ทรงต้านภัยด้วยงานสถาปัตย์

ทรงต้านภัยด้วยงานสถาปัตย์

ทรงใช้ 'สถาปัตยกรรมตะวันตกในพระบรมมหาราชวัง' ประกาศความเป็นบ้านเมืองที่ทันสมัยต้านยุคล่าอาณานิคม

พระมหากษัตริย์ไทยทรงหายใจเข้าออกเป็นเรื่องทุกข์สุขของราษฎรเสมอมา ทรงมุ่งมั่นพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนของพระองค์อยู่ดีมีสุข พระราชภารกิจหนักหนาสาหัสที่ทรงแบกรับไว้คือทรงรักษาผืนแผ่นดินและเอกราชของชาติ มิให้ต้องตกไปอยู่ภายใต้การปกครองชนชาติอื่น


กลยุทธ์หนึ่งที่พระองค์ทรงใช้คือ งานสถาปัตยกรรม และทรงเสียสละด้วยการใช้ ‘บ้าน’ ของพระองค์ ซึ่งก็คือ ‘พระบรมมหาราชวัง’ เป็นจุดเริ่มต้นทดลองสร้าง


สถาปัตยกรรมต้านการล่าอาณานิคม 
ในยุคที่ชาวตะวันตกออกล่าอาณานิคมเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน ถ้าไม่ใช้กองกำลังทหารเข้ายึดครองด้วยอาวุธโดยตรง ก็มักเข้าไปหยั่งเชิง ถ้าเห็นบ้านเมืองใดยังไม่เจริญ ก็ใช้เป็นข้ออ้างเข้าครอบครองเพื่อนำความเจริญมาสู่


‘สถาปัตยกรรม’ เป็นรูปแบบหนึ่งของความเจริญที่ชาวตะวันตกยอมรับ

“เราเริ่มพัฒนาประเทศ พัฒนาภาพลักษณ์ของเราให้ทันสมัยขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่ ซึ่งในตอนนั้นเป็นยุคล่าอาณานิคม ซึ่งเราก็ต้องพยายามรับรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เขาสร้างอยู่ มาสร้างของเราเอง โดยที่เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้น” ผศ.พีรศรี โพวาทอง อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

รูปแบบ สถาปัตยกรรมตะวันตก ที่ใช้กันทั่วโลก ทั้งในยุโรปและเมืองขึ้นยุโรป เหมือนเป็นภาษากลางๆ ที่ใช้ประกาศความเป็นบ้านเมืองที่ทันสมัย

“คำว่า ‘ตะวันตก’ ก็เป็นร่มใหญ่ๆ มีสไตล์หลายๆ อย่างซ่อนอยู่ในนั้น เช่น นีโอคลาสสิก โกธิก เราก็รับมาหลายอย่างผสมผสานกัน ในวังหลวงก็มีทั้งนีโอคลาสสิก เรอแนซ็องส์ โกธิก แต่ส่วนใหญ่เป็นนีโอคลาสสิก คือการนำสถาปัตยกรรมกรีก-โรมันมาใช้ใหม่” ผศ.พีรศรี กล่าว


แม้ทรงนำ ‘สถาปัตยกรรมตะวันตก’ มาใช้ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งแบบแผนการใช้พื้นที่แบบไทยประเพณี

“เวลาผมสอนนิสิต ผมมักย้ำว่า รัชกาลที่ห้าคนจะมองว่าท่านโปรดฝรั่ง เพราะในช่วงรัชกาล สถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปเยอะมาก จากไทยประเพณีเป็นแบบตะวันตก แต่ถ้าเราดูให้ลึกซึ้ง ดูให้มากกว่าเปลือกนอก เราจะเห็นว่าท่านยังคงแบบแผนการใช้พื้นที่ การวางผัง ยังคงเป็นไทยอยู่พอสมควร พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทยังคงลำดับชั้นความสูงความต่ำแบบประเพณีแม้หน้าตาเป็นแบบตะวันตก ช่วงรัชกาลที่ยาวนานสี่สิบกว่าปี เป็นช่วงที่วิถีชีวิตคนไทยค่อยๆ เปลี่ยนจากสมัยโบราณเป็นสมัยใหม่ ทุกวันนี้เราก็อยู่ตึกเป็นชั้นๆ เราก็ไม่ได้คิดมาก แต่สมัยก่อนคิดกันมาก” ผศ.พีรศรี กล่าว


