“เขาเย็น” กับความรักอันเป็นนิรันดร์

“เขาเย็น” กับความรักอันเป็นนิรันดร์

ชีวิตมีค่าอะไร ถ้ามันจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง ปราศจากอุปสรรคที่จะดิ้นรน ปราศจากอันตรายที่จะต่อสู้ และปราศจากผู้ที่จะร่วมรับความสุข

หากใครจำโศกนาฏกรรมรักของชายหนุ่ม-หญิงสาวคู่หนึ่ง ที่เชื่อกันว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายในนวนิยายเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” โดย เรียมเอง(มาลัย ชูพินิจ) ได้ อาจจะพอคุ้นๆ กับสภาพป่าไม้ในจังหวัดกำแพงเพชรที่เป็นฉากของเรื่องได้เช่นกัน


“ป่าสัมปทาน” ที่เป็นเสมือนขุมทรัพย์ของ “พะโป้”(พ่อค้าไม้) ในยุคนั้นมีแต่ความอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยไม้ใหญ่ โดยเฉพาะไม้สัก ที่เป็นไม้เศรษฐกิจชั้นดี จนมีการทำปางไม้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน


แต่เมื่อการสัมปทานสิ้นสุดลง ป่าที่เคยสมบูรณ์ก็เปลี่ยนไป จากต้นไม้ขนาดใหญ่เหลือเพียงตอไม้เตี้ยๆ ไว้ดูต่างหน้า ป่ารกกลายเป็นป่าร้าง จนในที่สุดก็มีการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติเพื่อพลิกฟื้นสภาพป่าและอนุรักษ์ธรรมชาติให้กลับมาสมบูรณ์สวยงามอีกครั้ง


“ป่าไม้สักคลองสวนหมาก” ซึ่งเป็นฉากใหญ่ในเรื่อง กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ “อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า” แน่นอนว่า ปัจจุบันมองไม่เห็นเค้าร่างของป่าร้างอีกต่อไป เพราะนอกจากจะร่มครึ้มไปด้วยไม้ใหญ่หลากหลายชนิด สัตว์ป่าต่างๆ ที่เคยห่างหายก็กลับเข้ามาอาศัยดังเดิม


อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า มีลักษณะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยมีแนวเขาที่สำคัญ เช่น เขาเย็น เขาเต่าดำ เขาตาดรูปไข่ เขาหมี ดอยบางสูง เขาบางจะเล ฯลฯ ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย แต่แนวเขาที่สูงที่สุด คือ “ยอดเขาเย็น” มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,898 เมตร


เพราะความสูงโดดเด่นนั้นเองทำให้ เขาเย็น กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ที่อาจจจะไม่เป็นที่รู้จักในวงการท่องเที่ยวโดยทั่วไป แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวแนวผจญไพร “เขาเย็น” คือหมุดหมายที่อยู่ในหัวใจของพวกเขามานานแสนนาน


หากความรักอันเยือกเย็นและเป็นอิสระของ “ยุพดี” กับ “ส่างหม่อง” ยังคงมีต่อกันตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย วิญญาณแห่งความรักของพวกเขาคงจะอยู่ไม่ไกล หรืออาจจะยังคงอยู่ในป่าแห่งนี้ หรืออาจจะอยู่ร่วมกันที่นี่ “เขาเย็น”


.................


