สบตา 'บาหลี'
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆ ต่างยกให้"บาหลี"เป็นเกาะสวรรค์แห่งการพักผ่อน
เพราะเท่าที่สัมผัสด้วยสายตาและหัวใจ บาหลีทำให้เราตกหลุมรักง่ายๆ ซะอย่างนั้น
...................
เอาจริงๆ ทริปนี้มันเกิดขึ้นได้เพราะมีใครบางคนชวนไป “วิ่ง” แท้ๆ
อ่านไม่ผิดหรอก ฉันถูกชวนให้ไปวิ่งในงานวิ่งระดับนานาชาติอย่าง AirAsia Bali Beach Run 2015 ที่หาดกูต้า, บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และเพราะเป็นการวิ่งแข่งบนชายหาดครั้งแรกในชีวิต ฉันจึงตัดสินใจไปแบบไม่คิดรีรอ
แต่มากกว่าการเดินทางเพื่อไปเสียพลังงานริมชายหาด ฉันได้สัมผัสกับความงดงามในแง่มุมต่างๆ ที่เป็นบาหลี แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ฉันยืนยันได้ว่า บาหลีคือ “อัญมณีแห่งมหาสมุทรอินเดีย” โดยแท้
บาหลีในความคิดของคุณเป็นยังไง บาหลีในความคิดฉันเป็นยังไง และบาหลีในความจริงแท้เป็นยังไง เราจะได้ไปสัมผัสพร้อมๆ กัน
.........................
ภาพ Liz (จูเลีย โรเบิร์ต) ขี่จักรยานชิลๆ ไปตามถนนเล็กๆ ท่ามกลางท้องทุ่งนาขั้นบันไดที่สวยงามในหนังดัง Eat Pray Love มลายหายไปสิ้น เพราะความจริงที่ฉันได้เห็นอยู่ตอนนี้คือความจอแจของการจราจรที่เข้าขั้น “วิกฤต” เลยทีเดียว
จะไปโทษหนังที่ดูมานานแล้วก็ไม่ถูกนัก เพราะภาพที่เห็นกับสิ่งที่เป็นอยู่มันคนละเมืองกัน Liz ขี่จักรยานอยู่แถว “อูบุด” (Ubud) เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมประเพณีและความเขียวขจีของนาขั้นบันได แต่ฉันกำลังยืนอยู่ในเมืองหลวงเดนปาซาร์ (Denpasar) เขตบาดุง ศูนย์กลางของความเจริญรุ่งเรืองที่เพียบพร้อม ฉะนั้นลบภาพชิล-ช้าแบบในหนังทิ้งไปได้เลย
รถตู้หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอย่างกระทันหัน เสียงกรีดร้องในรถดังลั่น แต่สิ่งที่ฉันเห็นคือคนขับรถส่งสัญญาณขออภัย ส่วนคนขับรถที่วิ่งมาในแนวตรงก็ยกฝ่ามือให้ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกว่า “ไม่เป็นไร” นี่คือน้ำใจบนท้องถนนที่ทำเอาคนมาเยือนฉีกยิ้ม(แต่ไม่ชินกับการเลี้ยวรถแบบนี้นะ)
“คนบาหลีขับรถกันแบบนี้ แต่ไม่มีอารมณ์เสียใส่กันนะ” ซาเดีย ไกด์ประจำทริป บอกเราแบบนั้น ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า
บาหลี (Bali) เป็น 1 ใน 33 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย มีพื้นที่ราว 5,634 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าเกาะภูเก็ตบ้านเรา 10 เท่า แม้จะมีขนาดใหญ่แต่จำนวนประชากรก็ไม่มากมายอะไร คือมีอยู่ราว 3 ล้านกว่าคน ส่วนนักท่องเที่ยวที่วนเข้าวนออกมีอยู่ประมาณ 1 ล้านคนต่อปี เรียกว่ามากจนทำให้บาหลีกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทำรายได้หลักของประเทศเลยทีเดียว
การปกครองในบาหลีแบ่งเป็น 8 เขต คือ เขตบาดุง (Badung), เขตบูเลเล็ง (Buleleng), เขตเกียนยาร์ (Gianyar), เขตทาบานัน (Tabanan), เขตการังกาเสม (Karanggasem), เขตกลุงกุง (Klungkung), เขตเจ็มบรานา (Jembrana) และเขตบังลี (Bangli)