‘แบบฝรั่ง’ : รัชกาลที่ 3 
“จริงๆ แล้วผมคิดว่าอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้ามาตั้งแต่รัชกาลที่สาม เรารู้จักพระองค์ท่านในฐานะสถาปัตยกรรมพระราชนิยมรููปแบบจีน เริ่มนำแบบจีนมาใช้ เพราะคนจีนเข้ามามาก รู้จักกันดีในสถาปัตยกรรมวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และพระอารามอื่นที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของสถาปัตยกรรมไทยที่เริ่มทดลองนำวัสดุก่อสร้าง เทคนิคก่อสร้างแบบเครื่องก่อของจีนและเครื่องกระเบื้องเคลือบมาตกแต่ง แต่โครงสร้างการใช้งานยังคงเป็นวัดเป็นไทยประเพณี” ผศ.พีรศรี กล่าว


ผศ.พีรศรี เล่าว่า ในรัชกาลที่สามเริ่มมีสิ่งปลูกสร้างที่มีกลิ่นอายเลียนแบบฝรั่ง สิ่งที่ชัดมากในแง่การตั้งชื่อ คือ ตึกฝรั่ง ซึ่งอยู่ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร(วัดโพธิ์) หน้าตาดูคล้ายเก๋งจีน ตั้งอยู่ในสวนของวัดโพธิ์ หน้าบันมีตัวอักษรคล้ายอักษรโรมันสามสี่ตัว คนไทยในสมัยรัชกาลที่สามมีความเข้าใจความรู้ในโลกตะวันตกแล้วและพยายามถ่ายทอดสู่สถาปัตยกรรม


เมื่อเข้าสู่เขต พระบรมมหาราชวัง สิ่งแรกที่ ผศ.พีรศรี คิดว่าเก่าที่สุดที่เห็นเป็นร่องรอยของสถาปัยกรรมตะวันตก คือ ป้อม และ ประตูวัง พร้อมกับยกตัวอย่างภาพป้อมท้ายวัง ป้อมภูผาสุทัศน์ อยู่ติดกับวัดโพธิ์


“พื้นที่ตรงนี้เป็นส่วนที่วังหลวงขยายออกมาในรัชกาลที่สอง ไม่แน่ใจว่าสร้างในรัชกาลที่สองหรือรัชกาลที่สาม เพราะป้อมและกำแพงได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในรัชกาลที่สาม ถ้าเราดูหน้าต่างของป้อมมีลักษณะของโค้งยอดแหลม คล้ายสถาปัตยกรรมโกธิกของยุโรป และมีกรอบเป็นปูนปั้นโรมัน”


อีกตัวอย่างคือ ‘ประตูวัง’ ตรงท่าช้าง ชื่อ ประตูสุนทรทิศา ถ้าไม่สังเกตคงเห็นว่าเป็นประตูธรรมดา

“แต่ถ้าดูลวดลายประดับโค้งเหนือประตูสุนทรทิศา ภาษาอังกฤษเรียก สโครว์ (scroll) ส่วนปลายขดม้วน ตกแต่งยอดด้วยโถประดับ ผมคิดว่าเป็นอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกซึ่งเข้ามาตั้งแต่รัชกาลที่สาม โดยเข้ามาที่รอบๆ กำแพงวัง ยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวอาคาร”


เช่นเดียวกับ ‘กำแพงหมู่พระมหามณเฑียร’ ตรง ซุ้มประตู ก็น่าจะได้รับการปรับปรุงในรัชกาลที่สาม มีลักษณะของการใช้ ‘โค้ง’ และ ‘การตกแต่ง’ ที่ยอดประตู