ฉันค่อยๆ ก้าวขาขึ้นมาช้าๆ ตามความชันของภูเขาลูกนั้น ในขณะที่หัวใจกำลังสั่นระรัว มือใหญ่ๆ ของใครคนหนึ่งก็ยื่นลงมา ฉันส่งมือให้เขาทันที ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกฉุดขึ้นไปยืนอยู่บนที่ว่างกลางป่าใหญ่


มันเป็นป่าดิบเขาที่ถูกห่มคลุมไปด้วยหมอกขาวหนาตาชนิดที่แทบจะมองหน้ากันไม่เห็น แต่ฉันมองเห็นเขา “พนักงานพิทักษ์ป่า” หรือที่เราเรียกกันอย่างเหมารวมว่า “คนเฝ้าป่า” เจ้าของมือที่ยื่นมาช่วยฉันนั่นเอง


“จากตรงนี้ไปไม่ไกลแล้วครับ ป่าตรงนี้เป็นป่าดิบเขา ต้นไม้ส่วนมากจะมีไลเคนเกาะ เพราะจะมีความชื้นจากหมอกตลอดเวลา” อดุลย์ คนเฝ้าป่า บอก ก่อนจะเดินหายไปท่ามกลางสายหมอกหนาๆ นั้น


ฉันหยุดยืนอยู่นิ่งๆ แล้วพยายามสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ค่อยๆ นึกถึงการเดินทางที่ผ่านมาของเรา


นับตั้งแต่ได้รับข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียจากเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย ว่าอยากชวนไปสำรวจเส้นทางเดินป่าเขาเย็น ฉันก็ออกอาการตื่นเต้นทันที เพราะรู้ดีว่าพื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่เพิ่งเปิดให้ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 นี้เอง


การตอบตกลงทันทีอาจดูเป็นผู้หญิงใจง่ายไปหน่อย แต่ยอมรับเลยว่าไม่มีความลังเลใดๆ ในวินาทีนั้น และแล้วฉันก็เป็นผู้หญิงใจง่ายที่ตกลงไปกับเขา ราวกับเป็นยุพดีที่ตัดสินใจไปอยู่กับพะโป้(ว่าไปนั่น)


“เขาเย็น” เป็นแนวเทือกเขาที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า จังหวัดกำแพงเพชร หลายคนอาจสับสนกับ “ช่องเย็น” ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร แต่ทีเด็ดของสถานที่ทั้ง 2 แห่งนั้นต่างกันมาก


“ช่องเย็น” เป็นแหล่งดูนกชื่อดังระดับต้นๆ ของเมืองไทย และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ การเดินทางสามารถไปถึงได้โดยรถยนต์ และบริเวณนี้ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งบ้านพัก ห้องน้ำ และสถานที่ประกอบอาหาร


แต่ “เขาเย็น” เป็นเส้นทางเดินป่าระยะไกล แม้เส้นทางจากจุดเริ่มต้นจนถึงยอดเขาเย็นจะเป็นระยะทางแค่ 6.5 กิโลเมตร แต่เพราะเป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน จึงต้องใช้เวลาในการเดินเท้าผ่านป่าไผ่ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ราว 3 วัน 2 คืน และบนนั้นไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ แต่ธรรมชาติก็ทำให้รู้สึก “สบาย” ได้ไม่ยาก


“ชีวิตมีค่าอะไร ถ้ามันจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง ปราศจากอุปสรรคที่จะดิ้นรน ปราศจากอันตรายที่จะต่อสู้ และปราศจากผู้ที่จะร่วมรับความสุข”


ฉันนึกถึงบางถ้อยความจากหนังสือ “ทุ่งมหาราช” โดยเรียมเอง หรือมาลัย ชูพินิจ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์คนสำคัญของไทยที่เกิดในจังหวัดกำแพงเพชร และเป็นผู้เขียนคนเดียวกับนวนิยาย “ชั่วฟ้าดินสลาย” ที่ฉายภาพของสังคมในเมืองกำแพงเพชร ณ เวลานั้นออกมาได้ดีและชัดเจนผ่านหนังสือทั้ง 2 เล่ม


