มาดพยัคฆ์ : เสียงวอยซ์โอเวอร์ จากแชมป์มวยโลกที่ 3

ชีวิตของสามารถ พยัคฆ์อรุณ เป็นชีวิตที่มีเสน่ห์มากพอที่จะสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์ที่สนุก ๆ
หน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของต่างประเทศเมื่อช่วงปี 2529 ได้พาดหัวข่าวถึง สามารถ พยัคฆ์อรุณ ไว้ว่า ‘Third World Champion’ (แชมป์โลก ‘โลกที่ 3’) ในวันที่เขาได้เป็นแชมป์โลกของสภามวยโลก
พาดหัวข่าวนี้ บอกอะไรได้หลายอย่างในเรื่องการต่อสู้ฝ่าฟันชีวิตของคนในโลกที่สาม ไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหนของโลก ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนชีวิต เพื่อขยับฐานะตัวเองขึ้นมา ซึ่งมันมีไม่กี่ทางเลือกหรอกที่จะขึ้นมาถึงจุดสูงสุด ถ้าไม่ใช่เพราะการศึกษา ก็ต้องเป็นเรื่องกีฬา ซึ่งต้องใช้ร่างกายของตนเองเป็นต้นทุนที่สำคัญ
นี่เป็นเสน่ห์ของเรื่องราวของ ‘บุคคลสำคัญ’ ในประเทศโลกที่ 3 (คำนี้ แฝงนัยยะของการเหยียดจากโลกตะวันตก-ที่อ้างว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วมาก ๆ) ที่ต้องหาจุดเปลี่ยนให้ชีวิต เพื่อก้าวไปสู่การเป็นคนที่มีสปอตไลท์ส่องหน้า ลองนึกถึงนักฟุตบอลระดับโลกที่ผ่านชีวิตลำบากแล้วได้มีโอกาสไปเป็นนักเตะดังในลีกระดับโลกแล้วจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า แต่ละก้าวที่พวกเขาเดิน มันมี ‘รอยแผล’ ระหว่างทางที่นับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่บิ๊วให้เกิดอารมณ์ ‘ดราม่า’ ได้ไม่ยากนัก
ชีวิตของสามารถ พยัคฆ์อรุณ จึงเป็นชีวิตที่มีเสน่ห์มากพอที่จะสร้างออกมาเป็นภาพยนตร์ที่สนุก ๆ ซึ่ง Now Studio ได้อำนวยการสร้างหนังสารคดีว่าด้วยชีวิตของของยอดมวยไทยผู้นี้ผ่านภาพยนตร์เรื่อง ‘มาดพยัคฆ์’ ได้ นรชาย กัจฉปานนท์ ที่เคยกำกับหนังสืออย่าง ‘ฝันไม่ไกล ต้องไปให้ถึง’ ที่พูดถึงเด็กชายชาวเขาที่อยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ ซึ่งวิธีคิดในการทำหนังที่ผ่านมามันมีเคมีตรงกับการทำหนังเรื่องนี้พอดี
จะบอกว่า ‘มาดพยัคฆ์’ คือหนังสารคดีในความหมายที่เข้าใจกันว่า เป็นการใช้วัตถุดิบจริงทั้งหมดอย่างพวก ฟุตเทจข่าวเก่า ๆ หรือภาพที่ถ่ายจากบรรยากาศจริง แต่มันเต็มไปด้วยการเซ็ตขึ้นมาของตัวละครและฉากเพื่อให้ได้ฉากที่ร้อยเรียงไปกับเส้นเรื่องที่เป็นคำบรรยาย (Voice Over – วอยซ์โอเวอร์) ของตัวสามารถ พยัคฆ์อรุณเอง
ถ้ามองว่า มันเป็นการเล่าเรื่องเพื่อนำเสนอชีวิตจริงในอีกมุมหนึ่งของสามารถ การเรียกหนังว่า ‘สารคดี’ ก็คงจะไม่ผิดนัก ซึ่งเสียง ‘เหน่อ ๆ’ ดูกร้านชีวิตของสามารถที่เล่าเรื่องตัวเองตั้งแต่สมัยอยู่บางประกง อยู่ในครอบครัวที่ยากจน จนต้องออกจากโรงเรียนมาซ้อมมวย จนประสบความสำเร็จในวันนี้ มันทำให้รู้สึกว่าหนังมันดูเพลิน ๆ จังหวะของหนังเหมาะที่จะเป็นสารคดีทางทีวีอย่างมาก
แต่พอมาเป็นหนังโรง มันก็เล่าเรื่องสนุก ไม่เลวนัก เพราะสูตรการเล่าเรื่องของ ‘มาดพยัคฆ์’ เป็นจังหวะที่ตรงตามขนบการเขียนบทหนังตาม ‘สูตร’ ที่เริ่มจากการปูเรื่องให้รู้จักกับสามารถ พยัคฆ์อรุณ (พื้นเพครอบครัวที่ยากจน ลาออกจากโรงเรียนมาต่อยมวย), เข้าสู่ปมขัดแย้งของเรื่อง (แพ้ในการต่อยมวย และพอเริ่มเป็นแชมป์โลก ถูกกล่าวหาว่าถูกล้มมวย), สู่ไคลแมกซ์ของเรื่อง (ถูกกล่าวหาว่าล้มมวย ออกไปบวช กลับมาพิสูจน์ตัวเอง – สปอยล์ได้ ขนาดในวิกิพีเดีย มีประวัติของสามารถ พยัคฆ์อรุณ) จนมาสู่จุดสุดท้ายของเรื่อง อันเป็นบทสรุปว่า เส้นทางที่ผ่านมา ทำให้ ‘พยัคฆ์หน้าหยก’ มีวันนี้
เพราะพยายามเดินตามโครงเรื่องแบบ ‘สูตร’ มากเกินไป ทำให้หลายเรื่องที่น่าจะถูกขยี้มาให้สนุกกว่านี้ กลับหลุดออกไปอย่างน่าเสียดาย อย่างเช่น สามารถในยุคที่เป็นหนึ่งในป๊อปไอดอลของป๊อป คัลเจอร์แบบไทย ๆ ในยุค 2530s ที่สามารถไปเล่นหนัง เล่นละคร และออกเพลงดัง อย่างเพลง ‘อ่อนซ้อม’ หรือ ‘น้ำพริกปลาทู’ กลับไม่ได้ถูกพูดถึงในหนัง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่ก็เข้าใจว่า ธีมหนังอยากจะพูดถึงการต่อยมวยที่ลุมพินีและมวยสากลสมัครเล่นมากกว่า
เสียงวอยซ์โอเวอร์บรรยายชีวิตของสามารถ เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของหนัง เป็นข้อดีในแง่ที่ว่า ข้อดีคือ ‘เสียง’ ของสามารถ ทำให้คนทำหนังจัดการกับเส้นเรื่องเล่านี้ได้ชัดเจน แต่เพราะมีเสียงวอยซ์โอเวอร์ของสามารถมากจนเกินไป ทำให้ตัวหนังมันเทน้ำหนักไปทาง ‘อัตชีวประวัติ’(Autobiography) ทำให้เสียงเล่าเรื่องพูดถึงตัวเองดูเอนเอียงจนชีวิตสามารถมัน ‘สว่างและสะอาด’ จนเกินไป ทั้งทีในบางเรื่องในสังเวียนผ้าใบ บางทีมันก็มี ‘สีเทา’ แฝงอยู่ และในอีกมุมหนึ่ง สามารถคือนักชกเจ้าสำราญที่ค่อนข้าง ‘อ่อนซ้อม’ (แบบชื่อเพลงดังของเขา) แต่กลับไม่มีเสียงตรงกันข้าม ที่บอกเล่าเรื่องนี้ออกมาให้ชีวิตคน ๆ หนึ่งดูมีมิติมากขึ้นกว่านี้
ลองนึกถึงหนังสือ Jobs ของวอลเทอร์ ไอแซกสัน ที่เล่าเรื่องสตีฟ จอบส์ ทั้งในมุมมองบวกและลบ แบบที่นักเขียนไม่ได้ประนีประนอมกับความ ‘บิ๊กเนม’ ของเจ้าพ่อแอปเปิ้ล แล้วหนังสือมันอ่านสนุกเป็นบ้า จะเห็นได้ว่า ‘มาดพยัคฆ์’ อาจจะไปได้ไกลกว่านั้น หากมีเสียงวอยซ์โอเวอร์จากคนอื่น(ที่มองในมุมต่าง)ออกมามากกว่านี้
เพราะจุดพีคของหนัง มันกลับไปอยู่ที่ตอนพักเสียงบรรยายของสามารถ ไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนนักมวยที่เคยอยู่กินและต่อยมวยบนเวทีเดียวกัน แล้วมาพูดคุยถึงเรื่องราวเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วว่า ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบนเวที ซึ่งแค่ได้เห็นหน้าของยอดมวยในยุคนั้น อย่าง ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ (พี่ชายของสามารถ), ดีเซลน้อย ช.ธนะสุกาญจน์ หรือ สด จิตรลดา ก็คุ้มค่าสำหรับคอมวยในยุคนั้นแล้ว
ฉากที่เข้าไปจับภาพที่สามารถพูดคุยกับพวกเขาเหล่านี้ เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างประหลาด เพราะมันดูไม่เหมือนการเซ็ตขึ้นมาแบบสคริปต์วอยซ์โอเวอร์ แต่มันเหมือนการได้ดูเพื่อนเก่า เพื่อนรักเพื่อนแค้นนั่งคุยกันในวันที่ศึกสงครามมันสงบลง ที่ไม่ต้องแต่งแต้มใด ๆ ก็สวยงามได้
อันที่จริง ในภาพรวมของ หนัง ‘มาดพยัคฆ์’ ตัวหนังไม่ได้แย่อะไรหรอกครับ ดูเพลิน ๆ ตลอด 90 นาทีที่เล่าเรื่อง คือคนจะมองว่าหนังแนวสารคดีคงจะไม่สนุก แต่ผมว่าในแง่นี้ สามารถเอาอยู่
โดยเฉพาะกับคนในรุ่นที่วัยเด็กโตมากับมวย ‘สายตา’ ในแบบสามารถ พยัคฆ์อรุณ การกลับมาเห็นเขา มาเห็นชีวิตที่เขาเคยเดินผ่านที่มีทั้งขึ้นและลง มองเห็นว่าฮีโร่ของเราในวันนี้เป็นอย่างไร
ผมว่ามันก็คุ้มแล้วล่ะ...