เดอะ เวรี่ เอ็กซคลูซีฟว์ : “อ่าน” นวพล” เล่า” I WRITE YOU .
นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับหนังฮิต Freelance กับงานนิทรรศการเดี่ยวครั้งแรก การเล่าเรื่อง เขียนยท การอินเทอแรคทีฟ ..ลองดูอ่านดูนะ
เดอะ เวรี่ เอ็กซคลูซีฟว์ : “อ่าน” นวพล” เล่า” I WRITE YOU A LOT ฉบับยาว
เรื่อง : ทศพร กลิ่นหอม/ ภาพ : อดิศร ฉาบสูงเนิน
ครั้งแรกในแกลลอรี ที่ บางกอกซิตี้ซิตี้แกลลอรี ถ.สาทร ซอย 1 เปิดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายโดย นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ พ่วงกระบวนการ “เขียนบทสด” ในงานชื่อ I WRITE YOU A LOTจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมจนถึงวันที่ 7 สิงหาคมศกนี้ ซึ่งเชื้อเชิญผู้ชม/ผู้มาร่วมงาน ดู ฟัง อ่านและเป็นส่วนหนึ่งของ “บทภาพยนตร์” บางฉากของนวพล
หลังจากมีภาพยนตร์สั้นรางวัลมากมาย และภาพยนตร์เรื่องยาว 4 เรื่อง 36 (เล่นประเด็นกับสื่อภาพถ่ายยุคใช้ฟิล์ม 1 ม้วนถ่ายได้ 36 เฟรม และการบันทึกความทรงจำ การมีอยู่) ,Mary is Happy, Mary is Happy (สร้างจากแรงบันดาลใจในเรื่องราวชีวิตผ่านทวิตเตอร์ของเด็กสาวคนหนึ่ง), the Master (บันทึกถึงคนขายหนังแผ่นวิดีโอก็อปปี้ที่กลายเป็นแหล่งความรู้ของคอหนัง), Freelance (เรื่องคนทำงานฟรีแลนซ์)ที่สร้างปรากฏการณ์หนังไทยขวัญใจวัยรุ่นยุคทวิตเตอร์ งานนี้เป็นงานแสดงเดี่ยวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ นวพล พาคนดูร่วมอยู่พื้นที่ การเล่าเรื่อง ด้วยวิธีต่างๆ นานา ที่เราพบเห็นในชีวิตร่วมสมัย งานที่คนดูได้มีปฏิสัมพันธ์หรือ “การอินเตอแรคทีฟ” กับผู้สร้างงานมากกว่าผู้เสพงาน
ผู้ชมจะได้ ดู “ภาพถ่าย” ที่เขาคัดสรรมาจากการเดินทาง และ ประกอบกับอ่านบทภาพยนตร์ที่ตัด “ฉากหนึ่ง” มาแทน “คำบรรยายประกอบภาพ” ในห้องแสดงนิทรรศการภาพถ่าย ภาพที่กลายเป็นเรื่องขึ้นมาผ่านสายตาและมุมมอง จินตนาการของนวพล
“บทภาพยนตร์” ที่ “เขียนขึ้นสด” ในช่วงการแสดงสด ที่เรียกว่า Live Screenwriting ซึ่งนวพลจะเขียนเรื่องบนคอมพิวเตอร์และยิงโปรเจคเตอร์ข้อความแชร์ขึ้นบนผนัง
นวพล เล่าเบื้องหลังของงานล่าสุด ลองอ่านดูนะ
@ที่มาของการแสดงนิทรรศการ จากผู้กำกับเป็นศิลปิน?
ปกติเราไม่ได้ทำอาร์ตหรือว่าเราทำไปแล้วเราก็ไม่รู้ หมายถึงว่าเราไม่ได้อยู่ในวงการอาร์ตขนาดนั้น เราไม่กล้าจะระบุตัวเองว่าเป็นอาร์ติสด้วยซ้ำ เพราะปกติที่เราทำหนังเป็นหลัก ซึ่งหนังที่เราทำมันก็ไม่ใช่หนังอาร์ตขนาดนั้นด้วยมันเป็นหนัง Narrative หรือหนังเต็มที่ก็เป็นแบบอเมริกันอินดี้ มันก็ไม่ได้แบบอาร์ตขนาดนั้น”
@ภาพถ่ายที่หยิบมาจัดงานนิทรรศการมาจากไหน?
