ดงฝิ่น “ผืนสุดท้าย”

สำรวจเส้นทางสายฝิ่นแห่งสุดท้ายของไทยในผืนป่าตามแนวเขาถนนธงชัย กับภารกิจเด็ดดอกฝิ่นออกจากใจผู้คนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

คงต้องเรียกว่า “สุดลูกหูลูกตา” เท่านั้น หากจะนิยาม “ขนาด” ของผืนป่าแถบนี้ให้เห็นภาพ ยังไม่นับความสลับซับซ้อนของเทือกเขาถนนธงชัย ตั้งแต่ จ.ตาก ไปจนถึง จ.แม่ฮ่องสอน พรมแดนธรรมชาติฟากตะวันตกอันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่อให้เป็นคนท้องถิ่นหากไม่คุมสติให้ดีก็มีสิทธิ “ตกเขา” เอาง่ายๆ

ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความยากต่อการเข้าถึง จึงไม่น่าแปลกใจนักว่า ทำไมพื้นที่แถบนี้ถึงเป็น “เส้นทางลำเลียงยาเสพติด” สายสำคัญอีกแห่งจาก “สามเหลี่ยมทองคำ” แหล่งผลิตยาเสพติดระดับโลก

ร่องรอยการแผ้วถางตามสันภูลูกต่างๆ ยังปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ท่ามกลางวิถีคนภูเขา ของป่า เกษตรพื้นที่สูง ตลอดจนปศุสัตว์เหนือระดับน้ำทะเล อีกด้าน “ฝิ่น” ได้กลายสอดแทรก และกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมย่านนี้มานานแล้ว

ไม่ว่าจะผิวดิน หรือสภาพอากาศความสูงกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อให้กับการปลูกพืชล้มลุกชนิดนี้แทบทั้งสิ้น จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.พบว่า แต่ละปี “ฝิ่น” จะถูกผลิตออกจากพื้นที่นี้ประมาณ 760 ตัน นั่นหมายความว่า หากมีการนำไป “แปรรูป” ต่อ ก็จะมีเฮโรอีนกว่า 76 ตันออกสู่ตลาดโลก

“ก็พวกข้าวไร่ข้าวดอยครับ” ระหว่างเดินผ่านแปลงดิน ใต้เงาแดดที่ก้านกำลังเฉาตามใบ ใครบางคนสะท้อนความเป็นอยู่ของ “ชาวภูเขา” แถบนี้

 

ฝิ่นไม่ ฟิน

ถึงจะกร้าน แต่ก็ดูแกร่ง ยิ่งเรี่ยวแรงจากมือคู่นั้นยังคงทำหน้าที่ได้ดี และสม่ำเสมอ ฟืนท่อนแล้วท่อนเล่าถูกผ่าออกเป็นท่อนเล็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้งานภายในบ้านของตัวเองหลังเสร็จจากงานประจำวัน โกรโต พุ่มดอกจันทร์ ชาวกะเหรี่ยงที่บ้านเลอตอ ต.แม่ตื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ทำแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ด้วยสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาคู่กับธรรมชาติ เขาและเพื่อนๆ รู้จักผืนป่าแถบนี้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นที่พัก ตู้กับข้าว หรือแม้แต่ “โรงหมอ” ตามวิถีที่ตกทอดจากรุ่นมาสู่รุ่น

“ยาฝิ่น” ก็เหมือนกัน

สรรพคุณในการระงับปวด ช่วยรักษาโรคภัย ยังคงเป็นความเชื่อที่ถูกบอกต่อกันมา เขายอมรับว่า เคยได้ยิน แต่ไม่เคยได้ลอง จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีก่อน จากการชักชวนของเพื่อนฝูงเขาถึงกระโดดไปร่วมวงฝิ่น และ “ติด” ในที่สุด

หนังม้วนเดิมทำนองนี้ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปทั่ว 13 หย่อมบ้าน ตั้งแต่ ห้วยขนุน, ห้วยโป่ง, วะเบยเด, วะกะเลโค๊ะ, ตะหย่าเด, เกร๊ะมอคี, ทุ่งต้นงิ้ว, เลผะสุคี, กล้อหล่อเบลอ, ทีวะเบยทะ, ห้วยสินาคี และห้วยน้ำเย็น จนพื้นที่แถบนี้ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นอันดับต้นๆ ของไทย โดยมีแนวโน้มว่ามีเด็ก และเยาวชนหันไปเสพฝิ่นมากขึ้น

“กลุ่มที่หนักที่สุด คือ บ้านขุ่นสอง” ประสงค์ รัตนพันธ์ ผู้อำนวยการส่วนประสานพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 6 หรือ ปปส.ภ.6 พูดถึงบริเวณเหนือสุดของพื้นที่รับผิดชอบ รอยต่อ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะ สภาพพื้นที่ห่างไกล ยากแก่การเข้าถึงของเจ้าหน้าที่ ทำให้ที่นั่นจะปลูกฝิ่นเยอะเป็นพิเศษ

แต่หากเทียบเคียงกับสถานการณ์ฝิ่นในอดีต ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า บ้านเราค่อนข้างถอยห่างจากดงฝิ่นออกมา “มีระยะ” พอสมควร ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนแปลงฝิ่นที่ผุดขึ้นแถบ ตาก แม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่นั้นเคยมีมากกว่า 1 แสน 2 หมื่นไร่เลยทีเดียว แต่ด้วยโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปสร้างอาชีพให้ประชาชนในพื้นที่ ทำให้การแก้ปัญหาฝิ่นบริเวณนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก พื้นที่ปลูกได้ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

จนปัจจุบัน เหลือพื้นที่ปลูกฝิ่นอยู่ประมาณ 1 พัน 3 ร้อยไร่ โดย จ.ตาก เป็นพื้นที่พบไร่ฝิ่นมากที่สุดจำนวน 356 ไร่ รองลงมาคือ จ.กำแพงเพชร 49 ไร่ จ.แม่ฮ่องสอน 47 ไร่ จ.เชียงราย 19 ไร่ จ.น่าน 12 ไร่ และแพร่ 4 ไร่ ซึ่งผลิตฝิ่นได้ 5,000 ตันต่อปี ซึ่งฝิ่นจำนวนนี้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มชาวเขาที่ยังคงเสพฝิ่น แต่ก็มีบางส่วนที่หลุดรอดเข้าสู่โรงงานผลิตเฮโรอีนในประเทศเพื่อนบ้าน

“พื้นที่หลักๆ ก็ยังคงเป็นโซนที่มีการปลูกซ้ำซาก” ชลัยสิน โพธิเจริญ ผู้อำนวยการ ปปส.ภ.6 บอก 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนยันได้เต็มปากว่า สถานการณ์ฝิ่นในประเทศไทยตอนนี้ ลดลงไปมากแล้ว

“จากแสนไร่ แต่วันนี้ฝิ่นเหลือประมาณพันกว่าไร่ จากสถิติปีล่าสุดก็ลดเหลือ 1,700 ไร่” เขาสำทับด้วยตัวเลขอีกครั้ง

ละลายยา ละลายใจ

กฎเกณฑ์ของ “เจ้าหน้าที่” อาจจะทำให้หลายๆ คนที่ขึ้นมาล้อมวงนั่งฟังบนสถานีอนามัยประจำหมู่บ้านนั้นออกอาการ “ชั่งใจ” อยู่พอสมควร เพราะการตัดใจจากสิ่งที่เคยเป็นวิถีชีวิตของตนเองไปสู่หนทางใหม่ๆ สำหรับหลายๆ คนต้องถือเป็นความกล้าอย่างยิ่ง แต่เมื่อเทียบเคียงกับความทรมานของอาการ “เสี้ยนยา” ก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เกินไปกับชีวิต

เหมือนอย่าง ติวอ วิลาศไผ่เงิน กะเหรี่ยงหนุ่มผู้ไม่เคยหวงยิ้มยอมรับว่าคิดถูกที่ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการบำบัดผู้ติดฝิ่นที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มูลนิธิโอโซน และกระทรวงสาธารณสุข จัดขึ้นในพื้นที่สูงรอยต่อ จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก

“ตั้งใจจะเลิกมาหลายครั้งแล้ว” เจ้าของรอยยิ้มเก้อเขินให้คำตอบ

เขาเป็นหนึ่งในผู้บำบัดฝิ่นกว่า 100 คนใน 13 หย่อมบ้านของ ต.แม่ตื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ซึ่งหลังการเข้ารับการบำบัดอยู่นานนับเดือน ในที่สุด ติวอ ก็สามารถเลิกฝิ่นได้

กระบวนการที่นำมาใช้บำบัดกับผู้เสพที่นี่เป็นโครงการที่ลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด โดยใช้ “สารทดแทน”

“เนื่องจากผู้เสพเป็นการเสพที่ติดเป็นอาการติดแล้วลึก และเลิกได้ยาก” กษิธัญ คงดี นักสืบสวนชำนาญการ ปปส.ภ.6 ให้เหตุผล โดยกุญแจของกระบวนการนี้ก็คือ “เมนทาโดน”

รศ.ดร.มานพ คณะโต ผอ.เครือข่ายพัฒนาวิชาการและข้อมูลสารเสพติด อธิบายขั้นตอนคร่าวๆ ของการบำบัดด้วยสารทดแทนเพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัดหยุดเสพโดยไม่มีอาการ “ลงแดง” ในช่วง “ถอนพิษยา” หลังจากนั้นจึงฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาเป็นปกติ จนกระทั่ง “หยุดใช้ยา” ได้

“คำว่าเลิกยาทางการแพทย์คงระบุไม่ได้ ยาเสพติดไม่เหมือนไข้หวัด ที่หายแล้วหายเลย แต่มันเหมือนโรคเรื้อรังที่ไม่รู้คุณจะกลับมากำเริบเมื่อไหร่ เป็นเมื่อไหร่” เขาเล่าตามตรง

ส่วนระยะเวลาการบำบัดก็จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้เสพแต่ละคน แน่นอนว่า “สั้น-ยาว” ไม่เท่ากัน บางคนอาจมี “โรคร่วม” อื่นๆ ที่ทำให้รูปแบบการรักษาแตกต่างกันไป และใช้เวลา “หลายเดือน” อยู่

“อย่างที่เห็นก็ต้องมี 4 เดือนขึ้นไปที่จะต้องอยู่ในการควรคุุมดูแลของศูนย์บำบัดต่างๆ ”

ยิ่งไปกว่านั้น เมนทาโดนเองก็จัดอยู่ในหมวด “ยาเสพติดประเภท 2” ตามกฎหมาย จึงเป็นที่รับรู้ร่วมกันว่า ก็ไม่ได้ปลอดภัย หากไม่ระมัดระวัง เพียงแต่อย่างน้อยก็ช่วยลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดให้น้อยลง ปัญหาที่คนจากฟากการบำบัดพบเจออยู่บ่อยครั้งก็คือ การใช้ผิดประเภท อาทิ แทนที่จะดื่ม ก็กลับเอาไปฉีด ไม่ก็กักตุนเอาไว้ซื้อขายอีกทอด

“บางทีก็ต้องมีการลงโทษเหมือนกัน” ผอ.เครือข่ายคนเดิมยอมรับ

ที่อยู่ ไม่เท่าที่ยืน

สิ่งที่ พิชิต มโนรมสุจริต แกนนำอาสาสมัครมูลนิธิโอโซน มักทำเสมอเวลาเดินเข้าไปหากลุ่มเป้าหมายเพื่อชักชวนให้เลิกเสพก็คือ ความปราถนาดีที่เพื่อนจะมีให้เพื่อนได้

“เพื่อนช่วยเพื่อนครับ” เขาหมายความตามนั้น

ในหมู่คนรู้จักของพิชิตเอง หลายคนที่กลายเป็นผู้เสพ นี่ก็เป็นแรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาอยากจะช่วยให้เพื่อนๆ ของเขาทุกคนหลุดพ้นจะบ่วงมรณะที่คอยกัดกินอนาคต หรืออาจจะหมายถึงชีวิตในบางราย

นอกจากการเข้าสู่กระบวนการบำบัดแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การใช้ชีวิตต่อไป เรื่องนี้ รังสิมันตุ์ หวันนะ หัวหน้าศูนย์โครงการขยายผลโครงการหลวง เพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืนบอกว่า หลังจากที่ได้รับการประสานจากทาง ป.ป.ส. ทีมดูแลจะเข้าไปประสานงานกับผู้เข้ารับการบำบัดโดยตรง เพื่อสำรวจความต้องการ และดึงพวกเขาออกจากวังวนชีวิตเดิมๆ

“เข้าไปถึงบ้านเลยครับ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของแต่ละราย”