เขตที่เราอยู่นี้เรียกว่า เขตบาดุง เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเดนปาซาร์ และแน่นอนว่า สนามบินนานาชาติก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วย บริเวณนี้มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีหาดทรายสวยงาม ส่วนวัดวาอารามที่สำคัญก็อยู่ไม่ไกล นั่นจึงทำให้เดนปาซาร์เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง โรงแรม รีสอร์ท สปา และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวสารพัด
ทำไมเดนปาซาร์จึงกลายเป็นเมืองที่สำคัญ ซาเดีย บอกว่า ในอดีตบาหลีทำการค้าขายกับชนชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตก โดยมีท่าเรือสำคัญอยู่ที่นี่ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน กระทั่งปี ค.ศ. 1958 เมืองเดนปาซาร์จึงได้กลายเป็นเมืองหลวงของเกาะบาหลีมาจนทุกวันนี้
แม้ผู้คนเกือบทั้งประเทศจะนับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก แต่บาหลีเป็นเกาะเดียวที่นับถือศาสนาฮินดูที่ต่างจากพลเมืองของอินโดนีเซียทั่วไป และนี่เองที่เป็นเสน่ห์ชวนให้ใครต่อใครอยากมาทำความรู้จักบาหลีอย่างจริงจัง
ซาเดียพยายามจะเล่าเรื่องราวในศาสนาฮินดูให้เราฟังอย่างละเอียด แต่เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ มาแต่เช้าตรู่ ทำให้เราเดินทางไปเข้าเฝ้าพระอินทร์(หลับ)แบบไม่รู้ตัว จนกระทั่งถึงที่หมายนั่นแหละจึงได้ยินเสียงปลุกเบาๆ จากไกด์ชาวบาหลี
ปุราลูฮูร์อูลูวาตู (Pura Luhur Uluwatu) เป็นวัดหลักประจำท้องทะเลที่ตั้งอยู่บนสุดปลายผาหินสูงชันถึง 70 เมตร ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของเกาะบาหลีฝั่งตะวันตก บริเวณนี้มีเจดีย์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 โดยนักบวช 2 ท่าน คือเอิมปู กูรูตัน และดังห์ยัง นิราร์ตา ว่ากันว่าดังห์ยัง นิราร์ตา เข้าถึงโมกษะหรือความหลุดพ้น ณ วัดนี้ด้วย
ก่อนเข้าวัด ซาเดียเดินไปหยิบผ้าโสร่งสีม่วงมาให้เพื่อนที่ใส่กางเกงขาสั้น และหยิบผ้าคาดเอวสีเหลืองๆ มาให้เราทุกคนผูกรอบเอวก่อนเดินเข้าวัด เขาว่า นี่คือผ้าที่ชาวฮินดูเชื่อว่าจะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย เมื่อคาดผ้าเรียบร้อยแล้วก็สามารถเดินเข้าวัดอย่างสบายใจ
สัญลักษณ์ของบาหลีอย่างหนึ่งก็คือ “ประตูผ่าซีก” หรือจันดี เบินตาร์ ที่มีความหมายว่า “ความดี-ความชั่ว ที่มีอยู่เท่าเทียมกันในโลก” เราจะพบเห็นประตูลักษณะนี้ได้ในทุกๆ สถานที่ โดยเฉพาะวัด ซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญของชาวฮินดู
ในวัดอูลูวาตูมีประตูผ่าซีกเช่นเดียวกัน แต่ออกจะดูแปลกตาสักหน่อย เพราะไม่ใช่ทรงประตูยอดแหลมแบบทั่วๆ ไป แต่แกะสลักเป็นรูปคล้ายปีกนก ส่วนทางเข้าวัดมีประจำยามเป็นรูปปั้นพระคเนศที่ผู้คนนับถือว่าเป็นเทพผู้ปัดเป่าอุปสรรค ทว่า นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปชมบริเวณวัดด้านใน เราจึงถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกได้เฉพาะด้านนอกนี้
