Takuapa My Home (ตะกั่วป่า มาย โฮม)
ตัวอย่างรูปแบบกิจกรรม 'รักบ้านเกิด' ที่ผูกคนรุ่นบรรพชน คนรุ่นหนุ่ม-สาว คนรุ่นเยาว์ เข้าไว้ด้วยกัน
มีหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้คนต้องจากถิ่นฐานบ้านเกิด เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไปศึกษาต่อต่างถิ่นแล้วจำเป็นต้องทำงานที่นั่น เพราะ ‘บ้านเกิด’ ไม่มีตำแหน่งงานว่างมากพอจะรองรับตามวุฒิการศึกษาที่เรียนมา คนวัยหนุ่ม-สาวบ้างถูกสภาพเศรษฐกิจ ดินฟ้าอากาศ ความเป็นอยู่อันแร้นแค้น บีบบังคับให้ดิ้นรนไปหางานทำต่างถิ่น เพื่อส่งรายได้กลับมาจุนเจือพ่อแม่
บ้านเกิดบางแห่งจึงถูกละเลย เหลือเพียงคนเฒ่าคนแก่อยู่โยง บางแห่งเรื้อร้างขาดการพัฒนา
มีตัวอย่างคนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งของจังหวัดพังงา ที่ไม่ยอมให้ ‘บ้านเกิด’ อันเป็นที่รักของพวกเขา ถูกทอดทิ้งไปตามกาลเวลา หรือเกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นบรรพบุรุษของชุมชนและเด็กรุ่นหลาน พวกเขานำความทรงจำจากอดีตกลับมาเชื่อมต่อกับเวลาปัจจุบันด้วย โครงการ Takuapa My Home (ตะกั่วป่า มาย โฮม) นำเสนอภาพถ่ายชีวิตชุมชนโดยฝีมือช่างภาพร่วมสมัย จัดแสดงภายในห้องแถวเก่าแก่ซึ่งปลูกด้วยสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสซึ่งตั้งอยู่บนถนนศรีตะกั่วป่า ต.ตะกั่วป่า อ.เมือง จ.พังงา ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่สอง
หนึ่งในทีมงาน ‘ตะกั่วป่า มาย โฮม’ อมรินทร์ เสริมศิริมานนท์ เล่าให้ฟังว่า ผู้ริเริ่มก่อตั้งโครงการนี้คือ ต๊ะ-ทวีโรจน์ เอี๋ยวพานิช มีความคิดอยากให้คนตะกั่วป่าที่ไปใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่อื่นกลับมารักบ้านเกิด อยากจัดอีเวนต์เพื่อให้คนรุ่นใหม่กลับมาเยี่ยมเยือนบ้านเกิดบ่อยครั้งขึ้นและมากขึ้น
"น้องต๊ะเป็นนักธุรกิจและเป็นลูกหลานชาวตะกั่วป่า รู้จักกับพี่ลูกน้ำ (สุคนธ์ สีมารัตนกุล) ซึ่งเป็นเพื่อนแม่เขา คุยกับพี่ลูกน้ำซึ่งรู้จักดารารู้จักสื่อ ส่วนผมทำงานถนนสายวัฒนธรรมอยู่แล้ว ต๊ะก็มาคุยกัน พอจะเป็นไปได้ไหม ก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ต๊ะก็ประสานงาน เริ่มจัดงานครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยมีพี่ลูกน้ำช่วยเต็มที่ จนได้ช่างภาพพี่โจ-สุรัตน์ (จริยวัฒนวิจิตร) ซึ่งเป็นคนที่นี่อีก พี่ใหญ่-อมาตย์ (นิมิตภาคย์) พี่น้าชำ(ชำนิ ทิพย์มณี) ก็มาช่วยกันถ่ายรูปตะกั่วป่าในแง่มุมต่างๆ"