รูปถ่ายที่ถ่ายเก็บสะสมมาเรื่อยๆ โดยที่ผมก็ไม่ได้แน่ใจว่าไอ้ที่เราถ่ายมันคือศิลปะหรือไม่คือศิลปะ มันคือภาพที่เราชอบแล้วเราถ่ายเก็บมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเกิดไม่มีพี่เขามาชวนมาแสดง ก็คงทำโฟโต้บุ้คอะไรอย่งนี้มั้ง เราก็หาเวทีที่เราจะ Exhibit สิ่งที่เรามีเฉยๆ คือเหมือนกับผมคิดว่ามันเป็นมีเดียหรือเรื่องเล่าที่เราอยากทำ แค่นั้นเองมากกว่า แต่ว่าเมื่อวันนึงที่เขามาชวนแล้วลองทำกันดูไหม หรืออะไรอย่างนี้ ซึ่งตอนแรกคุยกันให้เคลียร์ก่อนว่าเราทำงานแบบไหนมา อาจจะไม่เคยทำแบบนี้ แล้วสิ่งที่เราทำถ้าเราจะทำอะไรเกี่ยวกับแกลอรี เราจะทำอะไรแบบนี้ๆ นะ ก็ตกลงกันได้ เราก็เลยคิดว่าเป็นการแสดงภาพถ่ายที่เราว่าจะทำโฟโต้บุ้คนี่แหละ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนจะเรียกว่าเป็นไอ้รูปก้อนเนี้ย ไอ้รูปแบบทั้งหลายแหล่ที่มา เมื่อมาเข้าแกลอรี่มันจะกลายเป็นอาร์ตหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่รู้ แต่ผมมาถึงจุดนี้ผมก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่แล้ว หมายถึงว่าก็นี่คืองานของเรา จะเรียกว่าอาร์ตก็ได้ ไม่เรียกว่าอาร์ตก็ได้ อันนี้แล้วแต่ แต่ว่าคือผมก็ทำในแบบสิ่งที่อยากทำไม แล้วก็คิดว่า Exhibition นี้มันน่าจะทำให้คนเอ็นจอย อยากให้คนเอ็นจอยแล้วสนุกกับมันมากกว่า มันก็เป็นอีก way หนึ่ง ของการทำ Story Telling ของเรา ปกติเราทำหนัง เราแสดงผ่านภาพนิ่ง แต่ก็มีบท สคริปต์ บทภาพยนตร์ที่เขียนขึ้นจากภาพนิ่ง ที่เราคิดขึ้นมาแล้วเรารู้สึกว่าเราสนุกดีระหว่างทำ หมายถึงว่าเราไปถ่ายรูป snap มาอะไรแบบนี้ ไอ้รูปที่เราสแนปมามันก็มีความเป็นซีเนมาติกประมาณนึง แล้วเราก็รู้สึกว่าทำไมเรา งั้นเราก็เขียนเหมือนกับบางที่เราเห็นภาพก็คิดนั่นนู่นนี่ได้ อะไรแบบนี้ เราก็เขียนสคริปต์ขึ้นมาจากภาพนิ่งมั้ยล่ะ ก็เป็นการเขียนสคริปต์แบบใหม่ เราคิดง่ายๆ แบบตรงไปตรงมาแบบนี้เลย แล้วเรารู้สึกว่าเวลาเราเคยโพสต์แบบนี้แล้วคนมาอ่านแล้วเขาเอ็นจอย อย่างนี้เราก็ทำเก็บสะสมไว้เรื่อยๆ ดีกว่าแล้วพอถึงวันนึงที่เจอพี่ลูกตาล กับพี่ออฟอย่างนี้ เขาว่าจะแสดงเราก็เออ เอาสิ่งนี้มาแสดง เพราะผมรู้สึกว่ามันก็ดีกว่าการเอาไปพิมพ์เป็นโฟโต้บุ้ค หมายถึงว่าการที่ได้มาแสดงให้มันเป็นกิจจะลักษณะอะไรอย่างนี้ มันก็เหมือนเอาหนังเข้าฉายโรงภาพยนตร์