สิ่งที่ต้องระวังเมื่อมาถึงวัดอูลูวาตู คือ ลิง ซึ่งจะมีมากบริเวณตัววัด และบันไดที่เดินเลียบขอบเขา ลิงพวกนี้มักจะ “วิ่งราว” สมบัติของนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา กล้องถ่ายรูป หมวก สร้อย หรือกระเป๋าเล็กๆ น้อยๆ ที่ถือติดมือมา ไม่ว่าอะไรที่มันคว้าได้ก็จะคว้า จนไกด์ต้องเตือนว่า ระมัดระวังให้ดี แน่นอนว่า มีนักท่องเที่ยวถูกวิ่งราวแทบทุกนาทีที่เราก้าวเดิน
จริงๆ วัดนี้เหมาะแก่การมาเยือนในยามเย็น เพราะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกสวยที่สุดแห่งหนึ่งในบาหลี แต่เพราะเรามีนัดดินเนอร์กันแถวๆ หาดจิมบารัน (Jimbaran Beach) ซึ่งมีทัศนียภาพที่โรแมนติกไม่แพ้กัน เราจึงรีบออกเดินทางเพื่อไปให้ถึงหาดก่อนรัตติกาลจะเริ่มต้น
ชายหาดจิมบารันคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ มีร้านอาหารซีฟู้ดมากกว่า 10 ร้านตั้งเรียงกันไป ที่ชายหาดมีโต๊ะเก้าอี้จัดเป็นชุดๆ แทบทุกชุดมีคนจองไว้แล้ว ส่วนเราเองก็โทรมาจองล่วงหน้าเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงต้องยืนต่อคิวรอหน้าร้านเหมือนร้านดังๆ ในบ้านเราแน่ๆ
ก่อนอาหารจะเดินทางมา เราออกไปถ่ายรูปที่ริมหาดกันเล็กน้อย แล้วก็พบว่ามีรถเข็นขายข้าวโพดปิ้งตั้งทิ้งระยะกันไม่ไกลเต็มไปหมด สงสัยว่าจะเป็นเมนูโปรดของนักท่องเที่ยว เราเลยจัดไป 2 ฝัก คิดค่าเสียหายฝักละ 10,000 รูเปียห์ หรือราว 30 บาทเท่านั้น รสชาติจัดว่า “ผ่านฉลุย”
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครๆ ก็มาดินเนอร์ที่หาดจิมบารัน เพราะอาหารซีฟู้ดที่นี่รสดีเด็ดจริงๆ ทั้งกุ้ง หมึก ปลา หอย ทุกอย่างทำอะไรอร่อยหมด อิ่มกับของคาวแล้วอยากได้น้ำมะพร้าวมาลูบท้องบ้าง ฉันสั่งน้ำมะพร้าวไปโดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ จากเพื่อนร่วมโต๊ะ สุดท้ายจึงได้รู้ว่า น้ำมะพร้าวที่นี่รสชาติจืดชืดสิ้นดี เข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนๆ ไม่แนะนำ แต่...ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก จริงมั้ย
เช้าวันใหม่อากาศสดใส และก็เยือกเย็นเกินกว่าจะเชื่อได้ว่านี่คือเกาะที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ดูจากพยากรณ์อากาศมาจากเมืองไทย Forecast หลายสำนักยืนยันตรงกันว่าเราจะต้องเจอฝน แต่...แดดเปรี้ยงขนาดนี้ ไม่มีทีท่าว่าเราจะต้องใช้ร่มที่เตรียมมาเลย
หลังภารกิจวิ่งเพื่อทดสอบหัวใจของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เรามีเวลาเดินเล่นสักพัก ฉันจึงเลือกออกเดินเท้าไปบน หาดกูต้า (Kuta Beach) ศูนย์รวมสารพันกิจกรรมทางน้ำ โดยเฉพาะการเล่นกระดานโต้คลื่น