“ลักษณะการทำกรอบประตูหน้าต่างของสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่สาม จริงๆ แล้วได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมตะวันตกเหมือนกัน นั่นก็คือ หน้าต่างบานสำคัญของ ‘พระที่นั่งไพศาลทักษิณ’ เข้าใจว่าคือช่องหน้าต่างที่รัชกาลที่ 1 ประท้บออกสีหบัญชร ได้รับการตกแต่งอย่างพิสดาร ที่เห็นเป็นแท่งดำๆ สีเข้มๆ เป็นแท่งแก้ว กรอบเหมือนกรอบรูปฝรั่ง เป็นกรอบไม้ปิดทอง ไม่มีความเป็นจีน แต่เป็นตะวันตก”


ดาดฟ้า-รั้วเหล็กหล่อ : รัชกาลที่ 4 
พอเข้าสู่ยุค พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาปัตยกรรมภายในวังหลวงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เห็นได้จากภาพถ่าย ‘หมู่พระที่นั่ง’ ที่ได้รับการโปรดเกล้าให้สถาปนาขึ้นใหม่ คือ พระอภิเนาว์นิเวศน์ เป็นพระราชมณเฑียรซึ่งตั้งทางด้านตะวันออกของพระมหามณเฑียร ทรงใช้เป็นที่ประทับ ที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และเป็นที่แสดงเครื่องบรรณาการที่ประเทศแถบยุโรปส่งมาถวาย เป็นพระเกียรติยศของพระองค์


“หมู่พระที่นั่ง และ ‘หอ’ ใน ‘พระอภิเนาว์นิเวศน์’ แบ่งเป็นฝ่ายหน้า ฝ่ายใน ตามแบบแผนโบราณราชประเพณี แต่รูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งหมดเป็นแบบตะว้นตก เห็นได้จากการทำหน้าจั่วรูปสามเหลี่ยมแบบกรีก มีการทำเสาคล้ายเสาคอรินเทียน(Corinthian)ของโรมัน ทั้งหมดที่เห็นคืออาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงเหมือนเรือนไทย ที่เห็นผนังสูงๆ คือใต้ถุน ทำหน้าต่างแบบ ‘หน้าต่างคอสอง’ คือทำหน้าต่างเหนือบานประตูหน้าต่าง เพื่อให้แสงสว่างและระบายความร้อน รูปแบบนี้เริ่มเป็นตะวันตก แต่โครงสร้างแบบแผนการใช้พื้นที่ยังคงเป็นแบบไทย ทั้งลักษณะหลังคาเครื่องไม้ ประกอบด้วยลำยอง ช่อฟ้า ใบระกา” ผศ.พีรศรี บรรยาย

ความก้าวล้ำทางสถาปัตยกรรมของ ‘พระอภิเนาว์นิเวศน์’ คือ การทำดาดฟ้า ปรากฎอยู่ที่ พระที่นั่งจันทรทิพโยภาส


“ว่ากันว่าใช้เป็นที่เสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรดวงดาว บนยอดสุดมีหอคอยเล็กๆ คิดว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของรัชกาลที่สี่ ตรงนี้คนไทยเริ่มหัดทำดาดฟ้า คิดว่าน่าจะรั่ว เพราะพระที่นั่งองค์นี้มีการทำหลังคาทับลงไป” ผศ.พีรศรี กล่าว


พระที่นั่งองค์หลักใน ‘พระอภิเนาว์นิเวศน์’ คือ ‘ท้องพระโรง’ ชื่อ พระที่นั่งอนันตสมาคม เห็นการผสมผสานระหวางสถาปัตยกรรมไทยกับฝรั่ง


“เสาทั้งหมดเป็นเสากลม หัวเสาคอรินเทียน แต่ปลายเสาสอบเข้าหากันนิดหนึ่งหมือนเรือนไทย เป็นการก่อสร้างแบบไทยประเพณีไทย แต่ตกแต่งแบบตะวันตก ช่องปรตูหน้าต่างตกแต่งแบบคลาสสิก ใช้โค้งยอดแหลม จากเสากลมลอยตัวเป็นเสาที่แปะอยู่กับผนัง ออกแบบให้มีช่องซุ้มโค้งข้างล่าง ช่องซุ้มยอดแหลมข้างบน ถูกต้องตามแบบแผนตะวันตกทุกประการ” ผศ.พีรศรี กล่าว


