อุดร-หนองคาย กับผู้ชายกลางสายฝน
หลังจากได้ลองพาจักรยานพับไปลองขึ้นดอยแล้วประสบความสำเร็จ
ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าติดใจดี หรือเสพติดความทรมานอันเกิดจากการใช้จักรยานผิดประเภทดี เพราะรถพับที่คนตีค่าว่าเป็นดั่ง ‘ซิตี้คาร์’ ทว่าถูกใช้งานแบบ ‘ออฟโร้ด’ นั้นนอกจากจะไม่ตอบโจทย์แบบ Road Bike และ MTB ยังสร้างความหวั่นใจได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริป ความรู้สึกแบบนี้ชวนตื่นเต้นดีทีเดียว
ความสุขจากอะดรินาลีนที่หลั่งเมื่อครั้งได้ขึ้นดอย ทำให้ต้องแสวงหาความตื่นเต้นครั้งใหม่เพื่อดื่มด่ำกับสารแห่งความสุขอีกครั้ง ทว่ากว่าจะสุขก็มีความทรมานแถมมาด้วยเสมอ...
ผมเคยไปปั่นจักรยานที่อุดรธานีและเขียนเล่าถึงของดีที่ซ่อนอยู่ในจังหวัดน่ารักๆ แห่งนี้แล้ว (ในเรื่อง ‘อุดร...ซ่อนของดี’ ลองหาอ่านย้อนหลังได้ในเว็บกรุงเทพธุรกิจนะจ๊ะ) คราวนี้ที่ได้กลับไปเยือนอีกครั้งจึงลองหาเส้นทางอื่นที่ไม่เน้นว่าจะไปเจอของดีอะไรมากมาย แต่หวังจะเจอประสบการณ์ระหว่างทางมากกว่า ถนนมิตรภาพจากอุดรสู่หนองคายจึงเป็นเส้นทางปั่นครั้งนี้
ได้ยินมาว่าเส้นทางนี้มีนักปั่นท้องถิ่นใช้เป็นประจำโดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์ นักปั่นจากอุดรจะปั่นไปหนองคาย สำหรับคนที่นั่น...นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่ทำให้ผมแปลกใจคือทำไมในวันที่ผมปั่น กลับไม่มีเงานักปั่นคนอื่นให้เห็น (อุตส่าห์เลือกวันอาทิตย์) แต่พอก้มมองน้ำเจิ่งนองบนพื้นถนนที่สะท้อนเมฆดำทะมึนบนผืนฟ้า ก็พอเข้าใจแล้วว่า “ใครจะบ้า ปั่นจักรยานกลางฝน”
...ก็มีแต่เราสินะที่บ้า
พอรู้ตัวว่าบ้า ความกล้าก็มาทันที แม้ไม่มีเพื่อนร่วมทาง แต่ไม่แน่ว่าอาจจะได้เจออะไรดีๆ ระหว่างทางก็เป็นได้ จักรยานพับที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยึกยักปั่นก็ค่อยๆ แล่นไปตามไหล่ทางถนนสายนี้อย่างช้าๆ และระมัดระวัง
การปั่นจักรยานในฤดูฝนแบบนี้ ถ้าจะให้ปลอดภัย ต้องจอดจักรยานไว้บ้าน (ฮา) ไม่ใช่สิ ถึงจะปั่นจักรยานก็ปลอดภัยได้ อย่างแรกคือต้องตรวจเช็คสภาพจักรยานให้พร้อม จุดสำคัญคือ ยางกับเบรค เพราะในสภาพที่ถนนเปียกลื่น หากเบรคไม่ดีหรือยางเสื่อมสภาพ รับรองว่าจะได้เห็นจักรยานไถลแถ่ดๆ แน่นอน ถึงอุบัติเหตุจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่ไม่ประมาทจะดีกว่า ผมเองก็ไม่ประมาท ตรวจเช็คทุกอย่างว่าอยู่ในสภาพดี แถมยังพกอุปกรณ์ซ่อมแซมติดตัวไปด้วยชุดใหญ่
อาจเช้าเกินไป แค่ปั่นออกมาได้ไม่ถึงสิบกิโลเมตร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โครก...คราก...”
