ฉงชิ่ง สร้างจริง (ไม่อิงนิยาย)

มหานครพัฒนาใหม่ของจีน ที่แม้จะยัง “สร้าง” ไม่เสร็จ แต่ความยิ่งใหญ่ของสิ่งก่อสร้าง ก็ทำให้รู้แล้วว่า ไม่มีอะไรที่สร้างไม่ได้
ฉันจับบอร์ดดิงพาสระบุปลายทางว่า Chongqing ให้กระชับมือ เพราะถูกหญิงสาววัยรุ่น ขาว สวย และหมวย ที่กำลังขยับนิ้วกับหน้าจอเดินชนอย่างจังระหว่างเดินไปนั่งรอเข้าเกท
บอร์ดดิงพาสยังอยู่ดี กระเป๋ากล้องก็ยังสะพายอยู่ติดตัวดี แต่หน้าฉันเริ่มบูด ก็เพราะสาวหมวยคนนั้นไม่ได้เหลียวหลังมาแสดงท่าทีขอโทษแม้แต่น้อย ซ้ำยังเดินตัดหน้าไปเข้าแถวรอเข้าเกทกันเห็นๆ ไล่มองดูคิว ตั้งแต่คนหน้าสุดมาถึงหมวยคนนั้น ทุกคนมีรังสีบางอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นไทป์เดียวกัน
แน่นอน... ต้องมาพร้อมกับเสียง! เสียงซักถามข้ามกันไปมาวุ่นวาย แม้จะฟังไม่ออก แต่ก็พอจะเดาได้ว่า เขาทั้งหลายกำลังเคลียร์ปัญหาแคร์รี่ออนที่เห็นจะเกิน 7 กิโลฯ ตามระเบียบของสายการบินแน่ๆ
มองดูแล้ว มันเป็นเรื่องยาก เพราะสารพัดของที่ถือด้วยมือของทุกคนนั้นมีตั้งแต่ถุงชอปปิงใบเขื่อง กระเป๋าสะพายใบใหญ่ ไปจนถึงเป้ใบแน่นๆ แล้วบางคนยังจะมีลังกระดาษที่วางกองอยู่ที่พื้นอีกหลายลัง
“นี่แค่เริ่มต้น” ฉันบอกตัวเอง แล้วเลือกไปนั่งรออย่างสงบ
“ทางที่เหลือคงจะต้องเจอมากกว่านี้!” ฉันบอกตัวเองอีกครั้ง...
ตึกขยัน ตะวันขี้เกียจ
ออกจากกรุงเทพฯ มา 3 ชั่วโมงกว่า เครื่องก็ลัดฟ้าพามาถึง มหานครฉงชิ่ง เมืองที่ได้ฉายาว่า เป็นเมืองภูเขา เมืองน้ำ แล้วก็เป็น 1 ใน 3 เมืองเตาของจีน
ที่ได้ชื่อเหล่านี้มาก็เพราะลักษณะภูมิประเทศและอากาศ ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน มีแม่น้ำสายสำคัญถึง 2 สายไหลผ่าน คือ เจียหลิง และแยงซีเกียง ส่วนชื่อ “เตา” ที่ได้มานั้นเพราะเมืองนี้เหมือนมีความร้อนระอุขึ้นมาจากพื้นดิน ถึงขนาดมีเรื่องเล่าว่า หน้าร้อนที่นี่ คนจะไม่นั่งนอนอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน แต่จะออกมานั่งพัดอยู่ตามหน้าบ้านและถนน
ฉงชิ่งแยกออกจากมณฑลเสฉวน มาเป็นมหานครตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 ซึ่งมหานครนั้นจะขึ้นตรงกับรัฐบาลจีน โดยมีอีก 3 แห่ง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน ทำให้การพัฒนาอะไรๆ ไปได้เร็วกว่าที่อื่นๆ
เมื่อรถบัสพาออกจากสนามบิน สองข้างทางก็เห็นตึกสูงแข่งกับภูเขาเป็นฉากหลังอยู่ทั้งเมือง ขนาดว่าจะเล็งกล้องไปทางไหน ก็ต้องได้สองอย่างนี้สแตนด์บายรออยู่ในเฟรมแล้ว แล้วก็ไม่ได้เหมือนกับตึกระฟ้าแบบฉบับของกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นที่เก็บโต๊ะเก้าอี้ให้มนุษย์เงินเดือนไปนั่งเรียงหน้ากัน แต่ตึกที่เห็นอยู่มากมายนี้คือ คอนโดฯ ที่พักพิงของคนฉงชิ่ง ที่มีทั้งที่จับจองแล้วและที่กำลังก่อสร้าง ย้ำว่า ก่อสร้างบนที่สูง สลับสูง และสูงมาก
“ไม่ใช่จีน ทำไม่ได้” ฉันคิดอยู่ในใจพลางสังเกตระหว่างทางอย่างถ้วนถี่ ซึ่งก็พบว่า สีเขียวของต้นไม้ก็มีอยู่ให้เห็นตลอดทางเช่นกัน แต่แอบคิดไม่ได้ว่า ต้นไม้พวกนี้จะโตเองด้วยเม็ดดินของที่นี่กี่เปอร์เซ็นต์เชียว
ขณะที่เวลาจากนาฬิกาข้อมือฉันบอกเวลาว่าใกล้ค่ำแล้ว แต่นาฬิกาธรรมชาติของที่นี่กลับไม่ได้บอกอย่างนั้น แสงสีส้มยามเย็นยังคงแอบซ่อนอยู่หลังเมฆสีเทาๆ บนฟ้าที่ก็ไร้สีฟ้าให้เห็น สอบถามจากคนท้องถิ่นก็ได้ความว่า หน้าร้อน ช่วงเดือนมิถุนาถึงสิงหา ดวงอาทิตย์จะลาลับตอนประมาณสองทุ่ม ฉันก็เลยหวังจะรอถ่ายแสงทไวไลท์เป็นฉากสวยๆ ของตึกระฟ้าพวกนี้
แต่ก็ต้องผิดหวังตั้งแต่ยังไม่ได้รอ เพราะเจ้าถิ่นเขาบอกอีกว่า โอกาสน้อยมากที่จะได้เห็นแสงตะวัน และท้องฟ้าสีฟ้าแม้ในเวลากลางวัน เพราะด้วยพลังของมวลเมฆทั้งหลายที่ช่วยกันปิดไว้ซะมิด
ดวงอาทิตย์ที่นี่ช่างขี้เกียจนัก ต่างจากตึกใหญ่ที่ขยันโตเอาๆ
อันที่จริง ภายในเมืองฉงชิ่ง ก็มีที่ท่องเที่ยวที่คนไทยมาเที่ยวกัน อย่างหินแกะสลักต้าจู๋ ถนนคนเดินเจียฟังเป่ย สมาคมหูกว่าง ฯลฯ แต่ทริปนี้บอกไว้ก่อนเลยว่า เป็นทริปดื่มด่ำกับธรรมชาติ แต่ของดีต้องเสาะหาและใช้เวลาพอสมควร เวลาที่เหลือสำหรับวันแรกหลังแลนด์ดิ้งจึงไม่พอที่จะออกเดินทางไปเยือนไฮไลท์ของทริป ค่ำนี้เลยขอออกไปชมแสงสีของเมืองให้เห็นกับตา เพราะได้ยินคำล่ำลือมาว่า สวยไม่แพ้เมืองใหญ่ของยุโรป
แล้วก็จริงดังนั้น... เวลาสองทุ่มกว่า แท็กซี่พามาถึงส่วนที่เรียกได้ว่าเป็น “เมือง” จริงๆ แสงสีส้มแพรวพราวอยู่ตามตึก มีแม่น้ำเจียหลิงสายใหญ่ไหลผ่านช่วยเติมเต็มวิวแห่งแสงไฟยามราตรีอย่างสมบูรณ์ มองไปอีกฟากก็ยังเห็นแสงจากตึกมากมาย มีสะพานแขวนขนาดใหญ่ทอดข้ามไปอีกฝั่ง ใกล้ๆ กันยังมีสะพานอีกอันที่ใช้เป็นทางคมนาคมสำหรับรถไฟ เห็นแล้วก็พาให้นึกว่า ถ้าได้นั่งรถไฟข้ามแม่น้ำในยามนี้ คงจะสวยน่าดู
แสงไฟที่โดดเด่นที่สุด ณ จุดที่ฉันยืนอยู่มาจาก “หงหยาต้ง” ชอปปิงมอลล์ที่เป็นจุดเดินเล่นพร้อมแชะภาพสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งจีนและหลายชาติ แต่จากที่คะเนดูแล้ว โดยมากจะเป็นแถบเอเชีย ซึ่งก็ไม่รู้จีน เกาหลี หรือไทยกันแน่ (ฮา)
ที่หงหยาต้งมีของขายหลายอย่าง แบ่งประเภทของของเป็นชั้นๆ ชั้นที่น่าสนใจก็ไม่พ้นของกิน ที่รวมเอาอาหารพื้นเมืองต่างๆ มาไว้ที่เดียว ทั้งเนื้อสัตว์ เครื่องจิ้ม สมุนไพร ขนม ของหวานสารพัด ถ้าขึ้นไปอีกที่ชั้นของโรงแรม ก็จะได้ของแถมเป็นวิวสวยๆ ที่เห็นแสงไฟ แม่น้ำ สะพานในมุมสูง สวยลืมเอเชียทีคบ้านเราไปเลย
ยิ่งไกล ยิ่งใหญ่
รุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์บ้านนี้ก็ยังคงขี้เกียจอยู่ ได้แต่ฝากแสงผ่านเมฆมาบอกให้คนรู้ว่าหมดเวลานอน
