หอมกลิ่นความหลังที่ย่านเก่า "ตะกั่วป่า"

หอมกลิ่นความหลังที่ย่านเก่า "ตะกั่วป่า"

ในอดีตที่ผ่านมาพื้นที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นเมืองเก่าและเป็นศูนย์กลางการค้ามีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่โบราณ ในชื่อ "ตะโกลา" นับเ

ในอดีตที่ผ่านมาพื้นที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นเมืองเก่าและเป็นศูนย์กลางการค้ามีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่โบราณ ในชื่อ "ตะโกลา" นับเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของฝั่งทะเลอันดามัน หลากหลายชนชาติเคยเดินทางเข้ามาค้าขาย โดยเฉพาะชนชาติอินเดียที่ได้มาถึงเมืองนี้ก่อนชนชาติอื่นๆ ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือมิลินทปัญหาซึ่งได้เขียนไว้เมื่อประมาณ พ.ศ.500 ว่าชาวอินเดียเรียกเมืองตะกั่วป่าว่า "ตกุโกล" หรือ "ตกโกล" ในภาษาบาลีและ "ตกุล" ในภาษาสิงหล ซึ่งแปลว่า "กระวาน" แสดงถึงการเป็นดินแดนที่มี "เครื่องเทศ" เป็นสินค้าสำคัญ


ต่อมาจึงได้มีชนชาวกรีก อาหรับและเปอร์เซียเข้ามาติดต่อค้าขายในเมืองนี้ โดยเรียกเมืองนี้ว่า "ตะโกลา" อาหรับเรียกว่า "กะกุละ" หรือ "กะโกละ" นอกจากนี้ ยังมีชาวจีนที่นำเครื่องกระเบื้องเข้ามาค้าขาย รวมทั้่งชนชาติอื่นๆ ที่ตามมา


"ตะโกลา" เคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ เคยเป็นเมืองท่าจอดเรือที่ใช้เป็นเส้นทางลัดขนสินค้าข้ามคาบสมุทรมลายูจากฝั่งทะเลอันดามันไปยังอ่าวไทย จนเข้าสู่ยุคของเมือง "ตะกั่วป่า" ก็เคยเป็นเมืองที่มีฐานะเป็น "จังหวัด" ขึ้นกับมณฑลภูเก็ตจากความสำคัญทางเศรษฐกิจที่สามารถผลิตแร่ดีบุกได้มากที่สุด ก่อนที่เมืองตะกั่วป่าจะมาเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพังงาจนถึงปัจจุบัน

ตามรอย "ตะโกลา"
การเดินทางย้อนอดีตเมืองตะโกลาครั้งนี้เริ่มต้นในเช้าวันหนึ่ง หลังจากเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าสไตล์คนท้องถิ่นที่ร้าน "จิ้นเก้ง" ร้านอาหารเช้าที่เน้น ขนมจีบ ซาลาเปา ปาท๋องโก๋ และชา กาแฟร้อนแบบเข้มข้น เปิดขายมาแล้ว 3 รุ่น รวมเวลากว่า 100 ปี ก่อนจะนั่งรถ "โพ้ถ้อง" หรือรถสองแถว พาหนะท้องถิ่นของคนตะกั่วป่า น่าจะเป็นรถแบบเดียวกันรุ่นท้ายๆ ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองไทย เพื่อชมวิถีชีวิตของเมืองตะโกลา


หนึ่งในหลักฐานความรุ่งเรืองของเมืองตะกั่วป่าอยู่ที่ "โรงเรียนเต้าหมิง" สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปีพ.ศ.2465 หรือเกือบร้อยปีที่ผ่านมา โดยการเรี่ยไรเงินทุนจากเศรษฐีเหมืองแร่และพ่อค้าชาวจีนในตลาดเก่า ตลาดย่านยาว จังหวัดระนองและภูเก็ต เพื่อให้บุตรหลานของคนจีนที่อาศัยอยู่ในเมืองตะกั่วป่าได้เล่าเรียนหนังสือโดยใช้เงินทุนในการปลูกสร้างอาคารประมาณ 20,000 บาท เป็นอาคารทรงชิโนโปรตุกีสประยุกต์ ตัวอาคารเป็นคอนกรีต เครื่องบนเป็นไม้ หลังคามุงสังกะสี


