ชุมชนมุสลิม อีกแรงที่ร่วมสร้างกรุงเทพฯ

กำลังสร้างเมืองหลวงของไทย ไม่ได้มีแค่จีน ญวน ลาว มอญ ฯลฯ ยังมีมุสลิมเป็นกำลังสำคัญ
ในบรรดาชนหลากเชื้อชาติศาสนาที่รวมกันเป็นประชากรของ “กรุงเทพฯ” หนึ่งในกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญอย่างที่จะมองข้ามไปเสียไม่ได้ คือ กลุ่มชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ด้วยอยู่คู่กับเมืองมาตั้งแต่ครั้งแรกเริ่มจะก่อตั้งกรุง
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งสร้างกรุงธนบุรีนั้น มีชาวมุสลิมที่มีรากเหง้ามาจากชุมชนมุสลิมจากกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนาง อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายแห่ง เช่น ชุมชนบริเวณริมคลองบางกอกใหญ่และบางกอกน้อย ผู้นำในชุมชนหลายคนได้เป็นขุนนางข้าราชการราชสำนักระดับสูงในสมัยธนบุรีต่อเนื่องมาจนถึงรัตนโกสินทร์
ในระยะต้นรัตนโกสินทร์ มีการกวาดต้อนพลเมืองชาวมุสลิมจากปัตตานีเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพระนครส่วนหนึ่ง กับอีกส่วนที่อยู่ทางด้านนอกเมืองกระจายไปตามลำคลองขุดใหม่ทางตะวันออกอีกหลายแห่ง
ชุมชนมุสลิมถือเป็นอีกกำลังพลเมืองที่ร่วมสร้างพระนครในครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เช่นเดียวกับผู้คนที่อพยพเคลื่อนย้ายมาจากหัวเมืองประเทศราชอื่นๆ เช่น ชาวลาว ทวาย มอญ เขมร จาม ญวน และชาวจีน ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานปะปนอยู่กับชาวสยาม และทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรม อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ นักวิชาการ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ กล่าวว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่า มีการติดต่อค้าขายกับประเทศต่างๆ ทำให้มีคนหลากชาติพันธุ์อยู่รวมกัน อาทิ คนจีนที่มีอยู่เกือบครึ่งเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกกลุ่มสำคัญคือชาวมุสลิมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่เริ่มแรก และยังเป็นกลุ่มที่มีฝีมือในงานช่าง โดยเฉพาะงานช่างทอง ทำให้ได้รับความไว้วางใจให้รับราชการจนมีตำแหน่งระดับสูง เรียกได้ว่าชุมชนชาวมุสลิมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างกรุงเทพฯ ไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่นๆ
“ปัจจุบันเรามีปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ มุสลิมก็ถูกเพ่งเล็ง อีกฝ่ายหนึ่งก็มีการพูดถึงเรื่องราวที่เป็นตำนานรวมกับความเชื่อที่ว่ามุสลิมในกรุงเทพฯ ถูกกวาดต้อนเข้ามาโดยเอาเชือกล่ามเอ็นร้อยหวาย ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างความชอบธรรม สนับสนุนการกระทำทางการเมืองในสามจังหวัด กระบวนการทำให้เกิดความรุนแรงคือ การฝังประวัติศาสตร์เข้าไป แต่ปัจจุบันความเชื่อเรื่องนี้ค่อนข้างจะน้อยแล้ว เพราะมีการตื่นตัวศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนมุสลิมในกรุงเทพฯ มากขึ้น”
ย้อนอดีตมุสลิมกรุงเทพฯ
“บางลำพูสมัยก่อนมุสลิมก็อยู่เยอะ อพยพมาจากใต้ เชื้อสายปัตตานี สมัยก่อนมุสลิมกับพุทธอยู่ด้วยกัน สุเหร่าอยู่คู่กับวัด ต่างศาสนาก็เผื่อแผ่กันได้ มัสยิดจักรพงษ์สมัยก่อนชื่อมัสยิดวัดตองปุ (ชื่อเดิมของวัดชนะสงคราม) พอมีพ.ร.บ.อิสลามเราก็นำชื่อถนนจักรพงษ์มาใช้เป็นมัสยิดจักรพงษ์ เป็นมัสยิดที่เดียวที่มีแต่ชื่อไทยไม่มีชื่อภาษาอาหรับ” โอภาส มิตรมานะ จากชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ อธิบาย