สุดท้ายในรัชกาลที่สี่ มีการสร้างอาคารราชการแบบตะวันตก คือ โรงกษาปณ์ เมื่อเริ่มมีการหล่อเหรียญ

“อาคารโรงกษาปณ์ตั้งอยู่หน้า ‘พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท’ เห็นการทำหน้าจั่ว ชายคากุดๆ กระเบื้องแบบจีน บันไดนอกอาคาร ส่ิ่งสำคัญคือ ‘รั้วเหล็กหล่อ’ เริ่มนำเข้าวัสดุก่อสร้างตะวันตกเป็นชิ้นๆ มาจากอังกฤษและสกอตแลนด์ผ่านสิงคโปร์”


สถาปนิกต่างชาติ : รัชกาลที่ 5 
ความเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมทวีความแรงมากขึ้นในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งเจริญรอยตามพระราชบิดาและจากการเสด็จประพาสต่างประเทศ


“รัชกาลที่ห้าประทับที่ ‘พระอภิเนาว์นิเวศน์’ มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ก็เจริญรอยตามพระราชบิดาเรื่องศึกษาแนวความคิดแบบตะวันตก การปรับใช้ให้เข้ากับบริบทกฎเกณฑ์ของไทย ที่ต่างออกไปคือ เริ่มเสด็จประพาสต่างประเทศ สิงคโปร์ พม่า อินเดีย เห็นความเจริญด้านสถาปัตยกรรมตะวันตกที่มาสร้างในเขตร้อน” ผศ.พีรศรี กล่าวและเล่าว่า


หลังเสด็จกลับจากอินเดียครั้งแรก รัชกาลที่ห้าทรงสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ 2 องค์ แทนหมู่พระที่นั่งใน ‘พระอภิเนาว์นิเวศน์’ ซึ่งจำเป็นต้องรื้อลงทั้งหมดเนื่องจากเสื่อมโทรมไปตามเวลา ทรงตั้งชื่อพระที่นั่งสององค์ใหม่นี้ว่า พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ กับ พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ เพราะเป็นที่พระราชสมภพของพระองค์ มิ่ได้ทรงใช้เป็นที่บรรทม แต่ทรงใช้เป็นที่ประทับพักผ่อนและรับแขก


“การตกแต่งภายในห้องรับรองของพระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ มีลักษณะรสนิยมเป็นแบบวิกตอเรียน ใช้เครื่องตกแต่งคลาสสิกหลายอย่างมากมาย ความน่าทึ่งของพระที่นั่งองค์นี้คือสถาปนิกเป็นคนไทย ผู้คุมงานสร้างคือเจ้าพระยาตระกูลบุนนาค”


ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งอีกองค์เป็นหลังยาวๆ ชื่อ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร ทรงโปรดให้เป็นห้องจัดเลี้ยงในตอนต้น ผศ.พีรศรีให้ความเห็นว่า การวางผังคล้าย ‘เรือนไทย’ ตรงมี ‘นอกชาน’ อยู่ตรงกลาง มีเรือนล้อมสามหลังซึ่งมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน คือเป็นห้องรับประทานอาหาร ห้องรับแขก และห้องบรรทม


จากนั้นทรงโปรดให้ต่อพระที่นั่งที่บรรทมอีกหมู่ไปทางทิศใต้ ชื่อ พระที่นั่งอมรพิมานมณี ทรงใช้เป็นที่บรรทมเพื่อรับลมจากทิศใต้ อาคารเป็นแบบตะวันตก หลังคาสูงใหญ่คล้ายปั้นหยา แต่สูงชันมาก มีหน้าต่างเล็กๆ เรียงกันให้แสงเข้า แต่แบบแผนการใช้งานเป็นไทยมากๆ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่าง พระที่นั่งสุทธาศรีอภิรมย์ กับ พระที่นั่งบรรณาคมสรนี มีการต่อเรือนออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากมเจ้านายฝ่ายในเสด็จขึ้นมาประทับด้วย