ใช่ บางทีความลำบากก็อาจจะสอนอะไรได้ดีกว่าชีวิตที่แสนสบาย ฉันคิดในใจ


แม้จะเป็นปีแรกที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวได้อย่างเป็นทางการ แต่ทางอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าก็มีระบบการจัดการที่ดีเยี่ยม เริ่มตั้งแต่จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวคณะหนึ่งไม่เกิน 10 คน และครั้งหนึ่ง (3 วัน 2 คืน) รับเพียง 2 คณะ โดยนักท่องเที่ยวจะต้องจองทริปเดินป่าผ่านทางอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้าเท่านั้น ซึ่งเทศกาลเดินป่าจะเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน – มีนาคม จากนั้นจะปิดเพื่อให้ป่าได้พักผ่อนฟื้นตัว


การเดินทางจะเริ่มจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า โดยต้องใช้รถกระบะหรือรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อเข้ามาที่ “หน่วยต้นน้ำขุนวังเจ้า” ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในป่า และจุดนี้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเดินเท้า” อย่างแท้จริง


ข้อดีของการเดินทางมาเขาเย็นในช่วงกลางฤดูท่องเที่ยวแบบนี้ก็คือ การหายไปของแดร็กคิวล่าแห่งผืนป่าอย่าง “ทาก” เพราะสภาพป่าไม่ชื้นมาก หรือไม่มันก็คงอิ่มจากการดูดเลือดนักเดินทางที่มาก่อนหน้านั้นไปหมดแล้ว(ฮา)


เราเดินกันสบายๆ ในช่วงแรกมาจนถึงลำธารเล็กๆ ที่พอมีน้ำเย็นๆ ให้ล้างหน้าล้างตากันได้ แต่จากนี้ไปจะเป็นนาทีของการ “ไต่เขา” ล้วนๆ ก็เพราะเส้นทางที่ตั้งทแยงกับพื้นโลกทำมุมราว 80 องศานั้นต้องใช้ทั้งเท้าและมือในการดันและดึงตัวเองขึ้นไปอยู่ด้านบน บางคนลงทุนคุกเข่าด้วย เรียกว่าใช้ 6 เท้าในการเดินขึ้นเขาเลยทีเดียว


ลำธารที่ 2 อยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่เราจะมีน้ำดื่ม ใครน้ำหมดให้เอาขวดมากรองน้ำไปดื่มได้ เพราะจากนี้เส้นทางเดินจะหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยมีจุดที่ชวนหวาดเสียวหลายจุด ทั้งผาหินที่มีผาแคบๆ กับหินลื่นๆ ห่างจากนิ้วก้อยเท้าข้างขวาไม่ถึง 10 เซ็นติเมตรก็เป็นเหวลึกแล้ว


เมื่อผ่านมาได้ก็จะรู้สึกสบายหน่อย ในแง่ของความหวาดเสียวที่จะหมดไป แต่ความลื่นไม่ต้องห่วง ยังก้นกระแทกกันได้ตลอดทาง ผ่านจุดที่เรียกว่า “กำลังเลือดม้า” เพราะมีต้นกำลังเลือดม้า หรือประดงไฟอยู่เยอะ เปลือกกำลังเลือดม้ามีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงกำลัง แก้ผดผื่นคัน และขับล้างในระบบเลือด นอกจากต้นกำลังเลือดม้าแล้วยังมีต้นพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยยืนต้นอยู่มากมายอีกด้วย


ผ่านเนินเขาที่ทั้งชันและลื่น จนขึ้นมาถึง “ดงเฟิร์น” ที่ตอนนี้มีหมอกปกคลุมหนาแน่น เราเดินตามทางราบข้ามภูเขาน้อยๆ ไปอีก 2 ลูกก็ถึงป่าหญ้าคาและจุดกางเต็นท์ในวันแรก ที่เราพากันตั้งชื่อให้ว่า “แคมป์ดาวบนดิน”


บริเวณนี้มีจุดสังเกตคือก้อนหินขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท้าแดด ลม และสายหมอกอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ แต่ก็แอบ “หวั่นไหว” เพราะฐานที่คลอนลงไปเยอะ ทำให้ก้อนหินขยับโยกไปมาได้ นักท่องเที่ยวไม่ควรขึ้นไปยืนโดยเด็ดขาด