โครงการ 'ตะกั่วป่า มาย โฮม' ปีนี้นำเสนอในคอนเซปต์ ตำนานที่ยังหายใจ (The Living Legends of Takuapa)
‘ตำนาน’ เป็นคำที่มักใช้กับสิ่งที่เป็นอดีต หรือสิ่งที่ดับสูญไปแล้ว ตะกั่วป่าเป็นเมืองโชคดีมากที่ยังมีบุคคลซึ่งเป็นตำนาน เป็นส่วนสำคัญของเมือง และยังมีชีวิตอยู่หลายท่าน ‘ตะกั่วป่า มาย โฮม’ ได้หยิบเรื่องราวบุคคล 5 คนมานำเสนอ เพื่อให้เยาวชนและเด็กรุ่นใหม่ ได้ทราบคุณงามความดี และให้ผู้ชมนิทรรศการได้กลับไปสะท้อนย้อนคิดถึงบรรพบุรุษตนเอง เด็กตะกั่วป่าที่ได้ไปเรียนในเมืองหลวง เมื่อถึงงานเทศกาล หรือปิดเทอม ลูกหลานหลายคนได้ละเลย หรือบางคนไม่เคยมีโอกาสรับรู้ นิทรรศการครั้งนี้จึงเป็นการแสดงภาพที่สะกิดใจให้หลายคนระลึกถึงบรรพบุรุษและรากเหง้าของตนเอง เพื่อให้จิตวิญญาณของบรรพชนไม่สูญหาย และเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนเล็งเห็นความสำคัญของคนซึ่งอยู่ที่บ้านก่อนใครคนหนึ่งจะกลายเป็นภาพที่แขวนอยู่บนฝาผนัง
หนึ่งใน ‘ตำนานที่ยังหายใจ’ 5 คน ชาวตะกั่วป่ารู้จักกันในนาม แป๊ะฮี หรือนาย ทมี ศรีดวงจันทร์ คนรุ่นใหม่ขนานนามให้ว่า 'ตะกั่วป่า บาริสต้า' แป๊ะฮีคลุกคลีกับกาแฟและไอน้ำร้อนมาตั้งแต่เด็ก เดิมเป็นลูกจ้างร้านกาแฟ เมื่อเจ้าของร้านหยุดชงกาแฟ แป๊ะฮีก็รับช่วงร้านกาแฟมาทำต่อ เพื่อนที่เคยวิ่งเล่นซุกซนด้วยกันก็กลายมาเป็นคอกาแฟประจำร้าน
แป๊ะฮีเล่าถึงการชงกาแฟสมัยราคาแก้วละ 4-5 สตางค์ ให้ฟังว่า สั่งซื้อเมล็ดกาแฟจากกรุงเทพฯ ล่องมาทางเรือแล้วมาขึ้นที่ ‘ย่านยาว’ นำมาคั่วเอง-บดเอง ลูกค้าชอบหวานต้องใส่น้ำตาลทรายเพิ่มจากเดิมที่ใส่แต่นมข้น และต้องลวกแก้วกาแฟให้ร้อนอีกด้วย
ขณะนี้แป๊ะฮีอายุ 87 ปี หยุดชงกาแฟมาแล้ว 20 ปี ใช้ชีวิตเรียบง่าย ยามว่างแป๊ะฮีจะเปิดประตูเหล็กพับของห้องแถวที่เคยเป็นร้านกาแฟไว้ครึ่งหนึ่ง หยิบเก้าอี้ออกมานั่งดูชีวิตความเป็นไปบนท้องถนนที่ผ่านไปผ่านมาราวกับนั่งดูโทรทัศน์
อีก 4 ตำนานที่ยังหายใจ ได้แก่ ภาพสองคุณหมอสามีภรรยา พิทักษ์-ทวีศิริ วัฒนศิริ รักษาดูแลคนตะกั่วป่ามานับไม่ถ้วน หลายครั้งแถบไม่มีเวลานอน เพราะจำนวนคนป่วยมีมากกว่าหมอหลายเท่าตัว, อี๋หลุย-กัลยารัตน์ ลิ่มสกุล ช่างทำผมยุคบุกเบิก ทำผมได้จากการเป็นผู้ช่วย เข้ากรุงเทพฯ ลับคมวิชาทำผมพักหนึ่งก็กลับมาสร้างสรรค์ความงามให้ชาวตะกั่วป่า ตัดเย็บเสื้อผ้าก็ได้เพราะมีหนังสือเป็นโรงเรียน มีลูกค้าเป็นคุณครู ทุกวันนี้ป้าหลุยก็ยังเป็นช่างทำผม, อี๋เฉ้ง-วิภา ทองลิ่ม คุณครูซึ่งสนใจจัดดอกไม้ จึงเปิดร้านหนังสือพร้อมจัดดอกไม้, แปะหยิน-นิวัตน์ อภัยทาน วิศวกรเหมืองแร่ตั้งแต่วัยเยาว์ ทำงานให้กับเหมืองใหญ่ๆ ของตะกั่วป่ามากมาย เป็นคนสร้าง ‘สะพานเหล็ก’ (ข้ามแม่น้ำตะกั่วป่า) ถอดเหล็กจากเรือขุดแร่มาสร้างสะพานแห่งนี้ เหมืองแร่คืออาชีพหลักที่ทำให้ตั้งตัวได้ของคนพังงา เป็นจังหวัดที่เคยส่งภาษีได้อันดับสองของประเทศอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ภาพถ่ายขาว-ดำ ชุด ‘ตำนานที่ยังหายใจ’ เป็นฝีมือลั่นชัตเตอร์ของ กนดิส ลาภวณิชชา ศิลปินสายเลือดตะกั่วป่า
ลึกเข้าไปจัดแสดงภาพถ่ายธีม Cast Away เล่าชีวิตคนจีนซึ่งเดินทางมาทางทะเลและสร้างตัวที่ตะกั่วป่า อาชีพกรีดยางของคนในท้องถิ่น ถ่ายภาพโดย สุรัตน์ จริยวัฒนวิจิตร ช่างภาพแฟชั่น ซึ่งใช้คำบอกเล่าจากปู่ที่ว่า “พวกเธอเกิดมาสบายแล้ว ไม่ต้องต่อสู้มากมาย” มาเป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพ ทุกรูปเหมือนตากล้องกำลังอยู่ในท่าก้มกราบ หรือคุกเข่าคารวะบรรพชนที่เป็นผู้สร้าง สร้างทุกอย่างจากมือเปล่า กว่าจะเป็นบ้าน กว่าจะเป็นเมือง กว่าจะเป็นตะกั่วป่า “พี่บูชาความเหนื่อยยากนั้น” เป็นข้อเขียนที่คุณสุรัตน์อธิบายการทำงานถ่ายภาพชุดนี้
ผลงานภาพถ่ายชุด 'คนในความทรงจำ' เป็นฝีมือการแต่งหน้าและถ่ายภาพของลูกหลานชาวตะกั่วป่า ลูกน้ำ-สุคนธ์ สีมารัตนกุล ได้ชักชวนคนดังในวงการบันเทิง หน่อย-บุษกร, ลูกเกด-เมทินี, เอเลี่ยน-กัญญณัท, อุ๋ม-อาภาศิริ, โยเกิร์ต-รวีวรรณ สวมใส่เครื่องแต่งกายชุด บาบ๋า ย่าหยา ตะกั่วป่า ซึ่งใช้เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่มีอายุ 100 ปี เป็นภาพถ่ายที่มีสีสันสวยงาม เผยลายผ้าและเครื่องประดับงามระยับตา นอกเหนือจากนี้คุณลูกน้ำยังได้คัดเลือกสตรีชาวตะกั่วป่า ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเยาว์ มาแปลงโฉมเปลี่ยนลุคให้กลายเป็น สตรีตะกั่วป่าในสมัยยุคเหมืองแร่ โดยใช้โทนภาพถ่ายสีซีเปียร์ดูคลาสสิก
ร่วมด้วยภาพถ่ายประเพณียิ่งใหญ่ของชุมชน ภาพชุดงานประเพณีถือศีลกินผัก-ประเพณีอิ่มบุญเก้าบาท พิธีจุดประทัดนับล้านนัดและพิธีแห่พระรอบชุมชน กับเมื่อถึงเวลาแปดค่ำจะปิดถนนอีกครั้งเพื่อให้คนซื้อจานในราคาเก้าบาท แล้วเดินกินอาหารได้ทุกร้าน (ปีนี้มีจำนวน 199 ร้าน) ตั้งใจทำให้คนมีความสุข ภาพถ่ายชุดนี้แสดงฝีมือโดยช่างภาพท้องถิ่น
