กรุงเทพฯ เมืองใต้น้ำ?

กรุงเทพฯ เมืองใต้น้ำ?

กรุงเทพมหานคร เหมือนอยู่ในห้วงฝันร้าย เพราะอีก 15-20 ปี ในวันข้างหน้า กรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำนั่นเอง นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?

จากการเปิดเผยของสถาบันเวิลด์วอทช์ที่ศึกษาวิจัยด้านสภาพแวดล้อมทั่วโลกที่ระบุว่า เมืองต่างๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทั่วโลกจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ นั่นคือการไหลบ่าของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เมืองต่างๆ เกิดน้ำท่วมอย่างถาวร นอกจากนี้แล้วการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก ทั้งปัญหาอุณภูมิโลกที่สูงขึ้น การก่อตัวของพายุที่รุนแรง ตลอดจนการละลายของหิมะอันเนื่องจากปัญหาโลกร้อน สิ่งเหล่านี้ยิ่งจะทำให้เมืองต่างๆ ทั่วโลกที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่ง จะต้องพบกับปัญหาที่ใหญ่หลวงนี้อย่างแน่นอน

และในจำนวนเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่ถูกระบุว่าจะต้องจมน้ำ...“กรุงเทพมหานคร” ของเราก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย

แม้ว่าจะมีหลายสถาบันทั้งของต่างประเทศและในประเทศจะทำการศึกษาปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกหลายสาเหตุที่กำลังจะทำให้กรุงเทพฯ ต้องจมอยู่ใต้น้ำ นอกเหนือจากปัญหาต่างๆ ที่ทำให้กรุงเทพฯต้องเผชิญกับปัญหาที่สำคัญนี้

โดยส่วนมากแล้ว สาเหตุต่างๆ ที่มักจะเปิดเผยกับสื่อแขนงต่างๆ นั้น ก็มักจะมุ่งเน้นไปเรื่องปัญหาโลกร้อนหรือปัญหาเรือนกระจกที่ส่งผลให้หิมะในขั้วโลกเหนือเกิดการละลาย และทำให้ปริมาณของน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศของโลก รวมถึงการทำลายธรรมชาติต่างๆ ในโลกโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งปมเหตุเหล่านี้มักจะถูกหยิบยกมาพูดถึงบ่อยครั้ง

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้กรุงเทพฯ จะต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมอย่างถาวรในอนาคต โดยสาเหตุหนึ่งที่สำคัญก็คือ...การทรุดตัวของผืนดินในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลนั่นเอง ซึ่งมันจะส่งผลโดยตรงและทำให้กรุงเทพฯ ต้องจมน้ำภายในเวลา 20-25 ปี อย่างแน่นอน

จากการร่วมมือโดยทุนวิจัยร่วมไทย-ยุโรป หรือ Thailand EC Cooperation Facility (ETC) ภายใตชื่อโครงการ GEO2TECDI-SONG ที่มีภาควิศกรรมสำรวจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการวิจัยในฐานะฝ่ายประเทศไทย และมี ศ.ดร.เฉลิมชนม์ สถิระพจน์  และ รศ.ดร.อิทธิ ตริสิริสัตยวงศ์ เป็นผู้นำทีมวิจัย ก็เป็นอีกโครงการที่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการทรุดตัวของพื้นดินของกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง การเพิ่มขึ้นของทำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ล้วนส่งผลแก่กัน และกลายเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้กรุงเทพฯ ต้องจมน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้แล้วข้อมูลจากการวิจัยในโครงนี้ ยังจะทำให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเมืองหลวง และจังหวัดใกล้เคียง ได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้เกิดการศึกษาครั้งใหญ่ เพื่อตั้งรับและหาหนทางป้องกันแก้ไขกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งนักวิชาการไทยที่มีบทบาทอย่างมากในการวิจัยเรื่องนี้ก็คือ ศ.ดร.เฉลิมชนม์ นั่นเอง

ศ.ดร.เฉลิมชนม์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีและโท สาขาวิศวกรรมสำรวจ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับทุนปริญญาขั้นสูงจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปศึกษาต่อและจบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมสำรวจด้านงานรังวัดดาวเทียมจีพีเอส ที่มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ ประเทศออสเตรเลีย

ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำที่ภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีประสบการณ์ในงานรังวัดดาวเทียมจีพีเอสหลายโครงการทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งได้เขียนบทความทางวิชาการและบทความวิจัยที่เกี่ยวกับงานรังวัดดาวเทียมจีพีเอสตีพิมพ์ในที่ประชุมวิชาการและวารสารทั้งระดับชาติและนานาชาติรวมกว่า 80 บทความ

นอกจากนี้ยังเคยได้รับรางวัลบทความวิจัยดีเด่นหลายบทความจากประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และไทย ได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของประเทศไทยประจำปี 2550 และล่าสุดได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติสาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ประจำปี 2555 จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช) ด้วย

แผ่นดินทรุดทุกปีที่กรุงเทพฯ

ศ.ดร.เฉลิมชนม์ ได้เปิดเผยถึงเบื้องหลังโครงการวิจัย GEO2TECDI-SONG ที่ร่วมมือกันระหว่างไทยกับยุโรปว่า ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2546 และสิ้นสุดการวิจัยในปี 2556 ใช้ระยะเวลาทั้งหมด 10 ปีด้วยกัน

“การวิจัยครั้งนี้เราใช้เครื่องมือหลายๆอย่างทั้งการตรวจวัดในพื้นที่ การสร้างแบบจำลองทางธรณีฟิสิกส์ การใช้ดาวเทียมเรดาร์แสดงค่าทรุดตัวของพื้นดินในกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลที่ได้รับมานั้นถูกต้องตามความเป็นจริงทุกอย่าง โดยเราวิจัยส่วนอื่นที่มีส่วนเชื่อมโยงกันด้วย นอกเหนือจากการวิจัยการทรุดตัวของพื้นดินในกรุงเทพฯ แล้ว ยังวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของนำทะเลในอ่าวไทย และการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่ส่งผลต่อเปลือกโลกบริเวณประเทศของเราด้วย”

ศ.ดร.เฉลิมชนม์ บอกถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นดินบริเวณกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงเกิดการทรุดตัวว่ามีสาเหตุอยู่หลายประการ เช่น เนื้อดิน ซึ่งดินในกรุงเทพฯ นั้นจัดเป็นดินเหนียวอ่อน เพราะเป็นดินปากอ่าวหรือดินปากแม่น้ำ ทำให้เปลี่ยนรูปได้ง่ายเมื่อมีน้ำหนักกดทับ ซึ่งต่างจากดินแข็ง การกดทับจากสิ่งก่อนสร้างขนาดใหญ่มากมาย เนื่องการขยายตัวของกรุงเทพฯ และจังหวัดที่อยู่รอบนอก เพราะกรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงและเป็นศูนย์รวมของความเจริญทางด้านต่างๆ จึงทำให้มีคนเข้ามาใช้ชีวิตอยู่เป็นจำนวนมากร่วมๆ 5,692,284 กว่าคน ซึ่งสิ่งที่ติดตามมาก็คือการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั้งขนาดใหญ่และเล็กมากมาย นอกจากนี้แล้วการขยายตัวจังหวัดรอบนอกก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการที่พื้นดินของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นดินประเภทดินเหนียวอ่อนรับน้ำหนักจากวัตถุสิ่งก่อสร้างมากมายเช่นนี้ จึงทำให้ดินทรุดตัวลงทุกปี

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดินทรุดตัวทุกปีเนื่องจากมีการใช้น้ำจากใต้ดิน โดยเฉพาะการขุดเจาะน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ทั้งการบริโภค และอื่นๆ นอกจากนี้แล้ว ปัจจุบันมีการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อโรงงานอุตสหกรรมต่างๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดรอบๆ จึงส่งผลอย่างมากกับการทรุดตัวของดิน

อัตราทรุด 25 มิลลิเมตรต่อปี

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พื้นดินกรุงเทพฯ ทรุดลงทุกปี ซึ่งในอนาตอันใกล้นี้จะทำให้ส่วนต่างระหว่างแผ่นดินกรุงเทพฯ กับน้ำทะเลบริเวณปากอ่าวไทยไม่ห่างกันมากนัก