หาดกูต้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของบาหลี ที่นี่เป็นด่านแรกที่ต้อนรับชาวต่างชาติที่มาเยือนบาหลีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 จนกระทั่งเริ่มมาเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักเล่นกระดานโต้คลื่นและเหล่าบุปผาชนในช่วงทศวรรษ 1960 จากวันนั้นมาหาดกูต้าก็กลายเป็นหาดยอดนิยมจนนักท่องเที่ยวทุกคนพลาดไม่ได้
ยืนดูนักท่องเที่ยวสำลักน้ำจากกิจกรรมโต้คลื่นจนหนำใจ ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งที่อยู่ใน เขตทานาบัน ซึ่งซาเดียบอกว่าต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
คุ้มค่ากับการผจญโค้งที่คดเคี้ยวมานับร้อยโค้งจริงๆ เพราะ ทะเลสาบบราตัน ที่อยู่ตรงหน้า งดงามราวกับว่าเป็นสระน้ำในสรวงสวรรค์
บนแผ่นน้ำผืนกว้าง เบื้องหลังคือภูเขาสลับซับซ้อนที่ทอดยาว หมอกขาวที่ลอยระเรี่ยช่วยเติมเต็มภาพธรรมชาติให้สมบูรณ์สวยงาม ฉันเดินตามซาเดียไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านประตูผ่าซีกเข้าไป แล้วก็พบว่ามีเจดีย์ที่สวยงามที่สุดตั้งอยู่ริมทะเลสาบแห่งนั้น
ปุราอูลันดานูบราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) หรือวัดอูลันดานู ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบบราตัน โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาไฟสูงทะมึน วัดนี้สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อใช้ทำพิธีทางศาสนาพุทธและฮินดู รวมทั้งอุทิศแด่เทวี ดานู เทพแห่งสายน้ำ
วัดแห่งนี้มีลักษณะเด่นอยู่ตรงศาลา ซึ่งเป็นหลังคาทรงสูงที่เรียกว่า “เมรุ” มุงด้วยฟางซ้อนกันถึง 11 ชั้น ความสวยงามที่เห็นทำให้วัดอูลันดานูถูกจัดให้เป็นวัดที่สวยที่สุดในบาหลี และมักจะมีการถ่ายภาพโฆษณาการท่องเที่ยวของบาหลีที่นี่เสมอ
เราเดินเลาะซ้ายขวาเพื่อหามุมบันทึกภาพดีๆ แต่เพราะมีนักท่องเที่ยวมากมาย จึงทำได้แค่หลบไปนั่งรอดูอยู่ใต้ต้นไม้ไกลๆ
ซาเดีย บอกว่า ชาวบาหลีเชื่อในธรรมชาติว่ามีพลังและเชื่อในจิตวิญญาณว่าทุกๆ สิ่งจะมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ ต้นไม้ สายน้ำ หรือแม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ เหล่านี้ล้วนมีความสำคัญและมีวิญญาณที่เราควรให้ความเคารพ
หลังจากนั่งพักสักครู่ก็ได้เวลาเดินทางกลับ จริงๆ ในโปรแกรมที่ซาเดียวางไว้จะต้องไปเยือน ปุราทานาลอต (Pura Tanah Lot) หรือ วัดทานาลอต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายหาดริมทะเลด้วย แต่เพราะเวลาที่เหลืออยู่ไม่ค่อยอำนวย ซาเดียจึงเปลี่ยนแผนให้เราแวะแค่สวนกาแฟริมทาง พร้อมกับให้ข้อมูลวัดแบบชวนเสียดายว่า
วัดทานาลอต เป็นวัดที่สร้างแบบยื่นลงไปในทะเลเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล ซึ่งคำว่า ทานา แปลว่า โลก ส่วน ลอต แปลว่า ทะเล เชื่อกันว่าวัดแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการบรรจบกันของธรรมชาติและจักรวาล
วัดนี้สร้างโดยนักบวชฮินดู ชื่อว่า ดัง ฮยัง นิราร์ธา ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 ซึ่งลักษณะของการสร้างนั้นเป็นการสร้างบนโขดหินที่มีรูปร่างคล้ายเกาะเล็กๆ เวลาน้ำขึ้นจึงดูเหมือนว่าวัดแห่งนี้อยู่กลางทะเล แต่เวลาน้ำลงก็สามารถเดินไปที่ตัววัดได้ นักท่องเที่ยวนิยมไปชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ และก็อีกเช่นกัน วัดทานาลอตเป็นภาพที่ปรากฏอยู่ตามสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของบาหลีมากมาย
ก่อนปิดท้ายทริปอย่างจริงจัง เรามีโอกาสแวะไปสวนกาแฟและต้นโกโก้ที่อยู่ริมทางด้วย จริงๆ พื้นที่ให้เที่ยวชมมีไม่มากนัก แต่ด้วยการจัดเส้นทางที่วนวกมา ทำให้ดูเหมือนสวนมีขนาดใหญ่ แถมยังได้เดินชมแปลงเกษตรจนทั่วพื้นที่
อินโดนีเซียขึ้นชื่อเรื่องกาแฟรสดี รวมถึงกาแฟขี้ชะมดที่โด่งดัง วันนี้เราได้มาเห็นทั้งต้นกาแฟ ทั้งตัวชะมด รวมถึงขี้ชะมดที่เป็นเมล็ดกาแฟ แน่นอนว่า เราต้องได้ชิม
จากการลิ้มลองเพียงจิบเดียว ฉันยกให้กาแฟขี้ชะมดที่ดอยช้าง จังหวัดเชียงราย ชนะเลิศ อาจเพราะกรรมวิธีการชงของบาหลีที่ละลายผงกาแฟกับน้ำร้อน ทำให้ยังมีเศษผงกาแฟที่ตกค้างรำคาญลิ้น เวลาดื่มกินจึงไม่ได้รสอร่อยอย่างที่คาดหวัง แต่ฉันออกจะถูกใจชารสต่างๆ มากกว่า เพราะหอมหวลชวนดื่มมากๆ ทั้ง ชากระเจี๊ยบ ชาตะไคร้ ชาขมิ้น ชาคาราเมล ฯลฯ เรียกว่าชิมจนอิ่มเลยนั่นแหละ
ได้เวลากลับแล้วจริงๆ สิ่งที่ติดไม้ติดมือกลับบ้านกลับไม่ใช่กาแฟขี้ชะมดอันโด่งดัง แต่เป็นชารสจางๆ กับช็อคโกแลตแสนอร่อย เงินรูเปียห์ที่แลกมาเพียงเล็กน้อยได้ใช้ประโยชน์สูงสุดก็ที่นี่เอง
ถึงตรงนี้ฉันได้คำตอบให้กับตัวเองแล้วว่า บาหลีในความคิดของฉันเป็นยังไง อาจไม่เหมือนกับที่หลายๆ คนคิด เพราะบาหลีมี “จริต” ที่ชวนหลงรักสำหรับฉันจริงๆ
....................
การเดินทาง
สายการบินไทยแอร์เอเชีย มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ(ดอนเมือง) และจากภูเก็ต ประเทศไทย บินตรงไปยังเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ทุกวัน นักท่องเที่ยวที่สนใจสอบถามตารางการบินได้ที่ โทร. 0 2515 9999 หรือ www.airasia.com
การเดินทางในบาหลีมีทั้งรถประจำทางขนาดเล็กที่เรียกว่า บีโม และชัตเตลบัส ที่วิ่งประจำเส้นทางสำคัญๆ หรือจะเลือกใช้บริการแท็กซี่ก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบมิเตอร์และแบบเหมา ส่วนใครที่จะไปท่องที่ยวในต่างเมืองแนะนำให้ใช้บริการรถเช่า ทั้งมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ แต่ต้องมีใบขับขี่สากลด้วย รถยนต์พร้อมคนขับที่เป็นไกด์ไปในตัวก็ประหยัดดี เพราะจะสันทัดเส้นทางกว่า ทำให้ไม่เสียเวลามาก (ราคาเช่าต่อวันประมาณ 1,500 บาท)
นักท่องเที่ยวไทยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าบาหลี เพียงมีพาสปอร์ตที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก็สามารถท่องเที่ยวได้ในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน สำหรับการแลกเงิน แนะนำให้แลกเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐไปแล้วค่อยไปหาร้านแลกเป็นเงินอินโดนีเซียรูเปียห์(IDR) จะสะดวกกว่า