ด้านในสุดของห้องจัดแสดงผลงานภาพถ่ายชุด บ้านของก๋ง ภาพถ่ายเล่าเรื่องชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางมาเมืองตะกั่วป่า เพื่อตามหาความทรงของตนเองที่มีกับ ‘ก๋ง’ ถ่ายภาพโดย อมาตย์ นิมิตภาคย์ โดยมีดาราหนุ่ม พีรกร โพธิ์ประเสริฐ ร่วมเป็นนายแบบถ่ายภาพตามมุมต่างๆ ของตะกั่วป่า ช่วยให้ภาพถ่ายมีเรื่องราว กับผลงานภาพถ่ายอีกชุดภาพถ่ายนายแบบเซ็กซี่สไตล์ใหญ่-อมาตย์ แต่เล่นเทคนิคสีสันสนุกสนานแบบป๊อพอาร์ต ตกแต่งบริเวณแสดงภาพด้วยโคมสีแดงนับสิบโคม สื่อถึงตะกั่วป่ายุคเหมืองแร่รุ่งเรือง มีโรงแรม-สถานบันเทิงมากมาย
ข้ามถนนไปยังห้องแถวฝั่งตรงข้าม คุณอมรินทร์แปลงโฉมบ้านตนเองเป็น โรงหนังกลั่นแก้ว(จำลอง) โรงหนังชื่อดังในอดีตของชุมชน ซึ่งปิดกิจการไปแล้วหลายสิบปี แต่ถ้าถามคนตะกั่วป่า อัมรินทร์บอกว่า ทุกคนยังคงมีความทรงจำและยังคิดถึงโรงหนังแห่งนี้เสมอ
อมรินทร์นำกลิ่นอายของ ‘โรงหนังกลั่นแก้ว’ กลับมาอีกครั้งจาก ใบปิดหนัง และ เครื่องฉายหนัง ที่ใช้ตกแต่งสถานที่
“โปสเตอร์หนังที่เห็นเป็นโปสเตอร์จริงที่ลุงคนที่เก็บไว้ให้เอามาใช้ นี่คือเครื่องฉายหนังจริง ตอนโรงหนังยุบ ลุงเกียรติเสียดาย จึงซื้อไปเก็บไว้ในโกดัง พอลุงทราบว่าเราเปิดโรงหนังนี้ จึงกรุณาให้ขอยืมมาจัดแสดง” อมรินทร์ กล่าว
ส่วนหนังที่จัดฉายจริงในโรงหนังกลั่นแก้ว(จำลอง) เป็น ‘หนังสั้น’ เกี่ยวกับตะกั่วป่า ความยาว 7 นาที จำนวน 3 ตอน ตอนแรกเป็นตัวอย่างหนังคนพูดรักตะกั่วป่า ตอนที่สองเป็นเบื้องหลังการทำงานแต่งหน้าและถ่ายภาพชุดของคุณลูกน้ำ ตอนที่สามเป็นช่วงเวลาของบุคคลทั้งห้าจาก ‘ตำนานที่ยังหายใจ’ พูดความรู้สึกถึงคนรุ่นหลัง
งาน ตะกั่วป่า มาย โฮม ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคมที่ผ่านมา แม้งานจบลงไปแล้ว แต่ถ้ายังมีคนสนใจมาชมนิทรรศการภาพอย่างต่อเนื่อง คณะผู้จัดงานก็ยังจะเปิดให้เข้าชม คุณอมรินทร์กล่าวและว่า แต่ไม่สามารถจัดแสดงได้ถาวร เนื่องจากความชื้นของสถานที่ เกรงจะทำให้ภาพขึ้นรา
"ที่วางแผนไว้ก็คือ มีการคุยกับนายอำเภอ อำเภอเก่าของตะกั่วป่ามีอยู่ห้า-หกห้อง แต่ใช้งานอยู่ห้องเดียว เราประสานงานกับนายอำเภอท่านจะเตรียมห้องเอาไว้เก็บรูปเหล่านี้ และจัดนิทรรศการให้"
‘ตะกั่วป่า มาย โฮม’ เป็นรูปแบบการทำงานที่ผูกคนรุ่นบรรพชน รุ่นหนุ่ม-สาว รุ่นเยาว์ เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนำคนตะกั่วป่าที่ไปไกลบ้าน...กลับบ้าน กลับมาร่วมกันสร้างสรรค์ชุมชน สืบทอดวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ยังทำให้ ‘ตะกั่วป่า’ เป็นที่รู้จักในวงที่กว้างขึ้นด้วย
และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ ตั้งต้นโครงการ ‘มาย โฮม’ ของตนเอง