“วันนี้เราจะไปชมเขื่อนสามผา ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงกว่า” ไกด์สาวบอก ได้ยินแบบนี้ก็รู้ทันทีว่า เวลานอนยังไม่หมด คงจะอีกหลายตื่นทีเดียว แต่ที่กังวลกว่าคือ 4 ชั่วโมงนี้ ต้องได้พักเข้าห้องน้ำระหว่างทางแน่ๆ หน้าตามันจะเป็นยังไงหนอ ไม่อยากจะคิดเท่าไร
ระหว่างทางมุ่งหน้าไป Fengjie County สองข้างทางในช่วงแรกก็ยังคงเป็นคอนโดสูง แต่พอออกจากเมืองมาได้สักพัก ความถี่ของตึกก็ลดน้อยลง จำนวนบ้านก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ซ้ำยังเห็นน้อยมาก และเห็นรถเครนขนาดใหญ่เร่งสร้างตึกกันอยู่เยอะทีเดียว
และแล้วรถบัสก็หยุดพักที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เวลานั้นจะไม่เข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ เพราะยังเหลืออีกตั้งครึ่งทาง แต่ก็ผิดคาด เพราะไม่ได้ต่างจากห้องน้ำตามที่สาธารณะบ้านเราเท่าไร เหมือนจะเพิ่งสร้างได้ไม่นานด้วย ...ที่น่าตกใจกว่าก็คือ คุณลุงคนหนึ่งกำลังทาสีอยู่บนนั่งร้านในห้องน้ำหญิงได้โดยที่ไม่ได้มีใครตกใจอะไร
หลับอีกหลายตื่น ผ่านอุโมงค์ใหญ่ที่เจาะลอดช่องเขาไม่รู้กี่สิบแห่ง รถบัสก็มาถึงที่ แต่ก่อนจะไปล่องแม่น้ำแยงซี ชมเขื่อนสามผา ก็ขอฝากท้องไว้กับอาหารท้องถิ่นของเมือง ที่มีต้มปลาเป็นไฮไลท์ จะว่าต้มจืดก็ไม่ใช่ ต้มยำก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ คือ อร่อยมาก เนื้อปลาช่างเด้งเข้ากันกับซุปสีส้มอ่อนที่มีเครื่องเทศครบครัน
“นี่คือปลาจากแม่น้ำแยงซีตรงนี้เอง” คำบอกเล่าของเด็กเสิร์ฟถูกแปลเป็นไทยให้ฟัง ดูแล้วคนท้องถิ่นน่าจะภูมิใจกับอาหารที่เขามีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอาหารสดที่จับได้จากแม่น้ำ
Fengjie เป็นเมืองทางด้านตะวันออกของฉงชิ่ง มีนักกวีผู้มีชื่อเสียงเล่าถึงความงดงามของภูมิประเทศไว้มากมาย ซึ่งตอนนี้ได้ถูกเนรมิตให้เป็นส่วนหนึ่งของที่ตั้งเขื่อนสามผา หรือเขื่อนสามโตรก (Three Gorges) อันเลื่องชื่อที่ต้องอพยพคนไปมากกว่าล้าน เพื่อแลกกับการพัฒนาทางด้านพลังงาน
หน้าผาสูงที่ขนาบไปกับสายน้ำ ยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา ทำเอาฉันทึ่งมาก ทั้งความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและของมนุษย์ที่สร้างได้ทุกอย่าง ตามประวัติศาสตร์นั้น หน้าผาสูงเหล่านี้ได้ถูกใช้เป็นที่เก็บโลงศพของมนุษย์ยุคโบราณ เพราะมีความเชื่อว่า ยิ่งสูง จะได้ยิ่งไปถึงสวรรค์ได้
เส้นทางล่องแม่น้ำสายนี้ยังเป็นที่ตั้งของ White King town ที่มีอายุมากว่า 2,000 ปี โดยมีตำนานเล่าว่า ที่นี่มีไอน้ำพุ่งออกมาและกลายร่างเป็นมังกรสีขาว ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวอันเก่าแก่ รวบรวมบทกวี และรวมไปถึงเรื่องของเล่าปี่ตามตำนานของสามก๊กที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ด้วย