ภาพถ่ายที่แสดงใน Light Box ก็ถือว่าเป็นแบบสิ่งที่เราไม่เคยทำ เออดีว่ะ ที่รูปของเรา โห ใหญ่ แล้วก็มีกล่องไฟ แล้วก็เวลาดูมันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์ประมาณนึง มันคือแบบภาพที่มีแสดงมากระทบเราอีกที หรืออะไรอย่างนี้ เราก็รู้สึกว่ามันสามารถ พอเราได้ทำในแกลอรี่แล้ว มันสามารถแสดงภาพที่เราถ่ายได้แบบ Full Potential ของมัน เต็มๆ หรือว่าสามารถเล่นกับพื้นที่หรือว่าสามารถแบบคนดูรูปในแต่ละรูปในไลท์ติ้งที่มืดลงกว่าปกติมันสร้างประสบการณ์ให้กับคนได้อย่างนี้ครับ นี่จริงๆ แล้วผมคิดตรงตามฟังก์ชั่นแบบง่ายๆ อย่างนี้เลย
@ในฐานะที่เราเป็นนักเล่าเรื่องแต่ผ่านมีเดียใหม่ๆ
ตอนนี้ก็เป็นภาพนิ่ง แล้วจริงๆ มันก็พอเรามาได้จัดแสดงที่ แกลอรี่มันมีเรื่องของอาหาร สถานที่ มันมีเรื่องของสเปซเข้ามา ซึ่งมันก็จะมีอีกสองงานที่มันเกิดขึ้นจากการที่เราเข้ามาที่นี่หรืออะไร มันก็มีภาพถ่ายแสดงไป 19 ภาพ ชุดใหม่ 30 ภาพชุดเก่า ไอ้สองอันที่มันโผล่ขึ้นมาจากการที่เราปฏิสัมพันธ์กับอาคารนี้
@อะไรคือการเขียนบทสดในนิทรรศการ Live Screen Writing?
มันก็จะมีโปรเจคเตอร์ ก็จะเห็นผมเขียนในจอในโปรเจคเตอร์ที่มันติดบนกำแพง แล้วก็ขีดเขียน อาจจะแก้อะไรก็ได้ แต่ผมจะไม่อยู่ในห้อง ก็จะเหมือนโพสเซสก็จะเหมือนเราเขียนจากภาพนิ่ง แต่เราเขียนในห้องจริงๆ ก็คือปฏิสัมพันธ์กับอาคาร ผมก็รู้สึกว่ามันน่าลอง ปกติเราทำหนังมัน 2D ทุกอย่างมันจบในห้องตัดต่อ มีเส้นเรื่องเส้นนึง คนดูในโรง ดูโรงไหนก็ได้เส้นเรื่องที่เท่ากัน แต่ว่าอย่างนี้เรารู้สึกว่าเราได้เจเนอเรทเรื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน คนที่เข้ามาแต่ละคน ผมก็ไม่รู้ว่าบทสุดท้ายที่มันเขียน มันจะเละหรือเปล่า แต่อย่างนี้ก็ลองดู ผมว่าคนคงสนุกดีที่ได้ดู ถ้าเขามาถูกเวลา กับอย่างห้องเล็กห้องนี้ก็จะมีที่ตอนแรกเดินเข้ามาแล้วรู้สึกว่าพวกวินโดวส์ดิสเพลย์นี่มันเหมือนสกรีนหนัง โชคดีด้วยมั้งที่มันเป็นสีเหลี่ยมผืนผ้า เราก็รู้สึกว่าอย่างนี้ก็คิดว่ามันเป็นจอหนังได้มั้ยล่ะ เราก็เอาเก้าอี้มาตั้งมั้ยล่ะ แล้วผมก็เขียนเรื่องเกี่ยวกับวิวข้างนอก แต่ชุดนี้จะเป็นฟัง ไม่ได้เป็นอ่าน แต่ละเป้นแบบ Narrator เหมือนวอยซ์โอเวอร์ไหนหนัง
อันนี้ฟิกซ์เป็นเรื่อง แต่ว่าหนังก็เวลาเราพิมพ์เสร็จ หนึ่งซีนก็จะปริ้นท์ออกมาซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเราจะแจกหรือไม่แจก แต่ที่ชัวร์ๆ เราจะดิสเพลย์มันไปเรื่อยๆ วีคนี้ได้สอบแผ่น เรารวมวีคที่หนึ่งมีสิบแผ่น วีคที่สองได้เจ็ดแผ่น คืองานมัน grow ไปตามเวลา
@พื้นที่การสื่อสารระหว่างนวพลกับคนอื่นๆ อยู่ที่ไหนบ้าง?