ที่น่าสนใจ คือ บริเวณหน้าจั่วด้านหน้ามีลายปูนปั้นเป็นภาพ “ตะวันฉาย” เปล่งรัศมีเป็น 12 แฉก เป็นสัญลักษณ์แบบเดียวกับธงประจำพรรคก๊กมินตั๋งและตราแผ่นดินของสาธารณรัฐจีน ภาพ “ตะวันฉาย” ปรากฏในผืนธงเป็นภาพดวงอาทิตย์สีขาวอยู่บนพื้นสีน้ำเงิน มีรัศมี 12 แฉกหมายถึงเดือนทั้ง 12 เดือน และระบบการแบ่งเวลาเป็น 12 ชั่วโมงแบบจีน (1 ชั่วโมงจีนเท่ากับ 2 ชั่วโมงสากล) ซึ่งสะท้อนเรื่องราวของชุมชนเชื้อสายจีนและบริบททางด้านการเมืองในตะกั่วป่า


จากโรงเรียนเต้าหมิงเราเดินทางต่อไปที่ "วัดเสนานุชรังสรรค์" หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "วัดใหม่กำแพง" เนื่องจากวัดนี้มีกำแพงสูงเด่น เล่ากันว่าวัดนี้พระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) ผู้สำเร็จราชการเมืองตะกั่วป่า เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปีพ.ศ.2390 ในยุคของการสร้างเมืองตะกั่วป่า โดยหลังจากที่ได้สร้างกำแพงเมือง สถานที่ว่าการ รวมทั้งที่พำนักของพระยาเสนานุชิตเสร็จแล้ว จึงได้สร้างวัดนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นพุทธบูชา เล่ากันว่าในสมัยที่ตะกั่วป่ามีฐานะเป็นเมืองได้ใช้อุโบสถของวัดนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาด้วย มาที่นี่ต้องไม่พลาดชมธรรมาสน์เก่าแก่ ด้านหลังมีตราสัญลักษณ์จปร.และข้อความ "ทรงพระราชอุทิศ ในงานพระบรมศพ"และภาพถ่ายพระยาเสนานุชิตที่ฐานพระประธานในพระอุโบสถ


ร่องรอยความรุ่งเรืองของธุรกิจเหมืองแร่ยังหลงเหลือให้ได้ศึกษาที่ "บริษัทเรือขุดแร่บุญสูง" ก่อตั้งโดยนายจุติ บุญสูง นายเหมืองแร่และนักธุรกิจที่สำคัญคนหนึ่งของภาคใต้ จุติเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกกิจการเหมืองแร่ขนาดใหญ่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ดำเนินกิจการเหมืองแร่เจริญมาตามลำดับ มีเหมืองแร่ที่อยู่ในเครือบริษัทมากมาย มีทั้งเรือขุดแร่ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งโรงแต่งแร่ดีบุกและพลอยที่ทันสมัยขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต สามารถแต่งแร่ดีบุกและพลอยส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศปีละไม่น้อย รวมทั้งมีส่วนในการสนับสนุนตั้งโรงงานถลุงแร่ขึ้นในประเทศ ซึ่งทำให้ไม่ต้องส่งแร่ที่ขุดได้ไปถลุงในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงถลุงแร่ดีบุกแหล่งใหม่ที่จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย โดยให้มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด


อีกจุดที่น่าแวะเข้าไปชม คือที่ตั้งของ "หม้อสตีมไอน้ำเรือกลไฟ" เป็นชิ้นส่วนของเรือกลไฟ ซึ่งพระยาเสนานุชิต (นุช ณ นคร) ได้เข้าหุ้นกับพระยาวิชิตสงคราม (ทัต รัตนดิลก ณ ภูเก็ต) ซื้อมาเมื่อ พ.ศ.2410 เพื่อใช้ปราบโจรสลัดและขนส่งสินค้าระหว่างเมืองตะกั่วป่า ภูเก็ต ปีนัง สันนิษฐานว่าเมื่อเรือลำนี้เสื่อมสภาพได้จมลงบริเวณลำน้ำตะกั่วป่า แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจมลงเมื่อใด พบเพียงชิ้นส่วนหม้อสตีมไอน้ำตั้งอยู่หน้ากำแพงจวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า ชี้ให้เห็นว่าในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นลำน้ำใหญ่มาก่อน


ชิ้นส่วนที่หลงเหลือของหม้อสตีมไอน้ำเรือกลไฟจึงถือว่าเป็นโบราณวัตถุที่มีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางการค้าของเมืองตะกั่วป่าในอดีต

อดีตมีชีวิต บนถนนวัฒนธรรมตะกั่วป่า
จากตัวเมืองตะกั่วป่าไปทางตลาดเก่าไม่ไกล ก็มาถึง "ถนนศรีตะกั่วป่า" หรือถนนสายวัฒนธรรมเมืองเก่าตะกั่วป่า ย่านเก่าแก่อีกแห่งของเมืองตะกั่วป่า เป็นที่ตั้งของตึกแถวและบ้านเรือนเก่าแก่ทรงชิโน-โปรตุกีสหลายหลังเรียงรายสองข้างทาง


สถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสบนนถนนศรีตะกั่วป่า เกิดจากการที่คนเชื้อสายจีนที่เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อทำธุรกิจหรือเป็นแรงงานในกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ตะกั่วป่า และได้รับผสมผสานรูปแบบศิลปะตะวันตกที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านทางการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ


อาคารเก่าบนถนนศรีตะกั่วป่ามีทั้งอาคารชิโน - โปรตุกีส แบบที่มีโครงสร้างแบบใช้กำแพงรับน้ำหนัก มีอาณาเขตด้านหน้าอาคารและมีลวดลายประดับอาคารเป็นแบบยุโรป อาคารชิโน-โปรตุกีสประยุกต์ที่มีโครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กและยังรักษาธรรมเนียมการมีลวดลายประดับอาคารในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลวดลายแบบจีนหรือยุโรปหรือแบบอุตสาหกรรม และสุดท้ายคือสถาปัตยกรรมท้องถิ่น เป็นอาคารเรือนแถวไม้


สองฟากฝั่งบนถนนเส้นนี้ ยังคงเต็มไปด้วยอาคารแบบชิโน - โปรตุกีส ที่แม้จะมีโครงสร้างคล้ายกัน หากแต่ละหลังยังแสดงเอกลักษณ์เฉพาะด้วยลวดลายปูนปั้น ซุ้มประตูโค้ง ลายแกะสลักไม้ สีสันของตัวอาคารที่แตกต่างกัน ที่ยังคงได้รับการรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพที่ดีและยังคงใช้อยู่อาศัยได้จนถึงปัจจุบัน


นึกภาพย้อนไปถึงยุคที่ธุรกิจเหมืองแร่เฟื่องฟู ถนนสายนี้คงจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่หลั่งไหลสู่เมืองตะกั่วป่าเพื่อติดต่อค้าขาย แม้ว่าหลังผ่านยุคทองของการทำเหมืองถนนศรีตะกั่วป่าคงเงียบเหงาลง แต่เมื่อไม่นานมานี้มีความพยายามของคนตะกัวป่าที่จะทำให้ถนนสายนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยจัดเป็นถนนคนเดิน ร้านรวงต่างๆ บนถนนสายนี้ยินดีเปิดรับและให้ข้อมูลกับผู้มาเยือนที่ต้องการเข้าไปศึกษาร่องรอยอดีตที่ยังหลงเหลือ
บนถนนสายนี้เป็นที่ตั้งของ ร้าน "แม่อารี" ร้านขนม "เต้าส้อ" ต้นตำรับของตะกั่วป่าที่ยังเปิดขายอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นร้านเต้าส้อที่เก่าแก่ที่สุดในอำเภอตะกั่วป่า เปิดขายมายาวนานกว่า 100 ปี ขนมเต้าส้อทานได้ในทุกโอกาส โดยเฉพาะทานกับเครื่องดื่มร้อนๆ จะเข้ากันเป็นพิเศษ เป็นที่นิยมของคนตะกั่วป่ามาหลายชั่วอายุคน ถือเป็นวัฒนธรรมการกินอย่างหนึ่งของชาวตะกั่วป่าก็ว่าได้


นับเป็นโชคดีของคนเขียนที่มีโอกาสได้บุกเข้าไปถึงหลังร้านแม่อารี ดูการผลิตเต้าส้อทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการชิมขนมเต้าส้อที่อบเสร็จใหม่ๆ จากเตา แป้งยังกรอบ ไส้เหนียวนุ่ม ที่สำคัญไม่หวานเกินไป ซึ่งรสชาติของแป้งและไส้เต้าส้อแต่ละร้านจะมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง


อีกจุดที่ไม่ควรพลาดบนถนนสายนี้คือ "ชมรมชาวบาบ๋าฝั่งทะเลอันดามัน" จากความตั้งใจของลูกหลานชาวตะกั่วป่าที่ต้องการรักษาประเพณี วัฒนธรรม และเครื่องแต่งกายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยิ่งหากมีโอกาสดีเหมือนคนเขียนที่ได้รับฟังเรื่องเล่าเรื่องราวของลูกหลานชาวจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลสู่เมืองตะกั่วป่าและสืบทอดเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบัน ก็จะทำให้มองเห็นภาพความเป็นมาของเมืองนี้ชัดยิ่งขึ้น


นับเป็นโชคดีที่ลูกหลานชาวตะกั่วป่าวันนี้ ยังคงมองเห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์และเก็บรักษาร่องรอยหลักฐานไว้ให้ได้ศึกษา ทำให้ตะกั่วป่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีวิตในปัจจุบัน
...
ดูข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวในอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาได้ที่ www.facebook.com/phangnga.tat