ฉันขึ้นไปมองวิวแม่น้ำ ภูผาจากด้านบนสุดของพิพิธภัณฑ์ สวยไม่แพ้วิวจากด้านล่างที่ล่องเรือมา ยิ่งทางออกของพิพิธภัณฑ์ที่โผล่มาแล้วเจอสะพาน “Rain Lounge Bridge” ข้ามแม่น้ำทอดยาวไปอีกฟาก เห็นแล้วก็อยากจะแต่งบทกวีสักบทอย่างนักกวีจีนบ้าง (ฮา)
ล่องแม่น้ำ ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ เราก็มุ่งหน้าไปที่เมืองหยุนหยาง (Yunyang County) โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เย็นวันนั้นยังคงไร้แสงสีส้มเหมือนวันก่อน ภาพที่ถ่ายได้ก็ดูจะหม่นหมองไปนิด ฉันจึงหวังว่า วันต่อไปขอให้ฟ้าใส เพราะที่ที่จะไป จะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก!!
ยิ่งสูง ยิ่งสวย
ออกจากเมืองหยุนหยางแต่เช้าตรู่ เพื่อนั่งรถบัสขึ้นไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ใช่แล้ว เราต้องขึ้นไป เพราะมันอยู่บนที่สูงมาก ทางขึ้นเขามีทั้งชันและไม่ชันสลับกันไป แต่สองทางที่ที่เห็นมักจะเป็นต้นไม้ และบ้าน หรือไม่ก็ตึกแถวที่ไม่สูงมาก
ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติหลงกัง (Longgang Scenic Spot) อุทยานทางธรรมชาติที่มีพื้นที่กว่า 17 ตารางกิโลเมตร และเพิ่งจะสร้างสะพานแก้วรูปเกือกม้า “Yunyang Glass Gallery Bridge” เป็นสถิติใหม่ที่ยาวที่สุดในโลกถึง 26.68 เมตร
เดินข้ามสะพานอาจจะเสียวบ้างเล็กน้อย เพราะใต้เท้าเราเป็นพื้นแก้วที่ใสจนมองไปเห็นสีเขียวๆ ของต้นไม้และทะเลสาบเบื้องล่าง ระหว่างเดินถ่ายรูปไป เรียกว่าต้องยอมใจ ป้าๆ ชาวจีนจริงๆ เพราะแต่ละคนโพสท่าทางบนสะพานแบบไม่มีอาการเสียวแม้แต่น้อย
ถ่ายรูปบนสะพานแก้วแล้ว ยังมีทางเลียบหน้าผาที่อยู่ไม่ไกลกันให้ขึ้นไปชมวิวกันต่ออย่างเต็มอิ่ม ซึ่งก็มีทั้งบันไดและทางลาดที่ยาวจนไม่อาจรู้ได้ว่า เริ่มต้นแล้วจะไปสิ้นสุดตรงไหน ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ นั้นอาจจะต้องเกิดอาหารหอบบ้างกับจำนวนขั้นบันไดและระยะทาง แต่ก็นับว่า คุ้มค่ามากที่ได้มาเห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง
เทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เบื้องล่างเป็นทะเลสาบที่พื้นน้ำสะท้อนเป็นสีเขียวมรกต และฉันที่เดินอยู่บน “ทางลอยฟ้า” รู้สึกเหมือนเราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ เท่านั้นท่ามกลางความยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้
