‘ไต้หวัน’ ศูนย์กลางจักรยาน

‘ไต้หวัน’ ศูนย์กลางจักรยาน

แม้ไต้หวันจะไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่ไต้หวันคือศูนย์กลางของจักรยาน

สำหรับชาวจักรยานตั้งแต่สายท่องเที่ยวไปจนถึงสายแข็งขาแรง นอกจากจะมีเส้นทางในบ้านเราให้ปั่นกันแล้ว หลายคนยังใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้ไปปั่นจักรยาน ณ ดินแดนอื่น อาจเป็นเนเธอร์แลนด์เมืองจักรยานขนานแท้แห่งยุโรป อาจเป็นญี่ปุ่นที่มีทางเท้ากว้างขวางเป็นระเบียบและคนที่นั่นมีวินัยจนการปั่นจักรยานเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตอาทิตย์อุทัย แต่ฟันธงได้ว่า ไต้หวัน คืออีกที่สุดแห่งจุดหมายปลายทางของบรรดานักปั่นแน่นอน


เพราะไต้หวันไม่ใช่แค่เมืองที่มีคนปั่นจักรยาน และไต้หวันไม่ใช่แค่เมืองที่มียอดซื้อขายจักรยานล้นหลาม แต่ไต้หวันคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสองล้อถีบจะเกี่ยวพันได้


ประจวบเหมาะกับสายการบินนกสกู๊ตเปิดเส้นทางบินตรงสู่ประเทศไต้หวันตั้งแต่ปลายปีที่แล้วทำให้ดินแดนแห่งจักรยานอ้าแขนกว้างๆ รับนักปั่นและนักท่องเที่ยวได้สะดวกง่ายดายมากขึ้น เอาล่ะ...ในเมื่อเขาอ้าแขนรับเราซะขนาดนี้ ไม่ไปไต้หวันก็คงเสียชาตินักปั่นจักรยานเป็นแน่


แลนดิ้งทูไซคลิ่งแลนด์


เป็นอีกครั้งที่หัวใจผมเต้นแรง เพราะตั้งแต่นำจักรยานที่ปล่อยลมยางเรียบร้อยแพ็คใส่กระเป๋าแล้วนำไปเช็คอินได้ฟรีที่เคาน์เตอร์สายการบินนกสกู๊ต นั่นหมายความว่าการเดินทางในฝันของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...


เมื่อมาถึงท่าอากาศยานเถาหยวน ประเทศไต้หวัน ผมไม่พูดพร่ำฮัมเพลง รีบขนจักรยานและสัมภาระขึ้นรถบัสที่มารอท่าเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายแรกและเป็นจุดหมายสำคัญมากสำหรับคอจักรยานที่ได้มาไต้หวัน นั่นคือ Sun Moon Lake หรือที่คนไทยแปลอย่างไพเราะว่า “ทะเลสาบสุริยันจันทรา” ซึ่งอยู่ในเมืองหนานโถว


จากสนามบินเถาหยวนรวมแวะกินข้าวเช้าที่จุดพักรถก็เป็นเวลาเกือบห้าชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงทะเลสาบสุริยันจันทรา ผมยังจำได้ดีว่าตอนเด็กๆ เวลาพ่อแม่พาไปเที่ยวทะเล ทันทีที่มองออกไปนอกกระจกรถแล้วเห็นทะเลแวบแรก หัวใจผมจะชุ่มชื่นขึ้นทันที นั่นแหละครับคือความรู้สึกเดียวกับตอนที่มองเห็นเวิ้งน้ำกว้างใหญ่ของทะเลสาบแห่งนี้ แต่ถึงจะตื่นเต้นและอยากลงไปปั่นจักรยานแค่ไหน แต่ดูเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเกือบเที่ยงและท้องผมก็ร้องเป็นสัญญาณว่าพลังงานใกล้หมด ดังนั้นภัตตาคาร Ming Hu ริมทะเลสาบจึงเป็นที่เติมพลัง ด้วยเมนูขึ้นชื่ออย่าง ปลาประธานาธิบดี (ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าชื่อนี้ได้มาเพราะเป็นเมนูที่ประธานาธิบดีเจียงไคเช็กโปรดปราน) และอาหารพื้นเมืองอีกหลายชนิด ซึ่งต้องบอกว่ารสชาติค่อนข้างดีทีเดียว แม้จะไม่จัดจ้านเหมือนอาหารไทยแต่สำหรับคนกินง่ายอยู่ง่ายอย่างผม อาหารไต้หวัน...สบายมาก