“ทางทิศใต้ของห้องที่บรรทมมีสะพานเชื่อมไปที่ ‘สวนสวรรค์’ อาคารเก็บของชั้นเดียว ต่อเติมปรับปรุงให้เป็นสวนบนดาดฟ้า ในหลวงรัชกาลที่ห้าสามารถเสด็จลงไปที่สวนได้ ทางทิศใต้เป็นตำหนักที่ประทับของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีทางเชื่อมสวนสวรรค์เช่นกัน เจ้านายเสด็จมาจากพระราชฐานฝ่ายในเข้าเฝ้าในหลวงได้โดยไม่ต้องลงไปทรงพระดำเนินที่ระดับดิน”


สุดท้าย ปีพ.ศ.2425 ทรงโปรดฯ ให้มีพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2418

"พระที่นั่งหมู่นี้หน้าตาเป็นตะวันตก มียอดเป็นไทย แต่แบบแผนความเป็นอยู่ยังเป็นจารีตมีฝ่ายหน้า-ฝ่ายใน ลักษณะการตกแต่งภายในส่วนหนึ่งน่าจะเป็นฝีมือของ ม.จ.ประวิตร ชุมสาย ช่างไทยเก่งมาก สามารถทำลวดลายแบบตะวันตกได้ มีการประสานตราช้างเอราวัณลงไปกับลวดลายตะวันตกได้อย่างกลมกลืน...

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทเป็นแบบกึ่งไทยกึ่งตะวันตก ตัวอาคารเป็นแบบฝรั่ง ตรงนี้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ มีสถาปนิกที่รัชกาลที่ห้าโปรดเกล้าฯ ให้จ้างมา ชื่อนาย ยอน คลูนิช เป็นคนอังกฤษ น่าจะเกิดที่สก็อตแลนด์ แต่มาทำงานสิงคโปร์ รัชกาลที่ห้าเสด็จสิงคโปร์ ประทับที่ทำเนียบรัฐบาลสิงคโปร์ อาจจะโปรดที่นี่ เลยจ้างสถาปนิกซึ่งเขาไม่ได้ทำอาคารหลังนี้ แต่ทำงานที่สิงคโปร์ เราจะเห็นลักษณะอาคารคล้ายคลึงกัน คือสมมาตรซ้ายขวา มีมุขกลางสูงกว่ามุขด้านข้าง มีการปรับใช้ให้เป็นแบบตะวันตกที่มีลักษณะเขตร้อนชื้น เช่น บานเกล็ด แต่อาคารเป็นแบบตะวันตกแล้ว คือบ้ันไดอยู่ภายในตึก มีที่เทียบรถยนต์ใต้มุขด้านหน้า...


มีการเปลี่ยนหลังจากเดิมที่ป็นโดม โครงสร้างเหล็กสั่งมาแล้วจากเมืองนอก แต่สมเด็จเจ้าพระยาทูลทัดทานในหลวงรัชกาลที่ห้า ว่าอาคารในวังหลวงมีแต่แบบไทยประเพณี และเป็นพระมหาปราสาทองค์แรกที่สร้างขึ้นในรัชกาล ทูลขอให้เปลี่ยนรูปแบบยอดโดมให้เป็นยอดปราสาท ได้มีการให้ช่างหลวงชื่อ ‘พระยาราชสงคราม’ ซึ่งผมว่าเก่งมาก ตัวตึกสร้างแบบฝรั่งขึ้นมาแล้ว สามารถเปลี่ยนยอดให้เป็นแบบไทยได้อย่างกลมกลืนพอสมควร" ผศ.พีรศรี บรรยาย


ประเด็นทางสถาปัตยกรรมของ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือ ดูภายนอกเหมือนอาคารสามชั้น แต่จริงๆ แล้วคืออาคารชั้นเดียว ยกพื้นสูง เห็นอัฒจรรย์บันไดอยู่นอกอาคารแบบเรือนไทย