โอภาส เล่าว่า นานกว่า 60 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ย่านบางลำพู ได้เห็นคุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ และเพื่อนร่วมชุมชนเข้าไปทำงานในโรงกษาปณ์ โดยเฉพาะงานช่างที่ต้องใช้ฝีมือชั้นสูงอย่างการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ
“คุณปู่ก็เป็นช่างทองในวังทำงานถวายมาตลอด คุณพ่อเป็นช่างทองในโรงกษาปณ์เดิม (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า) คนมุสลิมในชุมชนจักรพงษ์ก็จะเข้าไปทำงานในโรงกษาปณ์กันหมด ทำเครื่องทองของหลวง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ คุณพ่อทำเครื่องราชฯ ซ่อมเครื่องราชฯ คุณแม่ก็ทำงานในวัง แต่เป็นที่น่าเสียดาย เพราะเยาวชนในชุมชนของเราไม่มีใครมาสืบต่องานช่างที่เราเคยทำอยู่เยาวชนรุ่นใหม่ไม่ใส่ใจงานฝีมือแบบนี้ เพราะเรื่องอื่นเข้ามาในหัวหมด เรื่องการทำงานฝืมือไม่อยากคิดกันแล้ว งานช่างทองไม่ใส่ใจ บางครอบครัวก็มีการอพยพหรือการย้ายถิ่นฐานออกไปบ้าง อีกอย่างคือการท่องเที่ยวเริ่มเข้ามา ประเทศไทยเราเวลานี้หมกมุ่นกับเรื่องการท่องเที่ยวมากไป อะไรก็ท่องเที่ยวหมด พาวัฒนธรรมเหลวแหลก อย่างมัสยิดผมมีโรงแรมไปแจ้งความว่าเปิดเสียงอาซานหนวกหูแขกจะนอน ผมบอกว่าผมทำมาร้อยกว่าปีแล้ว”
สมนึก หมัดมอญ จากมัสยิดตึกดิน เสริมว่า ชาวมัสยิดตึกดินก็ทำงานในโรงกษาปณ์หลายคน ตั้งแต่รุ่นคุณพ่อที่เรียนรู้การแกะพิมพ์เหล็ก พิมพ์ทองจากอาจารย์ช่างชาวเยอรมัน ก่อนที่จะถ่ายทอดต่อมายังรุ่นลูก และได้ฝากฝีมือการแกะสลักพิมพ์เหรียญต่างๆ ไว้มากมาย แม้แต่ “เหรียญพระ” ดังๆ หลายรุ่นก็มาจากฝีมือการแกะพิมพ์ของช่างชาวมุสลิม
“อย่างเหรียญพระสังฆราชรุ่นแรก เหรียญหลวงพ่อเกษม เหรียญพระดังๆ หลายองค์นี่มุสลิมแกะเกือบทั้งนั้นเลย เพราะชุมชนเรามีฝีมือในการแกะบล็อคเหรียญได้สวยงามและมีความคมชัดอย่างมาก ทำให้เป็นที่นิยมของคนทั่วไป”
ทำนุ เหล็งขยัน จากมัสยิดตึกดินเช่นกัน เล่าว่า ที่ผ่านมาชุมชนมุสลิมและพุทธอยู่ร่วมกันได้บนพื้นฐานของการพึ่งพาอาศัยและความเข้าใจซึ่งกันและกัน
“ทำไมเราสนิทกับพุทธ เพราะว่าพระก็เข้าใจอิสลามนะ เรามีสวดมนต์ตอนตีห้า มีการเปิดเสียงอาซานให้คนมาสวดมนต์ ผมเคยถามพระว่าจะให้ปิดไหม พระจะทำวัตรเสียงเราจะรบกวนไหม ท่านบอกไม่เป็นไร เช้าก็ต้องตื่นเหมือนกัน ต่างคนต่างทำศาสนกิจ คนทั่วไปก็ตื่นมาทำมาค้าขาย อยากจะบอกว่าการเป็นมุสลิมเราไม่ได้มีความแปลกแยก ไม่ได้มีความรุนแรง ผมเป็นมุสลิม แต่ผมก็เป็นคนไทย ทุกวันนี้พยายามให้ชุมชนได้รับการเหลียวแล มีพื้นที่ในสังคม เราอยากจะให้รู้รากของพื้นที่ว่าเป็นพื้นที่อะไร ไม่ใช่มีกฎหมายจะไล่ใครก็ได้ อันนี้ไม่ถูก”
หริณ สิริคาดีญา จากมัสยิดมหานาค เล่าว่า ย่านมหานาค เดิมทีเป็นตลาดผลไม้ และเป็นย่านที่พำนักของตระกูลขุนนางที่ทำงานในวัง โดยเฉพาะงานช่างฝีมือเกี่ยวกับเครื่องประดับและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ขณะที่มัสยิดมหานาคเอง ก็เป็นแหล่งวิชาความรู้ในหลายสาขา มีการสอนภาษาอาหรับและมลายู หรือแม้แต่วิชาดาราศาสตร์