อิ่มท้องแบบพอดีๆ ก็ถึงเวลาปั่นจักรยาน แม้แดดบ่ายจะร้อนแรงแค่ไหน แต่เมื่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าก็อดใจไม่ได้ที่จะยอมตากแดดตัวดำ เราสตาร์ทกันที่ลานจอดรถใกล้ร้านอาหาร ไปตามถนนรอบทะเลสาบ ที่ว่ารอบนี่ไม่ใช่รอบเล็กๆ แบบสร้างภาพนะครับ เพราะพวกเราจัดเต็มกันจริงๆ เริ่มต้นไม่ทันไรก็เจอเนินก่อนเลย จนผมต้องถามตัวเองว่าจะไหวจริงหรือ? นี่แค่เริ่มต้นเองนะ


แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เส้นทางสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งสร้างความกังขาในหัวผม ทว่าทันทีที่ทอดสายตาไปยังด้านขวา (เพราะเราปั่นชิดขวา เวียนขวารอบทะเลสาบ) แสงแดดระยิบระยับประกายบนผืนน้ำใสๆ มีเส้นขอบฟ้าไกลสุดตาเป็นฉากหลัง และมีต้นไม้ร่มรื่นเป็นฉากหน้า หากสายตาผมเป็นเลนส์กล้องคงปรับให้เกิดระยะชัดลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้


เห็นบรรยายว่าดีอย่างนี้ แต่เส้นทางก็ยังคงเป็นทางขึ้นเขา เนินชัน เนินซึม และคดเคี้ยวอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าทะเลสาบสุริยันจันทรามันสวยงามจนผมว่าคุ้มนะที่จะเหน็ดเหนื่อยปั่นจักรยานเที่ยวให้รอบ จากที่ทราบมาทะเลสาบนี้ถูกขนานนามว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งไต้หวันเลยเชียว และเป็นที่ที่ชาวไต้หวันนิยมมาฮันนีมูนกันมากที่สุดแห่งหนึ่งด้วย


ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวันอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 760 เมตร มีเนื้อที่ 900 เฮคตาร์ มีเกาะที่มีชื่อว่า กวง หวา เต่า ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ ด้านทิศเหนือของทะเลสาบมีรูปทรงคล้ายพระอาทิตย์ ส่วนด้านทิศใต้นั้นมีรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว จึงถูกขนานนามว่าทะเลสาบสุริยันจันทรา นอกจากจะปั่นจักรยานเที่ยวได้แล้วที่นี่ก็มีบริการล่องเรือชมทะเลสาบด้วย มีรีสอร์ทและโรงแรมตั้งอยู่ริมทะเลสาบหลายแห่ง หนึ่งในนั้นเคยเป็นบ้านพักตากอากาศของประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก และมาดามซ่งผู้เป็นภรรยา แต่ปัจจุบันได้สร้างเป็นโรงแรมหรูไว้บริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีแหล่งชอปปิงรวมตัวอยู่บริเวณท่าเรืออีกด้วย


มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยก่อนมีเผ่าพื้นเมืองเผ่าหนึ่ง (จาก 12 เผ่า) ชื่อว่าเผ่าเส้าจู่ ซึ่งเป็นเผ่าที่มีคนน้อยที่สุดในบรรดาเผ่าต่างๆ ชนเผ่าเส้นจู่เป็นพวกชอบล่าสัตว์ พวกเขาตามล่าสัตว์สีขาว 3 วัน 3 คืนก็จับไม่ได้ ล่าไปล่ามาจนถึงทะเลสาบสุริยันจันทรานี้ ก็เลยตั้งรกรากที่นี่ ส่วนสัตว์สีขาวตัวนั้นก็หายสาบสูญ แต่ชาวเส้าจู่หันไปเห็นต้นไม้ใหญ่แล้วคิดว่าสัตว์ปริศนาสีขาวที่พามาถึงที่นี่ ซึ่งมีน้ำ ปลา อาหารอุดมสมบูรณ์ แท้จริงแล้วคือเทพเจ้า จึงให้ความเคารพต้นไม้ต้นนั้น (เรียกว่า เฉียตงซู่)


ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทะเลสาบจะแบ่งเป็น 2 ซีก คั่นด้วยทางเดินที่เป็นเกาะลาหลู เวลามองไปที่ทะเลสาบ จะเห็นเป็น 2 ซีก ซีกหนึ่งจะเห็นพระอาทิตย์ อีกซีกหนึ่งจะเห็นพระจันทร์พร้อมๆ กัน แต่ตอนนี้ปรากฏการณ์แบบนั้นไม่มีแล้ว แผ่นดินไหวทำให้เกาะตรงกลางหายไป ตอนนี้เหลือแต่อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดวันพระจันทร์เต็มดวง ตอนที่พระจันทร์ขึ้นเต็มที่แล้ว แสงจะสะท้อนลงไปที่ทะเลสาบ ให้เห็นเป็นพระอาทิตย์ จะดูเหมือนว่ามีทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่พร้อมๆ กัน น่ามหัศจรรย์มาก


แต่ที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าคือผมได้ปั่นจักรยานขึ้นเนินกลางแดดราว 40 กิโลเมตร ซึ่งนั่นก็กินเวลาไปเกือบครึ่งวัน หากให้คะเนนความยากของเส้นทางนี้คือ 2.5 จาก 5 คะแนน แปลว่า “ไม่เหมาะสำหรับนักปั่นมือใหม่”


อ๋อ...ลืมบอกไปว่าที่ทะเลสาบนี้เป็นที่ตั้งของวัดกวนอูด้วย เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งของไต้หวัน ซึ่งภายในจะเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของศาสดาขงจื้อเทพเจ้าแห่งปัญญา และเทพกวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ เป็นที่นับถือของชาวจีนและไต้หวัน รวมถึงสิงโตหินอ่อน 2 ตัว ที่ตั้งอยู่หน้าวัดซึ่งมีมูลค่าตัวละ 1 ล้านเหรียญไต้หวันทีเดียว!


และเพื่อให้จบเส้นทางรอบทะเลสาบสุริยันจันทราอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเราจึงต้องปั่นขึ้นไปถ่ายรูปกับป้ายสัญลักษณ์ดวงจันทร์ แล้วตามด้วยการปั่นลอดอุโมงค์จุดชมวิว ที่ต้องบอกว่าใครไม่ลอดแปลว่าคุณปั่นมาไม่รอด (ฮา...)


ซิตี้ออฟไบค์ ไทเป


นอกจากความงดงามของทะเลสาบสุริยันจันทราที่ต้องยกนิ้วให้ ไต้หวันทุกซอกทุกมุมยังเต็มไปด้วยจักรยาน จักรยาน และจักรยาน แม้แต่ในเมืองหลวงอย่างไทเป


สำหรับในเมืองไทเป เราเริ่มต้นเส้นทางกันที่ซิเหมินติง แหล่งชอปปิงสุดฮิต โดยใช้ทางจักรยานที่ลากยาวไปทุกมุมเมือง นับเป็นความสะดวกสบายที่นักปั่นจักรยานหลายคนปรารถนา คือไม่ใช่แค่มีทางจักรยานให้ได้ใช้ ทางจักรยานเหล่านี้ยังเชื่อมโยงจุดสำคัญๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ราชการ ย่านการค้า หรือแม้แต่ศาสนสถาน