จากผลการศึกษาพบว่าน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มสูงขึ้น 4-5 มิลเมตรต่อปี ส่วนบริเวณที่ใกล้กับปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะแถวๆ สมุทรปราการนั้น อัตราการเพิ่มของน้ำทะเลจะสูงขึ้น 5 มิลเมตรต่อปี

ส่วนการทรุดตัวของพื้นดินบริเวณนี้รวมทั้งชายฝั่งของกรุงเทพฯ ในช่วง10 ปีที่ผ่านมานั้น มีอัตราการทรุดตัวลง 25 มิลเมตรต่อปี ดังนั้นในอนาคตอันใกล้นี้ แผ่นดินบริเวณกรุงเทพฯ กับระดับของน้ำทะเล เกือบจะอยู่ในระนาบเดียวกัน

นอกจากนี้แล้ว ศ.ดร.เฉลิมชนม์ บังบอกอีกว่า ส่วนที่สัมพันธ์กันที่ส่งผลต่อการทรุดตัวของแผ่นดินก็คือ พื้นที่ส่วนใหญ่ในภูมิภาคบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเคลื่อนตัวอย่างฉับพลันเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวใหญ่สุมาตรา-อันดามันขนาด 9 ริกเตอร์เมื่อปี พ.ศ.2547 แล้วหลังจากนั้นยังตรวจพบว่ามีการเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องหลังแผ่นดินไหวอีกด้วย ซึ่งในบริเวณประเทศไทยการเคลื่อนตัวในทางราบและลดระดับของแผ่นเปลือกโลกมีอัตรา 10 มิลลิเมตรต่อปี

 

แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือการลดระดับทางดิ่งของเปลือกโลกหลังแผ่นดินไหวตรวจพบอัตราถึง 10 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งการลดระดับนี้เป็นผลจากกระบวนการธรณีฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นในชั้นเปลือกโลกระดับตื้นใต้ภูมิภาคนี้ ถึงแม้ว่าการลดระดับของเปลือกโลกจะค่อยๆ สิ้นสุดลงในอนาคต แต่มันอาจทำให้ความสูงของผิวดินบริเวณกรุงเทพฯ ลดต่ำลงอีก 5-10 เซ็นติเมตร นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะแผ่นดินกรุงเทพฯ กับน้ำทะเลมันแทบจะอยู่ในระดับเดียวกันนั่นเอง

จากข้อมูลที่ผ่านการสำรวจอย่างถูกต้องดังกล่าว ศ.ดร.เฉลิมชนม์ ยังอธิบายอีกว่า ผลลัพธ์จากโครงการ GEO2TECDI ไม่เพียงแต่จะแสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามของระดับน้ำทะเลปรากฏในพื้นที่กรุงเทพฯ และชายฝั่งใกล้เคียงเท่านั้น แต่ยังให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับหน่วยงานและผู้ดูแลกำกับนโยบายที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทรุดตัวของแผ่นดิน การป้องกันชายฝั่ง และที่สำคัญก็คือการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ

แผ่นดิน-น้ำทะเล-กรุงเทพฯ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทุกวันนี้ คนกรุงเทพฯ จะรู้สึกทันทีว่า เวลาฝนตกลงมาทีไรจะเกิดน้ำท่วมขังตามถนนสายต่างๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าบางครั้งฝนจะตกไม่มากก็ตาม เกี่ยวกับประเด็นนี้ ศ.ดร.เฉลิมชนม์ ได้ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

