ย้อนยุคเจ้าพ่อเซียงไฮ้ SHANGHAI MANSION BANGKOK
ที่พักเล็กๆ ในมุมหนึ่งของเยาวราช ที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่เซี่ยงไฮ้
เยาวราช ย่านที่ไม่เคยหลับใหล คือคำพูดที่ติดปากคนไทยมานาน ถนนสายนี้มีตึกตั้งตระหง่านเรียงรายเต็มสองฟากฝั่งประดับประดาด้วยไฟสีสันสวยงาม และยังเป็นแหล่งพำนักชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก เสน่ห์ของเยาวราชคือเมื่อพลบค่ำจะแปรสภาพจากถนนเศรษฐกิจเป็นถนนอาหารที่มีความยาวมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
ทว่า ระหว่างตึกรามบ้านช่องที่หลายคนคุ้นตา หากมองให้ดีๆ จะพบกับตึกเก่าที่มีความคลาสสิคสะดุดตา ด้านหน้าตึกมีรถตุ๊กตุ๊กจอดเรียงรายรอรับลูกค้า ส่วนด้านในมองเข้าไปจะเห็นน้ำตกขนาดใหญ่กำลังไหลลงมาให้ความรู้สึกเย็นสบาย มีสะพานไม้ทอดเข้าไปในตัวตึกที่เป็นลอบบี้ และยังมีโต๊ะชุดน่ารักๆ ไว้สำหรับนั่งรับประทานอาหาร พุดคุยสารทุกข์สุกดิบ เหลือบขึ้นไปด้านบนประมาณชั้นสองของตึกจะพบกับป้ายขนาดใหญ่สไตล์จีนที่มีคำว่า SHANGHAI MANSION BANGKOK
เซี่ยงไฮ้ แมนชั่น เป็นโรงแรมที่ปรับปรุงจากตึกเก่าแก่อายุหลายสิบปีของอดีตรองนายกรัฐมนตรี พงส์ สารสิน โดย วรีรัตน์ อุดมคุณธรรม หรือ ลิลลี่ ผู้บริหารโรงแรม เซี่ยงไฮ้ แมนชั่น ได้รับช่วงสิทธิมาพัฒนาเป็นโรงแรมสีสันสดใสกลิ่นอายจีนยุคเจ้าพ่อเซียงไฮ้แห่งนี้
“ก่อนที่จะมาเป็นเซี่ยงไฮ้แมนชั่น ประมาน 8 ปีที่แล้วสถานที่แห่งนี้เคยเป็นห้างสรรพสินค้า แมคโดนัลด์ ออฟฟิศ ที่เล่นหุ้น ส่วนใหญ่เป็น business building ทั้งนั้น และสุดท้ายก็มาเป็นตึกร้างที่ไม่มีใครทำอะไร ท่านพงส์ก็สงสารเห็นว่าเราอยากทำโรงแรมมากเลยยอมให้เราเซ้งขึ้นมาทำ“
แนวคิดในการออกแบบตอนแรกวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นจีนเยาวราชที่ใช้สีแรงๆ แดง ส้ม เหลือง ต่อมารีโนเวทใหม่เพื่อให้ทุกอย่างดูสวยงามลงตัว โดยใช้คอนเซ็ปต์แบบจีนสมัย 1930 ที่ผสมความเป็นฝรั่งเศสเข้าไป
“คือในยุค 1930 เป็นช่วงที่เขาส่งผู้ชายออกไปรบ ส่วนผู้หญิงต้องเริ่มออกไปทำงานเอง พอเริ่มได้ทำงาน ผู้หญิงก็กล้าที่จะแต่งตัวมากขึ้น ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้หญิงแต่งตัวกันสวยงามมาก พวกผู้หญิงจะเริ่มฟังแจ๊สเป็น เต้นรำเป็น สูบบุหรี่เป็น มันเป็นไลฟ์สไตล์สมัยนั้น“
เซี่ยงไฮ้ แมนชั่น มีทั้งหมด 6 ชั้น ด้วยกัน ชั้นแรกจะเป็นโซนลอบบี้ และโซนสำหรับทานอาหาร ที่เรียกว่า Red Rose ต่อมาชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่รวมความสวยงามและความหรูหราเข้าด้วยกัน ตรงกลางของชั้น 2 จะมีบ่อปลาขนาดใหญ่ เรียกว่า Water Garden มีขนาด 1 ใน 3 ของพื้นที่ โดยรอบๆ บริเวณบ่อปลาจะมีมุมนั่งเล่นจัดให้ลูกค้าได้รีแลกซ์ ส่วนด้านหน้าของบ่อปลามีมุมน่ารักอีกมุมหนึ่งที่เอาไว้ใช้ในพิธียกน้ำชาในงานแต่งงานของชาวจีน
ในชั้นนี้ยังมีห้อง party private สำหรับใครที่อยากจัดงานสังสรรค์แบบส่วนตัว ห้องนี้สามารถจุคนได้ถึง 10-20 คนด้วยกัน เมื่อเดินลึกเข้าไปด้านในจะเป็นห้องพักแบบสวีทที่ดูหรูหราและโอ่อ่า ส่วนชั้น 3 จะเป็นห้องพักแบบดีลักซ์ที่มีสวยงามไม่แพ้ห้องสวีทเลย
ชั้นที่ 4 เป็นพื้นที่ของสปา มีทั้งสปานวดน้ำมัน และสปาไทย ชั้นที่ 5 จะเป็นห้องพักแบบซูพีเรีย ส่วนชั้นที่ 6 ชั้นสุดท้ายและชั้นบนสุด จะเป็นห้อง Ballroom สำหรับจัดงานแต่งงาน โดยสามารถบรรจุคนได้ถึง 400 คนด้วยกัน
ทางโรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 76 ห้อง โดยแต่ละห้องจะมีชื่อติดไว้บนประตูไม้สีน้ำตาล เหมือนประตูโรงเตี๊ยม เป็นชื่อภาษาจีน ตัวอักษรจีน แปลความหมายตามชื่อดอกไม้แต่ละชนิด ในตอนแรกที่เริ่มเปิดโรงแรมใหม่ๆ ห้องพักจะมีแค่ประเภทเดียวคือห้องซูพีเรีย แต่พอมารีโนเวทใหม่ ประเภทของห้องพักก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 3 ประเภท คือ ห้องซูพีเรีย ห้องดีลักซ์ และห้องสวีท ซึ่งการตกแต่งภายในแต่ละห้องนั้นจะมีลักษณะไม่แตกต่างกันมากนัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบกับกระจกบานใหญ่ ใกล้ๆ กันมีโต๊ะที่มีชุดกาน้ำชาวางไว้ เติมกลิ่นอายความเป็นจีนด้วยภาพพร้อมฉลุลวดลายสวยงาม
ที่มุมห้องมีโซฟาให้ได้นั่งเล่นสบายๆ พร้อมกับวางเตียงไม้สีดำกับฟูกหนาสีขาวตรงกลางห้องตามแบบฉบับภาพยนตร์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ระหว่างเตียงถูกขนาบข้างด้วยโคมไฟและแจกันดอกไม้ ถัดจากเตียงก็จะเป็นห้องน้ำ ในส่วนของห้องน้ำ ถ้าเป็นห้องดีลักซ์ และห้องสวีทจะมีอ่างอาบน้ำแยกออกมาจากตัวห้องน้ำเปิดแบบโล่งแจ้งให้ได้สวีทกันแบบเต็มที่
ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน รวมถึงฟรี Wi-Fi ทุกห้อง ในด้านของการคมนาคม มีบริการแท็กซี่ บริการรถรับ-ส่งถึงสนามบิน ส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม ทางโรงแรมมีรูมเซอร์วิส ร้านอาหาร คอฟฟี่ช็อป บาร์ นอกจากนี้ยังมีบริการจองตั๋วต่างๆ บริการไปรษณีย์ ห้องเก็บกระเป๋า บริการพี่เลี้ยงเด็ก จุดบริการทัวร์ ตู้นิรภัย และมีระบบความปลอดภัย 24 ชั่วโมง แผนกต้อนรับ 24 ชั่วโมง รวมทั้งบริการเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องแฟกซ์ สำหรับคนที่มาใช้บริการห้องประชุมอีกด้วย
ห้องอาหารของโรงแรม จะเป็นอาหารแบบ Modern Chinese คืออาหารจานเล็กๆ ที่มีดีเทล เน้นความสวยงาม คุณค่าทางโภชนาการ และความอร่อย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มาพักหรือแค่แวะมาทานข้าว จะเป็นลูกค้าชาวฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และจีน ส่วนคนไทยถือว่ายังน้อยมาก
ลิลลี่ ทิ้งทายว่า “คาแรคเตอร์ของเซี่ยงไฮ้ แมนชั่น มีความชัดเจนมากในเรื่องของประสบการณ์ เราต้องการเอาประสบการณ์ของเยาวราชทั้งหมดไม่ใช่แค่เซี่ยงไฮ้ แมนชั่นไปให้แก่ลูกค้า เราจะให้ลูกค้าแต่งตัวชุดชาวจีน ผู้หญิงใส่กี่เพ้า จะมีพัดหรือมุขไว้ใส่ประดับให้ ส่วนผู้ชายก็จะเป็นแนวเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ พาเขานั่งตุ๊กตุ๊กไป ซึ่งย่านเยาวราชจะมีร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เราก็จะให้เขานั่งถ่ายรูปกันตรงร้านนั้นแต่เป็นภาพขาวดำให้ดูมีความย้อนยุค สำหรับลิลลี่แล้ว คิดว่าเสน่ห์ของกรุงเทพก็คือเรือ เราจะพาลูกค้าล่องเรือไปเอเชียทีคให้เห็นวิวตอนเย็นของวัดต่างๆ ที่ประดับไฟ รวมถึงสะพาน เราบอกเขาเสมอว่าถ้าต้องการความสวยงามของกรุงเทพคุณต้องทำแบบนี้เท่านั้น“
วันหยุดสุดสัปดาห์นี้หากใครอยากพักผ่อนแต่ยังไม่มีแพลนจะไปไหน ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปย้อนอดีตไชน่าทาวน์-กรุงเทพแบบเก๋ๆ ที่เซี่ยงไฮ้ แมนชั่น แล้วคุณจะรู้ว่าเมืองไทยมีอะไรมากกว่าที่คิด