เสียงท้องร้องเป็นสัญญาณเตือนว่าพลังงานเดิมที่กินไว้เมื่อคืนใกล้หมดแล้ว นอกจากมองเส้นทาง สายตาของผมจึงมีอีกหน้าที่คือสอดส่ายหาร้านค้าเพื่อจะซื้อของกิน แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ถนนสายนี้แทบไม่มีร้านรวงเปิดเลย ถึงมีร้านก็ยังไม่เปิด นั่นแหละครับอย่างที่บอกไปว่า “อาจเช้าเกินไป” ผมจึงต้องทนหิวปั่นต่อไป
และในที่สุด ก็เจอร้านค้าที่เปิด ผมรีบลงทันที แม้คุณน้าเจ้าของร้านจะยังอยู่ในชุดนอนสีพาสเทล บวกกับหน้าตางัวเงีย จะไม่ทำให้บรรยากาศครึกครื้นสักเท่าไร แต่ขนมและนมถั่วเหลืองที่ได้จากร้านนี้ก็ทำให้ผมคึกคัก มีพลังปั่นต่อไป นี่ยังนึกขอบคุณคุณน้าคนนั้นในใจอยู่เลยว่าถ้าไม่เปิดร้าน ผมคงหมดแรงข้าวต้ม (รอบดึกเมื่อคืน) จนไปไม่ถึงจุดหมายแน่ๆ
สำหรับการปั่นจักรยานซึ่งเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิค คือ เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หัวใจและกล้ามเนื้อจะทำงานตลอดเวลา ดังนั้นการเผาผลาญพลังงานจึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ควรปล่อยให้ร่างกายรู้สึกหิวหรือกระหายน้ำ เพราะอาการหิวและกระหายน้ำคือสัญญาณเตือนที่ไม่ดีแล้ว ให้ถือคติว่า ‘กินก่อนหิว ดื่มก่อนกระหาย’ จะดีที่สุด
ผมปั่นต่อมาได้พักใหญ่ ปลายหางตาเหลือบไปเห็นบางอย่างขาวๆ ใหญ่ๆ พอหันไปมองเท่านั้นแหละครับ ถึงกับต้องจอดรถแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันเลยทีเดียว เพราะนี่คือแลนด์มาร์คที่นักปั่นอุดร-หนองคายต้องแวะแชะภาพกับหลักกิโลยักษ์บอกตำแหน่งว่ามาถึงกิโลเมตรที่ 19 แล้ว แต่หลักกิโลนี้อยู่ฝั่งขาเข้าอุดร ผมจึงต้องถ่ายจากอีกฝั่งถนนหนึ่ง แต่ก็ยังเห็นหลักกิโลนี้ได้เด่นชัด...ก็เพราะมันใหญ่มาก
หลังจากตื่นเต้นไปกับหลักกิโล ก็นึกขึ้นได้ว่าเรายังเหลือระยะทางอีกเพียบ ถ้ามัวแต่แวะนู่นแวะนี่ตลอดก็คงไปถึงหนองคายช้า จากปั่นเนิบๆ กลายเป็นเร่งมากขึ้น เพราะเมฆดำทะมึนกำลังจะกลั่นตัวเป็นเม็ดฝนอีกครั้ง เห็นท่าไม่ดีแบบนี้ก็ต้องรีบหนีสินะ
แต่ยิ่งปั่นหนีก็เหมือนรีบไปให้ถึงกลุ่มเมฆนั้น และในที่สุดก็เป็นไปตามคาด ฝนตกอย่างไม่ปราณี เรียกได้ว่า “ฝนตกห่าใหญ่” แต่ผมเลือกที่จะปั่นไปกลางสายฝน ถึงจะเปียกชื้นและหนาวเหน็บ ก็ยังดีที่ไม่ร้อนด้วยแดดสาย
สายฝนเริ่มซา และหยุดพร้อมๆ กับที่ผมมาถึงอีกหนึ่งแลนด์มาร์ค นั่นคือป้ายพญานาคที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ แต่ไม่แน่ใจว่าทางจังหวัดหนองคายไม่มีนโยบายดูแลภูมิทัศน์หรืออย่างไร ป้ายนี้จึงถูกกลบสายตาด้วยหญ้ารกๆ เบื้องล่าง คืออันที่จริงก็ดูเขียวสบายตาดีนะ แต่ทำให้ป้ายนี้ไม่โดดเด่น
ผมอ่านข้อความบนป้าย “หนองคาย เมืองน่าอยู่ ริมฝั่งโขง” แล้วก็ตื่นเต้นดีใจ เพราะนี่หมายความว่าผมเข้าสู่จังหวัดหนองคายแล้ว แต่อย่าเพิ่งดีใจไป เพราะพอดูระยะทางที่ปั่น บวกลบคูณหารแล้ว ยังเหลือระยะทางอีกเกือบครึ่งกว่าจะไปถึงจุดที่ผมจะเรียกได้เต็มปากว่ามาถึงเมืองพญานาคแห่งนี้จริงๆ
ระหว่างที่เดินทางต่อ ฝนตกอีกครั้ง และคราวนี้หนักกว่าเดิม มิหนำซ้ำผมยังเจอกับถนนที่กำลังซ่อมแซมอีกหลายกิโลเมตร จากเร่งจึงกลายเป็นปั่นเรื่อยๆ อย่างระวัง...
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ความจริงใกล้เข้ามาทุกที เพราะผมปั่นมาจนถึงแยกพญานาคบอกตามตรงว่าไม่รู้ทำไมถึงเรียกแยกพญานาค แต่พอปั่นผ่านแยกมานิดเดียวก็ร้องอ๋อทันที เพราะตรงนั้นเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองซึ่งศาลหลักเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้าน พ่อค้า ข้าราชการ ชาวหนองคาย เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นอนุสรณ์แห่งความสามัคคี แน่นอนว่าที่นี่มีอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับพญานาคเต็มไปหมด
จากศาลหลักเมืองไม่ไกลนัก คือตัวเมืองหนองคาย และใกล้ๆ กันคือท่าเสด็จย่านการค้าริมโขง ที่ผมถือเป็นจุดหมายปลายทาง
ผมกับจักรยานมาแอ็คท่าถ่ายรูปกันตรงริมฝั่งโขง ความรู้สึกตอนนั้นไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่เท่าไร พอทบทวนดูก็เป็นทริปที่ควรจะเหงามากด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่ผมมีสายฝนแวะเวียนมาเป็นเพื่อนเกือบตลอดทาง มาทักกันหนักบ้าง เบาบ้าง นอกจากตัวจะชื้น ใจก็ยังชื้นด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าถนนมิตรภาพสายนี้นอกจากจะพาผมมาจากอุดรสู่หนองคาย ยังพาให้ผมได้รับประสบการณ์ดีๆ อีกด้วย