“ที่เราเห็นเป็นหน้าต่างชั้นสาม ความจริงเป็นหน้าต่างหลอกทั้งหมด ส่วนที่เป็นชั้นสามของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาททั้งสามองค์ (องค์ตะวันตก องค์กลาง องค์ตะวันออก) เป็นพระวิมาน ห้องไว้พระบรมอัฐิ ตามคติความเชื่อประเพณีทุกอย่าง อัฐิบรรพบุรุษไว้ในที่สูงที่สุด ชั้นใต้ถุนเป็นที่อยู่ของทหารราชองครักษ์”
งานออกแบบอีกส่วนหนึ่งเป็นชุดมากับพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คือ ประตูพิมานไชยศรี ผศ.พีระศรีกล่าวว่า น่าจะเป็นผลงานของ ยอน คลูนิช ด้วยเช่นกัน เป็นประตูสองชั้นกั้นพระราชฐานชั้นนอกกับชั้นกลางที่ประทับ กับมีอาคารอีก 2 หลัง หลังหนึ่งเป็นศาลาว่าการพระราชวัง อีกหลังเป็นศาลามนตรีสภา เดิมชื่อ ‘พระที่นั่งภานุมาศจำรูญ’ (เป็นชื่อเดิมของพระที่นั่งองค์หนึ่งในหมู่พระอภิเนาว์นิเวศน์ ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น ‘พระที่นั่งบรมพิมาน’ ในรัชกาลที่ 6) เขียนแบบโดยนาย คาร์ล ซันเดรสกี


"ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นายยอน คลูนิช ทำพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทกับตึกสองหลัง ประตูสองชั้น ไม่เวิร์ค งานช้า ตึกไม่ดีมีปัญหาเยอะ ในหลวงรัชกาลที่ห้าไม่ทรงโปรด พอมาถึงการสร้างพระที่นั่งบรมพิมาน เป็นช่วงเกือบๆ จะกลางรัชกาล ช่่วงมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือมีการสร้างกรมโยธาธิการ คลูนิชเป็นสถาปนิกหลวง สังกัดกรมท่า พอมายุคนี้มีการสร้างอาคารแบบตะวันตกมากขึ้น มีการปฎิรูประบบราชการ เอาสถาปนิกอิตาเลียนเข้ามาทำงาน ซันเดรสกีเป็นสถาปนิกซึ่งทำงานให้กับออฟฟิศใหญ่มากในกรุงเทพฯ ชื่อ ‘กลาสซี่’ ทำเกือบทุกตึกในสมัยรัชกาลที่ห้า เช่น ตึกกระทรวงกลาโหม โรงเรียนอัสสัมชัญ ศุลกสถาน วัดนิเวศธรรมประวัติ รัฐบาลไทยจึงดึงซันเดรสกีมาอยู่ในกรมโยธาธิการ...


ผลงานแรกๆ ของเขาคือ พระที่นั่งบรมพิมาน ในแบบเขียนว่าเป็น ‘พาเลซ ฟอร์ คราวน์ ปรินซ์’ จุดสำคัญคืออาคารเป็นฝรั่งปนอิตาเลียน บันไดเข้าไปอยู่ในตัวอาคารแล้ว ด้านหน้าที่เป็นเทียบรถ ด้านหลังเป็นสวนศิวาลัย คล้ายวังบางขุนพรหม เพราะเป็นสถาปนิกคนเดียวกัน แต่ที่นี่เป็นวังหลวง จึงใหญ่มหึมา ในรัชกาลที่หกมีการต่อเติมพระที่นั่งองค์นี้ครั้งใหญ่ เดิมเป็นหมู่ตึกยาวรูปตัวแอล
ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในรัชกาลที่ห้า คือเขตพระราชฐานชั้นใน เปลี่ยนจากเรือนเครื่องไม้เป็นเรือนเครื่องก่อ เรือนอยู่กันแน่นๆ เป็นบล็อค มีถนนหินตัดกันเป็นตาราง เจ้านายฝ่ายในอยู่กันมานาน มีจำนวนมากขึ้น ที่ดินมีเท่าเดิม และมาพร้อมกับสถาปัตยกรรมตะวันตก จึงมีการรื้อหรือปรับให้เป็นตึกสองถึงสี่ชั้น เป็นการจัดการที่อยู่อาศัยสำหรับคนจำนวนมาก เรื่องสุขอนามัย ผมว่าน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สร้าง ‘พระราชวังดุสิต’ แก้ปัญหาอากาศถ่ายเท ปัญหาน้ำใช้" ผศ.พีระศรีกล่าว


รัชกาลที่ห้าทรงประทับ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทตลอดรัชกาล แม้จะย้ายไปประทับพระราชวังดุสิต แต่ก็ยังทรงใช้ที่นี่อยู่บ้าง ในรัชกาลที่หกก็ทรงมาประทับบ้างในบางโอกาส


: รัชกาลที่ 7 : 
พอถึงแผ่นดินรัชกาล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งหมู่นี้ทรุดโทรมมาก เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับ ณ ‘พระที่นั่งอัมพรสถาน’ เป็นหลัก


รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งบางส่วน โดยทรงเก็บไว้เฉพาะ ‘พระที่นั่งจักรีมหาปรสาท’ และ ‘พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร’ เพื่อใช้รับรองแขกเมือง ทรงโปรดให้ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ดูแลกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร กับ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ช่วยกันปรับ ‘พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท’ ให้ทันสมัยขึ้น


“โดยลดความเป็นวิกตอเรียนลงนิดหนึ่ง ท่านปรับให้เรียบง่ายขึ้นตามพระราชนิยมในรัชกาลที่เจ็ด บราลีบนสันหลังคาหายไป ผมคิดว่าทรวดทรงเรือนยอดเปลี่ยนไปด้วย เครื่องตกแต่งหน้าต่างลดลงนิดหนึ่ง” ผศ.พีรศรี กล่าว


: หอรัษฎากรพิพัฒน์ : 
รวมไปถึง หอรัษฎากรพิพัฒน์ อันเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในปัจจุบัน ซึ่งรัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์ให้ปรับปรุงสร้างเป็นสถานที่เพื่อใช้ดูแลระบบการคลัง มีการต่อเติมใหม่ใน พ.ศ.2461


ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย เล่าว่า บริเวณที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ มีการใช้งานมาพร้อมกับ ‘พระบรมมหาราชวัง’ คือเป็นพื้นที่สำหรับพลทหารตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการรื้อและสร้างอาคารขึ้นใหม่ให้เป็นของทหารรักษาพระองค์ จนสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมาเป็น ‘หอรัษฎากรพิพัฒน์’ ต่อมาใน พ.ศ.2461 มีการเพิ่มเติมในส่วนด้านหน้าและต่อเติมใหม่ ภาพภายนอกจะเห็นรูปแบบของศิลปะตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเหล็กที่ดัดเป็นลายพันธุ์พฤกษา หรือเสาที่เป็นรูปแบบกรีก-โรมัน


“ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้ ‘หอรัษฎากรพิพัฒน์’ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ เพื่อทรงมุ่งหวังให้เป็นแหล่งความรู้ที่ยั่งยืนเกี่ยวกับผ้า ตลอดจนประวัติศาสตร์เครื่องแต่งกาย อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงปัจจุบัน สะท้อนผ่านเครื่องแต่งกายในราชสำนักยุคต่างๆ รวมทั้งฉลองพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งใช้เวลาในการบูรณะซ่อมแซมรวมทั้งหมด 9 ปี โดยมี อาจารย์สมิทธิ ศิริภัทร์ เป็นผู้สนองงานตามพระราชดำริ บริเวณโถงด้านหน้าที่ต่อเติม ตกแต่งเลียนแบบมาจากตึกเก่า และหัวเสาเลียนแบบศิลปะกรีก-โรมัน ตรงหัวเสาจะประดับพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์เปิดให้ประชาชนเข้ามาเยี่ยมชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2555 เป็นต้นมา” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ กล่าว

หมายเหตุ: เรียบเรียงจากการเสวนา ‘สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในพระบรมมหาราชวัง สมัยรัชกาลที่ 5’ จัดโดย พิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมครั้งต่อไป ติดตามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก www.facebook.com/qsmtthailand และอินสตาแกรม @queensirikitmuseumoftexitiles

ภาพ : ผศ.พีรศรี โพวาทอง