แน่นอนว่า ส่วนใหญ่มักขอรับความช่วยเหลือเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมากกว่า อย่าง “หมูบ้าน” 2 ตัววงเงินไม่เกิน 5,000 บาท หรือพันธุ์ผักเอาไว้เพาะปลูก ทั้งหมดก็เพื่อความยั่งยืนของการใช้ชีวิต และจะได้เป็นหลักประกันว่า พวกเขาได้หันหลังให้กับฝิ่นอย่างถาวรแล้ว โดยปีที่ผ่านมาทางโครงการได้ช่วยเหลือไปแล้ว 3 ราย ขณะที่ปีนี้มีผู้มาเข้าคิวรอเบื้องต้น 6 ราย

นอกจากที่อยู่แล้ว “ที่ยืน” ก็ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่า ผู้เข้ารับการบำบัดเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับแรงเสียดทานทางสังคมอยู่พอสมควร โดยเฉพาะมุมมองที่ว่า คนเหล่านี้สมควรได้รับการลงโทษอย่างหนักมากกว่าการช่วยเหลือ ซึ่งเมื่อบวกลบคูณหารกันแล้ว คนทั่วไปที่ลำบากรัฐยังช่วยไม่เท่าคนกลุ่มนี้เลย

เรื่องแบบนี้ถ้าถาม ด็อกเตอร์มานพ เขาก็คงตอบได้แต่เพียงว่า ...ยังต้องคุยกันอีกยาว เพราะต้องไม่ลืมว่า การตัดวงจรยาเสพติดนั้น ไม่ได้ถูกจำกัดความเอาไว้แค่การปราบปรามเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการดูแล และบำบัดเพื่อไม่ให้กลับไปใช้ยาอีกด้วย

“ฝิ่นเป็นปัญหาของบ้านเรามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยานะครับ” ไม่ใช่แค่สิ่งที่ฝังรากอยู่ในสังคมมาตั้งแต่โบราณ หากแต่ ผอ.เครือข่ายพัฒนาวิชาการและข้อมูลสารเสพติดยังระบุได้อย่างเต็มปากว่า นี่คือยาเสพติดที่เก่าแก่ที่สุดของโลกก็ว่าได้ ขณะที่ประเทศไทยเคยทดลองการจัดการปัญหาฝิ่นมามากมาย แต่ท้ายที่สุดปัญหาก็มักจะ “ไปโผล่ที่อื่น” อย่างในปัจจุบันกับแนวคิดที่ว่า เมื่อมียาเสพติดตัวใหม่ ผู้เข้ารับการบำบัดก็ลดจำนวนลง ทำให้หลายคนอาจเข้าใจว่า ฝิ่น หรือเฮโรอีน จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว

“แต่เราเข้าใจผิดนะครับ” ดร.มานพบอก

ที่เขาหมายถึงก็คือ คนที่อยู่ในท้องที่ห่างไกลก็ยังคงใช้ฝิ่นอยู่เหมือนเดิม และการใช้ฝิ่นในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนไปการรับรู้ของผู้คน ที่เคยใช้ฝิ่นก็เพื่อรักษาโรค เนื่องจากการเดินทางจากบ้านเพื่อมาโรงพยาบาลอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ปัจจุบันเยาวชนรุ่นใหม่ กลับมีการใช้ฝิ่นเพื่อความเพลิดเพลินเสียมากกว่า

จริงอยู่ที่ กลุ่มเป้าหมายกว่า 500 คนที่ดอยเลอตอแห่งนี้จะยอมเข้ามารับการบำบัดเพียงร้อยกว่าคน อีกทั้งปีที่ผ่านมาเพิ่งมีผู้บำบัดที่ “หายขาด” ออกไปจากโครงการไม่ถึง 5 คนด้วยซ้ำ แล้วอะไรจะมาเป็นรูปธรรมในความสำเร็จของตัวโครงการเอง

“ผมคิดว่าถ้าเขาเปลี่ยนจากฉีดมาเป็นกินได้ ก็ถือว่าสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วล่ะ” ผู้เชี่ยวชาญฝิ่นอย่างเขาไขข้อข้องใจด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

แต่เปี่ยมด้วยความหวัง

หรือถ้าลองได้เห็นรอยยิ้มของ ติวอ หรือชีวิตใหม่ของ โกรโต อย่างน้อยที่สุด นั่นก็ถือเป็นรูปธรรมของความสำเร็จในการขุดรากถอนโคนต้นฝิ่นให้ออกจากใจพวกเขาแล้ว

...จริงไหม