เราจัดเตรียมกางเต็นท์และประกอบอาหารกันอย่างง่ายๆ ก่อนจะร่ำลาแสงอาทิตย์ในยามเย็น แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ดาว” ในการสร้างความสุขให้กับมวลมนุษย์บนพื้นโลก


คืนนั้นนอนนับดาวตกอยู่นอกเต็นท์ได้เพียง 3-4 ดวงก็ต้องกลับเข้าเต็นท์ เพราะความหนาวเย็นเกาะกินเข้าไปถึงในกระดูก ดีที่เตรียมเสื้อกันหนาวแบบหนาที่สุดมา ไม่อย่างนั้นมีหวังว่าปากซีดตัวสั่นแน่ๆ


แคมป์ดาวบนดิน ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดในเส้นทางเขาเย็น เพียงแค่เปิดประตูเต็นท์ออกมาก็สามารถชมความงดงามของอรุณรุ่งได้อย่างสบายๆ และตรงจุดนี้สามารถมองไปได้ไกลจนถึงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสนามเพรียง อำเภอโกสัมพี จังหวัดกำแพงเพชร ส่วนทางขวามือจะมองเห็นคลองสวนหมาก รวมถึงพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน และสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านป่าคาอยู่ลิบๆ


เช้านี้ไม่รีบมาก เราเก็บเต็นท์และสัมภาระกันเกือบ 10 โมงเช้า เพราะระยะทางในการเดินวันนี้เหลือเพียง 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็ถึง
การเดินทางวันนี้ค่อนข้างสบาย ไม่เหนื่อยมาก เพราะเป็นทางราบซะส่วนใหญ่จะมีแค่ช่วงแรกที่เป็นทางชันราว 500 เมตร จากนั้นก็จะผ่านต้นไม้ที่มีทั้งไลเคนและฝอยลมเกาะอยู่มากมาย และท่ามกลางสายหมอกหนาๆ นั้น พนักงานพิทักษ์ป่าคนเดิมก็เดินฝ่าหมอกกลับมา


“กล้วยไม้ครับ กล้วยไม้” อดุลย์ชี้ชวนเราให้ไปชมดอกกล้วยไม้ป่าสีขาวสะอาดตาช่อหนึ่ง ที่ผลิดอกออกมาให้เราได้ชื่นใจ


สุริยาวุธ สุรินทร์ พนักงานพิทักษ์ป่า อีกคนออกความเห็นว่า น่าจะเป็น “เอื้องเงิน” ที่จะบานเต็มที่ในช่วงเดือนมกราคม และถ้าโอกาสดีจริงๆ ก็จะได้เห็นรองเท้านารีอินทนนท์มากมายเต็มไปหมด


ความสวยงามระหว่างทางทำให้เราหลงลืมความเหนื่อยล้าไปได้มาก เราเดินต่อมาอีกสักพักก็ถึงแลนด์มาร์คอีกแห่งของเขาเย็น นั่นคือ จุดพักที่เรียกว่า “ต้นไม้ต้นเดียว”


ฟอร์มต้นไม้ดูสวยสง่าและยืนต้นท้าลมหนาวอยู่ตรงนั้นอย่างทรนง เบื้องหน้าของเราคือหุบเขาลึกที่ขณะนี้มีหมอกไหลเข้ามาปะทะตัวเราเป็นสายจนรู้สึกสดชื่นสบายใจ และจากจุดนี้เดินอีกเพียง 300 เมตรก็จะถึงจุดกางเต็นท์ในคืนที่ 2 ที่เราเรียกว่า แคมป์เขาเย็น


สุริยาวุธ บอกว่า ถ้าฟ้าเปิดมากๆ สามารถมองเห็นไปถึงศูนย์อพยพอุ้มเปี้ยม ในอำเภอพบพระ จังหวัดตากเลยทีเดียว