หลังจากพักเหนื่อยได้สักระยะ ก็พอจะมีกำลังเดินต่อ เพราะที่อุทยานแห่งนี้ยังมีที่ให้แวะชื่นชมความยิ่งใหญ่อีก นั่นคือ ถ้ำหิน ที่ประดับประดาด้วยไฟหลากสี เดินเข้าไปแล้ว สิ่งแรกที่สัมผัสได้ก็คือความเย็นราวกับเปิดแอร์ ก้อนหินใหญ่ที่ตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ เหล่านั้นก็ยังคล้ายกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกแช่ไว้ในถ้ำ แต่มองให้ดีแล้ว ก็พาให้คิดว่า หินพวกนี้จะมีของแท้ของถ้ำแห่งนี้สักกี่ก้อนกัน
ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติยังมีให้ดื่มด่ำอีกในเบื้องล่าง ลงมาจากเขาสูง ฉันก็มาขึ้นเรือเพื่อนั่งล่องไปชมแก่งหินผาตามทะเลสาบ “Quingshui Lake” ซึ่งแปลว่า ทะเลสาบน้ำใส ภาพข้างหน้าของแต่ละช่วงหินช่างเหมือนกับภาพวาดพู่กันจีนที่ถูกแต้มสีสันให้พื้นน้ำเป็นสีเขียวมรกต
พอถึงช่วงกลางของทะเลสาบ มองขึ้นไป สามารถเห็นสะพานกระจกรูปเกือกม้าลอยเป็นวงอยู่ลิบๆ ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ฉันเพิ่งจะยืนอยู่บนสะพานนั้น
เราใช้เวลาล่องเรือประมาณ 40 นาที พอมองดูเวลาอีกครั้งก็บ่ายคล้อยทีเดียว จากเช้าถึงเย็นที่ใช้เวลาอยู่ที่อุทยานแห่งนี้ ยังไม่ครบที่เที่ยวชมที่เขามีให้เที่ยวเลย
...อีกอย่างที่ประทับใจเหมือนกัน คือห้องน้ำที่อุทยานแห่งนี้ ยังสะอาดดี ต้องขอบคุณความใหม่ที่ทำให้ไม่มีเรื่องสยองใดๆ
เดินทางไกลเมืองแล้ว วันต่อมา ฉันก็ได้เก็บตกที่เที่ยวใจกลางเมืองบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะกระเช้าลอยฟ้าข้ามแม่น้ำแยงซีที่ใครๆ ที่มาถึงเมืองนี้แล้วต้องมานั่งให้ได้หรือจะเป็นพิพิธภัณฑ์เขื่อนสามผา (Chongqing China Three Gorges Museum) ที่รวบรวมประวัติศาสตร์การสร้าง แผนผัง วิถีชีวิต ที่รายล้อมเขื่อนไว้ทั้งหมด ถ้ามีเวลาก็แนะนำให้ไป Guotai Art Musuem ด้วย เพราะมีตึกรูปร่างเก๋ไก๋เอามากๆ
จบทริปนี้แทบลืมไปเลยว่า ก่อนมา ฉันคิดไว้ว่าจะเจออะไรแย่ๆ ตามที่คนอื่นๆ เจอ อาจจะมีเรื่องมารยาททางเสียงตามร้านค้าบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ที่เลวร้าย อีกอย่างเมืองที่ยังสร้างไม่เสร็จดี กลับมีอะไรดีๆ ให้ชื่นชม
ใครคิดจะมาก็รีบๆ ตัดสินใจ ไม่แน่ ป่านนั้น มหานครแห่งนี้อาจจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วก็ได้
........................
การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองฉงชิ่ง มีสายการบินแอร์เอเชียให้บริการทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบิน ตรวจสอบราคาและสำรองที่นั่งได้ที่ www.airasia.com และจากใจกลางเมืองไปหยุนหยางมีรถบัส รถไฟ ที่ใช้เวลาไม่ต่างกันมาก หรือหากไม่สะดวกเดินทางเองสามารถซื้อทัวร์ได้จากในเมือง โดยจะมีไกด์พูดภาษาอังกฤษตลอดการเดินทาง
สอบถามเส้นทางการท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยงฉงชิ่ง ตั้งอยู่บนถนน Pipa Shan Zheng โทร. 023-67755888