จุดแรกที่แวะถ่ายรูปคือ อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก


แม้จะเป็นเมืองจักรยานแต่ก็ใช่ว่าคุณจะจอดจักรยานไว้ที่ไหนก็ได้ เพราะมีเซียนไต้หวันหลายคนเตือนว่าระวังจักรยานหาย! ถ้าเป็นไปได้ให้พาจักรยานไปด้วยกันตลอด แต่บางสถานที่อย่างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ก็ไม่ได้อนุญาตให้นำจักรยานเข้าไป ผมจึงได้แค่พิงจักรยานแล้วรีบวิ่งเข้าไปดู ไปถ่ายรูปข้างใน แล้วต้องรีบวิ่งกลับออกมา ถ่ายรูปจากข้างนอกต่อ


แต่ก็ไม่ลืมที่จะหาข้อมูลมาเล่าให้คุณฟัง...


อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก อยู่ในพื้นที่เขตจงเจิ้นของเมืองไทเป โดยมีอาคารสองแห่งใหญ่ๆ ตั้งคู่ทางด้านหน้าทั้งขวาและซ้าย คือ National Theater และ National Concert Hall ส่วนบริเวณรอบๆ มีสวนสาธารณะที่ชาวไทเปนิยมมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเช็ก ใช้เวลาสร้างถึง 3 ปี สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2523 มีพื้นที่ประมาณ 205 แสนตารางเมตร โดยรูปปั้นสร้างจากโลหะสัมฤทธิ์ ตัวตึกมีสีขาว หลังคาปูกระเบื้องสีฟ้า ผนังทำด้วยหินอ่อน มีสนามหญ้าสวนดอกไม้เป็น 3 สีเดียวกับสีธงชาติไต้หวัน เป็นตัวแทนของท้องฟ้า พระอาทิตย์ และเลือดเนื้อที่สูญเสียไป เป็นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพ ความเสมอภาคและภราดรภาพ


แม้เจียงไคเช็กเป็นเพียงผู้ลี้ภัยมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เขาก็นำความคิดใหม่ที่แตกต่างมาสู่เกาะไต้หวัน


หลังจากนั้นเราปั่นกันต่อ ไปตามเส้นทางจักรยานที่ไม่มีตะแกรงฝาท่อแบบบ้านเรา (แซว) ผ่านตลาดของกินเก่าแก่หย่งคัง มาจนถึงร้านจักรยานชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวัน ร้านนี้ดังชนิดที่ว่าผมเคยเห็นร้านนี้จากหนังสือนำเที่ยวและหนังสือจักรยานเกือบทุกเล่มที่กล่าวถึงร้านจักรยานที่ไต้หวัน ดังอย่างนี้พลาดไปไม่ได้ ต้องแวะสักหน่อยที่ร้าน Sense 30


ร้าน Sense 30 อยู่ในซอยเล็กๆ และร้านนี้ก็คล้ายบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง แต่สิ่งที่แตกต่างจากบ้านและอาคารข้างเคียงคือ ที่นี่มีจักรยานคันงามจอดให้เห็นจากหน้าร้าน และเมื่อมองทะลุกระจกใสเข้าไปในร้านก็จะเห็นจักรยานและอุปกรณ์ต่างๆ มากมายดึงดูดให้คนรักจักรยานเปิดประตูเข้าไป


เมื่อเข้าไปบอกได้คำเดียวว่านี่คือสวรรค์ของคนรักจักรยานสายวินเทจ หรือจักรยานโบราณคลาสสิค เพราะทุกมุมของร้านมีกลิ่นอายของจักรยานวินเทจอยู่เต็มเปี่ยม ทั้งจักรยานสวยๆ อุปกรณ์เก๋ๆ ไปจนถึงเครื่องแต่งกายแบบย้อนยุคทว่าดูดีมีสไตล์ก็มีให้เลือกชมเลือกช้อป


หรือถ้าใครต้องการสั่งผลิตเฟรมจักรยานเฉพาะตัว คือสั่งทำตามขนาดและความชอบส่วนบุคคล ที่นี่ก็มีให้บริการด้วยสนนราคาที่ผมว่าถึงจะค่อนไปทางแพงแต่ถ้ามันใช่ก็น่าลงทุน