โดยธรรมชาติของน้ำแล้ว จะไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ เมื่อก่อนคนกรุงเทพฯไม่ค่อยจะพบกับปัญหาเหล่านี้ที่หนักหนาสาหัสเหมือนกับทุกวันนี้ เพราะเวลาฝนตกลงมามากๆ จะระบายลงเจ้าพระยาออกสู่ทะเลได้เร็วกว่าในปัจจุบัน จึงไม่เกิดนำท่วมขัง เนื่องจากระดับพื้นดินมันสูงกว่าระดับน้ำทะเล แต่ในทุกวันนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ....เพราะเมื่อแผ่นดินทรุดตัวลง และในขณะเดียวกันระดับน้ำทะเลก็สูง มันจึงทำให้ส่วนต่างระหว่างแผ่นดินกับน้ำทะเลมีไม่มาก แทบจะเท่าๆ กันเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้แหละ ในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เวลาฝนตกลงมาทีไรน้ำจะต้องท่วมขังทันที การระบายน้ำก็ทำลำบากมากขึ้น เนื่องจากการระบายออกสู่แม่น้ำและทะเลไม่ค่อยได้ผลแล้ว ต่อให้มีท่อส่งน้ำขนาดใหญ่หรืออุโมงค์ยักษ์ก็ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้จะเห็นเลยว่าฝนตกลงมาจะปรากฏว่ามีน้ำขังทุกครั้ง

นั่นคือคำตอบสำหรับคนกรุงเทพฯ ที่มีความสงสัยว่า ทำไม่ทุกวันนี้เวลาฝนตกมักจะเกิดน้ำท่วมขังตามถนนสายต่างๆ ให้เห็น ทั้งๆ ที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้น

ปัญหาใหญ่ในอีก20-25ปี

ศ.ดร.เฉลิมชนม์ ยอมรับว่า ปัญหาเกี่ยวกับแผ่นดินทรุดและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นทุกปี จะส่งผลกระทบกับกรุงเทพฯ อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างถาวรตามที่เป็นข่าว และทำให้คนกรุงเริ่มวิตกกันมากขึ้น เนื่องจากวันเวลา 20-25 ปีนั้น มันไม่ยาวนานแต่อย่างใดเลยนั่นแหละ

“การแก้ปัญน้ำหรือป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ในอนาคตอันใกล้นั้น ตอบบอกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก และเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเริ่มศึกษาและวางแผนหาทางป้องกันตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น”

สำหรับการแก้ปัญหานั้น ศ.ดร.เฉลิมชนม์ บอกว่า เพราะมันเป็นปัญหาใหญ่ จะต้องมีการวางแผน มีการศึกษา และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องนี้นั้น ทางหนึ่งก็คือให้ศึกษาการแก้ปัญหาจากประเทศอื่นๆ ที่ต้องเจอกับปัญหาในลักษณะนี้ที่เขาทำสำเร็จได้ อย่างเช่นประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีระดับน้ำทะเลสูงกว่าพื้นดิน แล้วเขาใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการ คิดโครงการ Delta Worksขึ้น ด้วยการสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลขนาดใหญ่ สร้างประตูระบายน้ำ รวมทั้งคันดินกั้นน้ำด้วย โดยความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้ของเนเธอร์แลนด์ ถือเป็นโมเดลหนึ่งที่ประเทศของเราควรศึกษาและนำมาเป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหาได้

ส่วนอีกหนทางในการแก้ไขปัญหาก็คือ การย้ายเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี เพราะกรุงเทพฯเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น อีกอย่างก็เป็นศูนย์กลางแทบทุกอย่าง ดังนั้นการย้ายเมืองหลวง แม้ว่าจะทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่และไม่ง่ายเลย

จากภาพที่ถ่ายทอดออกมาทั้งหมดนั้น จะเห็นว่าการคุกคามของปริมาณน้ำทะเลเข้ามาสู่ผืนดินชายฝั่งกรุงเทพฯ สาเหตุหลักที่แท้จริงนั้น มิใช่แต่ปัญหาเกี่ยวกับโลกร้อน และทำให้หิมะจากขั้วโลกละลายลงสู่มหาสมุทรจนทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้น และการเปลี่ยนแปงของสสภาพดินฟ้าอากาศเท่านั้น

แต่สาเหตุหลักที่เกิดขึ้นและยากที่แก้ไขอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทรุดตัวของแผ่นดินกรุงเทพฯ และการเลื่อนตัวของเปลือกโลกนั่นเอง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่จะต้องหาทางป้องกันแก้ไขอย่างทันทีทันใด

แล้วคนกรุงเทพฯเตรียมพร้อมหรือยัง?