ตรงนี้ไม่มีลำธาร แต่มี “น้ำซับ” ที่ผุดขึ้นมาจากดิน พนักงานพิทักษ์ป่าบอกว่า จุดนี้มีน้ำดื่มได้ตลอดทั้งปี และถ้าเอาภาชนะใหญ่ๆ ไปรองน้ำก็สามารถอาบน้ำได้เลย ถ้าเราจะอาบเขาอาสาพาลงไป แต่...เพราะความเย็นที่ออกแนวยะเยือกในเวลานี้ ฉันเลยปฏิเสธความหวังดีนั้นไป


“เขาเย็น มันเย็นจริงๆ นะ ถ้าภาษากะเหรี่ยงเขาจะเรียกว่า “กะเจ้อคลิ” ที่แปลว่าเขาเย็น ตลอดทั้งปีเฉลี่ยแล้วไม่เกิน 20 องศา อย่างปีก่อนโน้นผมขึ้นมานอนตอนเดือนเมษายังเจอ 9 องศาเลย” สุริยาวุธ บอก


จุดนี้เป็นเขตรอยต่อของอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้ากับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก หากฟ้าเปิดจริงๆ สามารถมองเห็นแนวสันเขาที่เป็นเขตแดนเมียนมา ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมองเห็นบ้านแม่กลองคี ที่เป็นชุมชนชาวกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่


เรายืนมองเทือกเขาสลับซับซ้อนนั้นอย่างสบายใจ ในเต็นท์ไม่มีที่นอนหนานุ่ม นอกเต็นท์ก็ไม่มีเตาผิงไฟที่แสนอบอุ่น แต่เรารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


มีความสุขที่ได้เห็นป่าหนาทึบขนาดนี้ มีความสุขที่รู้สึกว่าประเทศไทยยังมีฤดูหนาว มีความสุขที่เรายังเห็นดาวเกลื่อนฟ้า และมีความสุขที่ได้ปล่อยตัวอย่างอิสระอยู่ ณ เวลานี้


“มนุษย์ทุกคนที่มีหัวใจอิสระ ย่อมรักธรรมชาติเสมอ”


ประโยคนี้ของ “ยุพดี” ใน “ชั่วฟ้าดินสลาย” อาจมีความหมายแฝงในเชิงสัญญะที่แล้วแต่จะตีความกันไป แต่สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรซับซ้อนอย่างฉัน ความหมายที่เธอเอ่ยมานับว่าตรงตัวที่สุดแล้ว


หมอกจางๆ ปลิวผ่านมาพร้อมสายลม ใครหลายคนเตรียมตั้งกล้องเพื่อบันทึกภาพยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ส่วนฉันเลือกนั่งนิ่งๆ แล้วทอดสายตาออกไปยาวไกล


พวกเขาจะยังอยู่ที่นี่มั้ย ไม่ว่าเราหรือใครก็คงตอบคำถามนี้ไม่ได้ คงต้องปล่อยให้ความรักของพวกเขายาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์อยู่กับเทือกเขาอันสลับซับซ้อนแห่งนี้ ตลอดไป


...................


การเดินทาง


จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 32 มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ไปจนถึงสี่แยกตลาดวังเจ้า แยกซ้ายไปทางบ้านนาโบสถ์ ตามทางหลวงหมายเลข 1110 ประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงสามแยกบ้านเด่นคา แยกซ้ายไปทางบ้านหนองแดนและแยกขวาตรงบ้านหนองแดนอีก 7 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า


ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทางพิชิตยอดเขาเย็น 1 คณะ(ไม่เกิน 10 คน) ราคา 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายรวม 1.ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ 2. ค่ารถรับส่ง 3.ค่าเจ้าหน้าที่ดูแลคณะ 2 ท่าน แต่ไม่รวมค่าลูกหาบ ซึ่งค่าใช้จ่ายลูกหาบอยู่ที่ 400 บาท/คน/วัน น้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 09 3790 0935 หรือ ททท.สำนักงานสุโขทัย โทรศัพท์ 0 5561 6228-9