เดินชมทั่วร้าน มีของหลายอย่างที่โดนใจ แต่สำหรับผมซึ่งไม่ใช่สายวินเทจจำต้องโบกมือลา แม้ของจะสวยแค่ไหนแต่ซื้อไปก็อาจไม่ได้ใช้จะเสียของเปล่าๆ สู้เอาเงินไปจ่ายค่ากาแฟหอมๆ ที่ร้าน Taste ซึ่งห่างไปอีกนิดหน่อยดีกว่า


บรรยากาศร้าน Taste น่าจะถูกใจคนรักกาแฟแต่มีใจให้จักรยานด้วย เพราะมีหลายมุมที่สะท้อนความหลงใหลในรถถีบ แสงจากหลอดไฟทังสเทนเมื่อบวกกับกลิ่นกรุ่นกาแฟ ทำให้ผมหมดเวลาไปกับร้านนี้ได้มากทีเดียว แต่เรายังต้องไปต่อเพราะนี่ก็มืดมากแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเห็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เลย...


จากร้านกาแฟไปตามท้องถนนยามค่ำคืนของเมืองไทเป แสงสีกับอากาศเย็นกำลังดี ยิ่งตอกย้ำความเป็นเมืองแห่งจักรยาน ซึ่งก็น่าแปลกอยู่นิดหน่อยคือ เราจะไม่ค่อยเห็นจักรยานราคาแสนแพงบนท้องถนนแห่งนี้ แต่จักรยานที่ชาวไทเปนิยมกลับเป็นจักรยานแม่บ้าน หรือจักรยานธรรมดาซึ่งจะว่าขัดกับชื่อชั้นเมืองจักรยานก็ได้ แต่อีกมุมหนึ่งนี่เป็นการตบหน้า (ให้ตื่น) ว่าที่ค่านิยมจักรยานราคาอภิมหาแพงนั้นไม่ได้การันตีความเป็นเมืองแห่งจักรยานได้เลย เมืองที่มียอดขายจักรยานถล่มทลายกับเมืองที่มีคนใช้จักรยานในชีวิตประจำวันล้นหลามนั้นอาจไม่ใช่เมืองเดียวกัน


บ่นในใจได้ประเดี๋ยวเดียวสายตาก็เหลือบไปเห็นตึกสูงเด่น แม้เราจะไม่ได้เข้าใกล้ตัวตึกนี้มาก แต่ความสูงใหญ่ก็ช่วยให้เห็นตึกไทเป 101 ได้ชัดเจนเหลือเกิน


ตึกไทเป 101 เดิมชื่อศูนย์การเงินโลกไทเป เป็นตึกระฟ้าตั้งอยู่ในย่านซินยี ตึกนี้ได้เป็นตึกสูงที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ พ.ศ.2547 จนกระทั่งตึกเบิร์จคาลิฟา ดูไบ มาแย่งตำแหน่งนี้ไปเมื่อพ.ศ.2553 ส่วนเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2554 ตึกไทเป 101 ได้รับเอกสารรับรองลีดแพลตินัม รางวัลสูงสุดในระบบการจัดอันดับผู้นำการออกแบบพลังงานและสิ่งแวดล้อม และกลายเป็นอาคารสีเขียวสูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก


ผมมองดูตึกนี้อยู่นาน กดชัตเตอร์ไปก็หลายที แล้วหันกลับลงมามองจักรยานที่พาผมมาถึงตรงนี้ได้ นี่คือจุดที่ผมเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะปั่นจักรยานไปให้ไกลกว่าหน้าปากซอย ไปโรงเรียน ไปเที่ยวละแวกบ้าน บ่อยครั้งที่ความคิดฝันเตลิดไกลถึงขั้นว่าผมอยากปั่นจักรยานรอบโลก วันนี้ผมอาจยังไปไม่รอบโลก แต่อย่างน้อยผมก็กำลังยืนอยู่ ณ ศูนย์กลางของจักรยานแห่งโลกนี้แล้ว