า สอนมาอย่างนี้ ไม่เอาตำราก็ได้ เอาแต่จินตนาการ แบบนั้นไม่ได้
ทำอย่างไร ความคิดสร้างสรรค์จึงไม่มีวันหมด ?
ไปเจอเด็ก ไปเจอผู้คน ไปเจอพนักงานขาย มีคำถามที่เราได้เรียนรู้ ผมสามารถแตกเป็นบทละครได้อีกเยอะ สร้างแรงบันดาลใจได้ อย่างผมพูดให้พนักงานขายฟัง พวกเขาก็ขำ ไม่อย่างนั้นคงไม่นั่งฟังเป็นชั่วโมง แล้วลูกค้าคงไม่จ้างต่อ อย่างผมไปพูดให้คนขายประกันฟัง ผมก็ต้องเตรียมตัว เพราะคนซื้อประกันต้องจ่ายเงินเยอะ แต่ได้กระดาษแผ่นเดียว