“ภรรยาท่านโต๊ะครูส่วนใหญ่จะทำขนมหวาน ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง คุณยาย คุณป้า คุณแม่ผมก็ทำ สมัยก่อนใครแต่งงาน ใครทำบุญของทางพุทธก็มาสั่งขนมที่นี่ เพราะมีความชำนาญทางด้านนี้ ปัจจุบันก็ยังมีอาหารการกินเยอะ ที่มีชื่อคือแกงเปรี้ยว แกงกุรหม่า ที่จะทำในช่วงเทศกาลวันสำคัญ วันตรุษทางศาสนาอิสลาม”
หริณ ย้อนความหลังให้ฟังว่า “ส่วนใหญ่ชุมชนมุสลิมจะอยู่ติดวัด เมื่อก่อนเหงาเหรือไงไม่รู้นะ (หัวเราะ) จะมีทั้งสุเหร่าวัดสระเกศ สุเหร่าวัดตองปุ มัสยิดมหานาค บางที่เจ้าอาวาสกับโต๊ะอิหม่ามเป็นเพื่อนกัน มุสลิมมีงานจัดงานขออาศัยพื้นที่ทางวัดบ้าง เรื่องศาสนาไม่มีปัญหา ต่างคนต่างปฏิบัติไป ศาสนาของท่าน คือ ของท่าน ของเราคือของเรา แต่ถ้าสนใจก็เข้ามาศึกษาได้ มัสยิดกับวัดก็เลยไปด้วยกันได้”
เมืองที่ไม่มี “คน”
ทุกวันนี้ชุมชนมุสลิมในย่านเก่ากรุงเทพฯ ประสบปัญหาคล้ายกันคือ การเติบโตของเมือง การงอกงามของตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ ทำให้หลายชุมชนกลายเป็นชุมชนหลังตึกแถวที่แออัด ระบบสาธารณูปโภคที่ไม่ได้รับการดูแล ความไม่เอื้อต่อการประกอบอาชีพ และแม้แต่ความรู้สึกว่าเป็นชุมชนที่ถูกหลงลืม ทำให้หลายคนในชุมชนเลือกที่จะโยกย้ายออกไปอยู่ที่อื่น รวมไปถึงปัญหาการไล่รื้อชุมชนจากโครงการพัฒนาต่างๆ
ในขณะที่หลายหน่วยงานพยายามจะนำเสนอกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองประวัติศาสตร์กว่า 200 ปี ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม เพื่อให้เป็นอีกหนึ่ง “จุดขาย” สำคัญทางการท่องเที่ยว แต่ขณะเดียวกันในการพัฒนากรุงเทพฯ กลับมองไม่เห็นความสำคัญของ “คน” ที่เป็นกำลังของเมืองมาแต่อดีต
“เราพยายามเอาคนออกนอกเกาะรัตนโกสินทร์ เพื่อจะให้เป็นสวนสาธารณะ เพื่อให้คนมาเดิน นี่คือปัญหาของการพยายามจะขายความเป็นเมืองประวัติศาสตร์แบบที่ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน ทำให้มันกลายเป็นเมืองที่มองไม่เห็นคน อย่างกรณีชุมชนป้อมมหากาฬ อยู่มาตั้งแต่ก่อนรัชกาลที่ 5 วันดีคืนดีก็มีความคิดจะมาไล่คนออกไป เพื่อจะทำสวนสาธารณะ หรือบางชุมชนที่อยู่ติดกับวัด บริจาคที่ดินให้สร้างวัด ตอนหลังวัดต้องการพื้นที่ก็ใช้อำนาจ ใช้กฎหมายไล่คนออกไป คุณจะอยู่มากี่ชั่วคนก็ต้องโดนไล่ออกไป นี่คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชุมชนพุทธหลายๆ ที่ เราก็เลยต้องมานั่งคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเรา ชุมชนก็ต้องเสียงดัง ต้องบอกว่าฉันยังอยู่นะ” วลัยลักษณ์ กล่าว
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ กล่าวว่า “ชุมชน” เป็นเรื่องความเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อเราอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน มีสำนึกร่วมกัน มีความเป็นเครือญาติกัน แต่ชุมชนสมัยใหม่คือการอยู่รวมกันเป็นกระจุกโดยไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคม เป็นสังคมที่แห้งแล้ง
“ชุมชน สังคมมีหลายระดับความสัมพันธ์ เช่น คนกับคน คนกับธรรมชาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ร้อยรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่คือชุมชน นี่คือสังคม ในกรุงเทพตอนนี้ชุมชนมุสลิมถือได้ว่าเป็นชุมชนที่ยึดมั่นแน่นเหนียวกันมากกว่าชุมชนอื่นๆ เราควรเอาเป็นตัวอย่าง รู้จักเป็นสังคมเดียวกันและเครือข่ายร่วมกัน ควรจะมีการบันทึกเอาไว้ให้คนได้รู้จักคนกรุงเทพฯ เอาไว้เป็นประวัติศาสตร์สังคมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน”