เรื่อง ‘รัก’ ในโลงไม้

เรื่อง ‘รัก’ ในโลงไม้

เมื่อนักโบราณคดีพบ ‘รัก’ ครั้งแรกในโลงไม้ที่มีอายุเกือบสองพันปี หลักฐานการใช้ยางรักนี้จะไขเงื่อนงำในอดีตได้หรือไม่

ลึกเข้าไปในความมืดมิด โลงไม้ กระดูกมนุษย์ และข้าวของเครื่องใช้ในสภาพแตกหักกองเกลื่อนอยู่ในโถงถ้ำด้านใน...

มันเป็นการค้นพบทางโบราณคดีบนพื้นที่สูงครั้งสำคัญของทีมวิจัยเรื่องการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์กับสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน นำทีมโดย รศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช นักโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งทำการต่อยอดจากโครงการวิจัยเรื่องโบราณคดีบนพื้นที่สูงในอำเภอปางมะผ้า ระหว่างปี พ.ศ.2544-2549 ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

ระหว่างการสำรวจและเก็บข้อมูลเบื้องต้น ณ ถ้ำแห่งใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2553 ทีมวิจัยได้พบโลงไม้จำนวนมากหลากหลายขนาด บางโลงยังประกบปิดอย่างมิดชิด บางโลงเปิดให้เห็นชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ ใกล้ๆ กันมีลูกปัด กระดูกสัตว์ อุปกรณ์การทอผ้า เศษผ้า และอื่นๆ อีกมากมาย ถือเป็นหลักฐานที่มีความสมบูรณ์ที่นสุดเท่าที่เคยมีการสำรวจพบในพื้นที่ปางมะผ้า

ทว่า ท่ามกลางหลักฐานทางประวัติศาสตร์นับร้อยนับพันชิ้นที่เงียบงันอยู่ความมืดนั้น แสงไฟของนักวิจัยได้เปิดเผยให้เห็นคราบสีดำบนฝาโลงไม้บางโลงที่วางเรียงรายระเกะระกะ หลังจากนั้นจึงมีการค้นพบภาชนะ และเศษเครื่องจักสานที่มีของเหลวสีดำเคลือบอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะนำมาซึ่งข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นว่า นี่คือร่องรอยการเคลือบยางรักที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

ด้วยความพิเศษของการพบโลงไม้ที่มีการลงรักเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการศึกษาวัฒนธรรมโลงไม้อย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่า แหล่งโบราณคดีถ้ำผีแมนโลงลงรัก

“นี่เป็นการพบรักครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการกำหนดอายุได้ นั่นคือประมาณ 1,900 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งแต่เดิมรักที่เราพบจะอยู่ในช่วงสมัยไม่กี่ร้อยปี เพราะฉะนั้นในอายุที่เราได้มาซึ่งมีการพบทั้งการตกแต่งโลงไม้ เป็นภาชนะ และวัสดุอื่นๆ มันแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนที่ใช้รักในวัฒนธรรมโลงไม้นี้ซึ่งมีมานานมากแล้วข้อมูลพวกนี้เราไม่เคยพบมาก่อน 

ความรู้ที่เราได้มาใหม่มันจะเปิดประเด็นทำให้เราทำความเข้าใจอะไรได้มากขึ้นเกี่ยวกับภูมิปัญญาของคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่อยู่ในพื้นที่และทำให้เรารู้ว่าต้นรักน่าอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้นมานานแล้ว เขาถึงได้รู้จักเอายางรักมาใช้”รศ.ดร.รัศมี ชูทรงเดช หัวหน้าโครงการวิจัยฯ เผยหลักฐานชิ้นใหม่ที่ไม่เพียงช่วยสืบค้นที่มาของการใช้รักในงานหัตถศิลป์ในไทย ยังอาจจะช่วยคลี่คลายปริศนาว่าใครคือเจ้าของวัฒนธรรมโลงไม้อายุนับพันปีเหล่านี้

วัฒนธรรมโลงไม้ หรือโลงผีแมน ตามความเชื่อของคนท้องถิ่น คือลักษณะเฉพาะของการปลงศพที่พบในพื้นที่สูงอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีความโดดเด่นอยู่ตรงการเลือกสถานที่วางโลงไม้ซึ่งมักจะอยู่ในถ้ำที่มีความสูงจากพื้นดินและมีภูมิทัศน์ที่สวยงาม โดยลักษณะของโลงไม้จะทำจากไม้สักผ่าครึ่งและขุดส่วนกลางออก ส่วนปลายทั้งสองด้านมีการแกะสลักเป็นรูปต่างๆ ไม้ที่ผ่าครึ่งจะประกบกันเป็นคู่

โลงไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางบนเสาไม้จำนวน 4-6 เสา หรือวางไว้บนคานภายในถ้ำ มีบ้างที่วางอยู่บนพื้นดิน อย่างเช่นในถ้ำโลงลงรักซึ่งเป็นถ้ำที่มีการสำรวจหลังสุดและพบหลักฐานใหม่ๆ หลายชิ้น อาทิ การค้นพบหลักฐานการฝังศพครั้งที่หนึ่งในโลง การพบฟันที่ตกแต่งด้วยทองคำ และการพบ‘รัก’ ซึ่ง กิตติคุณ จันทร์แย้ม นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาโบราณคดี (ก่อนประวัติศาสตร์) ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบการใช้ยางรักในวัฒนธรรมโลงไม้ กับกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่และไทเขินในปัจจุบัน เพื่อหาคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดกับเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้เมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว

“เรื่องเกี่ยวกับเทคนิคหรือการใช้ยางรักในประเทศไทย ถ้าสืบย้อนกลับไปได้เก่าที่สุดก็คือประมาณช่วงอยุธยาในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง เพราะว่าในสมัยนั้นมีพงศาวดารของพม่าระบุเอาไว้ว่า พระเจ้าบุเรงนองมาตีเมืองเชียงใหม่แล้วก็ได้มีการกวาดต้อนช่างฝีมือช่างผลิตเครื่องเขินไป ซึ่งช่างตรงนั้นเป็นคนใช้ทรัพยากรรักโดยตรง แล้วช่างกลุ่มนี้ปัจจุบันก็ยังผลิตเครื่องเขินอยู่ในพม่า อันนี้เป็นเพดานความรู้ที่เรามีว่ายางรักมีการใช้งานมาตั้งแต่สมัยอยุธยา 

แต่ว่าถ้าพิจารณาถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานที่บ่งบอกถึงการใช้ยางรักในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของไทย ครั้งนี้ก็เลยเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งว่า โลงไม้ ภาชนะ หรือเครื่องจักสานที่เราพบว่าเคลือบด้วยยางรัก มันอาจจะช่วยคลี่คลายเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ยางรักในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของไทยได้”

หลังจากสำรวจและเก็บข้อมูลอย่างละเอียดภายในถ้ำโลงลงรัก เขาพบหลักฐานชิ้นสำคัญ ได้แก่ ภาชนะไม้เคลือบยางรักกว่า 70 รายการ โดยรูปแบบภาชนะที่สามารถระบุได้ชัดเจน มีทั้งภาชนะทรงถ้วย และภาชนะทรงพานก้นลึก ซึ่งมีลักษณะคล้ายงานฝีมือประเภทเครื่องเขินของชาวไทเขิน

ในส่วนของโลงไม้ที่มียางรักปรากฎบนผิวไม้พบทั้งหมด 24 โลง แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือโลงไม้ที่มีการวาดลวดลายเรขาคณิตด้วยยางรัก จำนวน 3 ฝาโลง และโลงไม้ที่มีลักษณะการทายางรักเคลือบโลงไว้ จำนวน 21 ฝาโลง

นอกจากนี้ยังพบเศษเครื่องจักสานที่อยู่ในรูปของเส้นตอกที่จักจากไม้ไผ่ รวมทั้งเครื่องจักสานที่ทำจากหวาย ตลอดจนเครื่องจักสานที่มีสภาพเกาะติดกันเป็นแผ่น จากการเชื่อมติดของยางรัก ซึ่งกิตติคุณเห็นว่างานเครื่องจักสานเคลือบรักในวัฒนธรรมโลงไม้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องจักสานเคลือบรักของชาวไทใหญ่คือสานจากเส้นตอกไม้ไผ่ และมีรูปแบบลายสานชนิดลายขัดสอง แต่จะแตกต่างกับงานเคลือบรักของกลุ่มชาวไทเขิน ซึ่งมีความประณีตกว่ามาก

"ผมใช้การศึกษาที่เรียกว่า การศึกษาเปรียบเทียบโดยใช้แนวคิดชาติพันธุ์วรรณาในทางโบราณคดี โดยไปมองหากลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือว่ามีที่ไหนบ้างที่ยังมีการผลิตยางรักหรือว่าการใช้เครื่องเคลือบรักอยู่ ก็พบว่ามีสองกลุ่มชาติพันธุ์คือ ไทใหญ่และไทเขิน ที่ผมเลือกศึกษาไทใหญ่ บ้านถ้ำลอด ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับแหล่งโบราณคดี ก็เพราะจากองค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมโบราณ สิ่งแวดล้อมมันน่าจะคล้ายคลึงกับในอดีตเมื่อสองพันกว่าปีที่ผ่านมาในวัฒนธรรมโลงไม้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะมีต้นรักอยู่ด้วย เพราะปัจจุบันก็มีต้นรักขึ้นเต็มเลย อีกอย่างผมไปสัมภาษณ์คนแก่รุ่นประมาณ 60 ปีขึ้นไป เขาเคยมีประสบการณ์ในการกรีดยางรักและเคลือบยางรัก

ส่วน ไทเขิน เชียงใหม่ ที่ผมเลือกเพราะที่ถ้ำเองมีการค้นพบภาชนะไม้ทรงพาน ซึ่งนักวิจัยอีกท่านก็สันนิษฐานว่าน่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องเขินของไทเขิน อีกประการหนึ่ง ไทเขินเนี่ยถ้าตามแนวคิดชาติพันธุ์วรรณา ถือได้ว่ามีความต่อเนื่องทางวัฒนธรรม เพราะกลุ่มนี้พอสืบเอกสารพงศาวดารไปแล้ว เขาอพยพมาจากเมืองเชียงตุงในรัฐฉาน ซึ่งตรงนั้นก็เป็นพื้นที่ที่เก็บยางรักเช่นเดียวกัน มีการอพยพมาตั้งแต่ยุคพระเจ้ากาวิละ แล้วก็มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ก็เลยพิจารณาศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นหลัก"

ผลจากการศึกษานอกจากจะทำให้ทำนายได้ว่ามนุษย์ในวัฒนธรรมโลงไม้อาจมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต้นรักในพื้นที่บริเวณโดยรอบหมู่บ้านเช่นเดียวกับปัจจุบัน มีภูมิปัญญาการคัดเลือกต้นรักจากการประเมินลักษณะความสมบูรณ์ของลำต้น

เขายังวิเคราะห์ต่อไปว่ามนุษย์ในวัฒนธรรมโลงไม้มีภูมิปัญญาการนำยางรักมาใช้ประโยชน์ โดยเห็นได้จากการใช้ยางรักที่ปรากฎหลักฐานบนโลงไม้ 2 ลักษณะ คือการใช้ยางรักวาดลวดลายบนตัวโลง และเคลือบตัวโลง สันนิษฐานว่านอกจากจะทำเพื่อตกแต่งโลงให้มีความสวยงามแล้ว ยังช่วยรักษาสภาพโลงไม้ได้เป็นอย่างดี

“ที่สำคัญหากพิจารณาจากข้อมูลวิธีการเก็บยางรักของกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ จะเห็นว่าต้นรักแต่ละต้นให้ปริมาณยางรักเพียงน้อยนิด แต่ด้วยความยาวของโลงไม้ประมาณ 3-5 เมตร การใช้ยางรักเคลือบหรือทาบนผิวโลงคงต้องใช้ยางรักในปริมาณที่มากจากต้นรักจำนวนหลายๆ ต้น จึงน่าจะแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ในอดีต และแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทให้ความสำคัญกับโลงไม้ที่ใช้บรรจุศพ อันเป็นเครื่องอุทิศครั้งสุดท้ายให้แก่ผู้ตายในวัฒนธรรมโลงไม้”

แม้ว่านี่จะเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้นที่ยังไม่อาจตอบคำถามสำคัญคือ ใครคือเจ้าของภูมิปัญญาการใช้รักรวมถึงวัฒนธรรมโลงไม้ แต่ทีมวิจัยก็ภูมิใจที่ได้ช่วยขยับจุดตั้งต้นของการใช้ยางรักในประเทศไทย

“การค้นพบหลักฐานครั้งนี้มันช่วยขยายพรมแดนความรู้เรื่องการใช้ยางรักในไทยว่า จริงๆ แล้วประเทศไทยก็มีการใช้ยางรักที่เก่าแก่ หรืออย่างน้อยที่สุดในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เลย” กิตติคุณ กล่าว

ขณะที่หัวหน้าทีมวิจัย รศ.ดร.รัศมี บอกว่า แม้การค้นพบครั้งนี้จะทำให้เราได้คำตอบที่น่าพอใจ ไม่เฉพาะกับงานด้านโบราณคดี แต่ยังรวมถึงงานด้านประณีตศิลป์ของประเทศ ทว่า ก็ได้สร้างคำถามใหม่ๆ ที่ท้าทายไม่น้อย

“ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคนในวัฒนธรรมโลงไม้มีภูมิปัญญาในการใช้รัก แต่เรายังไม่รู้ว่าความรู้เรื่องนี้มันมาจากไหน มันเป็นของดั้งเดิมจากตรงนี้ หรือมีการรับมาจากที่อื่น เพราะระยะเวลาก่อนหน้านั้น เพราะรักนี่ก็ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ของจีน แล้วในพม่า ในจีน และในไทย ก็มีการใช้รักมาอย่างยาวนาน”

ถ้าย้อนกลับไปดูหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดในการใช้ยางรักเท่าที่มี ณ ขณะนี้ แน่นอนจีนเป็นต้นทาง เนื่องจากมีการค้นพบเครื่องถ้วย ภาชนะไม้ ในแหล่งโบราณคดีอายุกว่า 7,000 ปี และที่น่าสนใจก็คือมีการใช้ภาชนะเคลือบยางรักเป็นสิ่งของที่อุทิศในสุสานในสมัยราชวงศ์ฮั่นด้วย

“แต่ในส่วนที่เป็นของเราเอง เราไม่รู้ว่าภูมิปัญญาในช่วงพันกว่าปีเกือบสองพันปี เป็นการที่เรารับความรู้มาจากทางจีนหรือเปล่า หรือเป็นของที่เราพัฒนาในท้องถิ่นเรา อันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามใหม่ที่จะต้องไปค้นหาต่อไป แต่ความรู้นี้เป็นความรู้ที่สำคัญมาก”

เนื่องจากการเคลือบรัก หรือการลงรัก ไม่เพียงเป็นหัตถกรรมท้องถิ่นที่สืบทอดกันมาในกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มในภาคเหนือ ยังได้ถูกยกระดับให้เป็นงานประณีตศิลป์ในรูปแบบของการลงรักปิดทอง โดยศิลปะลายรดน้ำลงรักปิดทองถือเป็นหนึ่งในงานช่างสิบหมู่ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับการยกย่องให้เป็นหัตถศิลป์ที่แสดงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ทรงคุณค่ายิ่ง การย้อนเวลาหาต้นตอของภูมิปัญญาการใช้รักจึงเป็นภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของทีมวิจัยนี้

“รัก เป็นส่วนหนึ่งของงานหัตถศิลป์ของไทย มันอยู่กับเรามาตั้งนานและเราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง รู้แต่ว่าอยู่ในงานที่เป็นประณีตศิลป์ชั้นสูง รวมทั้งงานของท้องถิ่นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความรู้ตรงนี้ อย่างน้อยก็ช่วยบอกเราได้ว่า งานแบบนี้มันมีช่างฝีมือหรือมีประวัติความเป็นมาในบ้านเรามานานมากแล้ว เพราะฉะนั้นพรมแดนความรู้ตรงนี้จะถูกขยายมากขึ้น ยิ่งถ้าเราศึกษาต่อจนรู้ว่าเทคนิคมันคล้ายกันในเรื่องของส่วนผสม ยิ่งแสดงให้เห็นว่ามันมีความต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ของเราเอง”

การวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ร่วมหลักฐานข้อมูลด้านอื่นๆ จึงเป็นกุญแจลำดับถัดไปที่จะไขปริศนาเรื่อง‘รัก’ในโลงไม้ ซึ่ง กิตติคุณ มองว่านี่จะทำให้ความเป็นอาเซียนถูกเชื่อมร้อยด้วยมิติทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอีกทางหนึ่ง

“ต้นรัก เป็นพันธุ์ไม้ที่พบเฉพาะในแถบเอเชียของเรา วัฒนธรรมโลงไม้นอกจากจะมีโลงไม้ที่เหมือนกันในจีน ฟิลิปปินส์ และหลายๆ ที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราก็ยังพบลักษณะสำคัญคือ การใช้ยางรักนี่แหละที่เหมือนกัน ตรงนี้จะช่วยยกระดับวัฒนธรรมและเชื่อมโยงว่ามันมีลักษณะร่วมกันของคนในภูมิภาคนี้” กิตติคุณ เชื่ออย่างนั้น

ท้ายที่สุด ไม่ว่าเงื่อนงำสุดท้ายจะให้คำตอบว่าใครเป็นเจ้าของภูมิปัญญาการใช้ยางรักในถ้ำโลงลงรักแห่งนี้ ...รักก็จะยังเป็นมรดกร่วมที่ทรงคุณค่าและควรค่าแก่การสืบสาน