จริงๆ ถ้าเกิดเป็นการเล่าเรื่องสเปซหลักจริงๆแล้ว คือเฟซบุค นั่นคือเมนที่สุดแล้ว เพราะว่ามันง่ายด้วยมั้ง ตรงไหตรงมา มันไม่ต้องก่อสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา มันก่อสร้างในออไลน์ มันง่ายแล้วก็สร้างได้เลย มีรูปมีเพลงก็โพสต์ได้เลย อย่างนั้นมากกว่าแต่จริงๆ ผมพยายามจะเลื่อนไหลไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ อย่างการที่ได้มาจัดแกลอรี่นี่จริงๆ ผมจะแสดงภาพถ่ายเฉยๆ ก็ได้ ก็จบ แต่ว่าผมรู้สึกว่าไหนๆ ก็ได้มา เขาก็ให้ห้องมาตั้งสองห้องแล้วก็เล่นอะไรกับสถานที่หน่อยมั้ย เพราะว่ามันคงเป็นโอกาสที่ไม่ได้หาง่ายๆ เพราะผมก็ไม่รู้ว่า ที่เขามาชวนนี่ดีใจมากนะ เพราะว่าถ้าสองคนนี้ไม่ชวน ใครจะชวน เพราะอย่างที่บอก งานที่เราทำ ปกติมันไม่ได้เป็นแบบ เขาไม่ได้เทคเราเป็นอาร์ทติสอะไรกันขนาดนั้น ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ เพียงแต่ว่า พอมีโอกาสนี้มาเรารู้สึกว่าควรทำในสิ่งที่ไม่เคยทำด้วย เราเล่าอะไรผ่านห้องได้มั้ย เราทำไลฟ์สกรีนไลท์ติ้งมั้ย เพื่อที่จะได้ลองมีเดียหมายถึงสเปซใหม่ๆแต่ถ้าถามถึงสเปซหลักมันก็คือ เฟซบุค ตรงไปตรงมา ง่ายๆ เพราะอย่างอื่นมันต้องใช้เวลาในการสร้างโปรโมท หลายขั้นกว่าจะไปถึงคนดู ซึ่งแต่หลังๆ ผมได้เห็นว่ามันมีวิธีใหม่ๆ อย่าง หมายถึงว่า (เกิดคำถาม)หนังยังต้องดูในโรงมั้ย ผมก็คิด ต้องหรือป่าววะ หนังสือก็ออกเป็นเล่มแบบพ๊อคเก็ตบุค(เท่านั้น)มั้ย เพราะผมเพิ่งไปนิวยอร์คมา เจออะไรประหลาดๆ เยอะแยะมากมาย สอย่างร้านหนังสือชื่อ Printed Matter มันจะแบบขาย หนังสือที่เป็น self Publishing (พิมพ์เองขายเอง) แล้วมันมีรูปแบบอะไรเต็มไปหมด เราก็เฮ้ยหนังสือแบบนี้มันทำได้ด้วยหรอวะ เขาทำแยกเล่มเป็นหกเล่มหรือว่าเขาหนังสือเขาเปิดแบบนี้ มันมีฟอร์แมตอะไรที่เราไม่เคยเห็นเยอะ เราก็รู้สึกว่าก็น่าสนใจ หมายถึงว่ามันไม่ได้มีอยู่แค่ way หรือ สองway เราผมถือว่าจริงๆ แล้วคนทั่วๆไป หรือคนที่ติดตามดูงานอย่างนี้ เขาก็พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ๆ อยู่ เพียงแต่ว่าเราก็ต้องนำเสนอให้เขา ประมาณนี้
@แล้วคนที่เราสื่อสาร เราสื่อสารกับใครมากที่สุด?
ผมจะพยายามดูว่าสิ่งที่คนดูเราคือใครบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กๆ หมายถึงว่ามหาลัย เดี๋ยวนี้จะทะลุไปถึงม.ปลายด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าไปได้ไง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กมหาลัยหรือว่าคนที่เพิ่งจบ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ว่ามันกว้างขึ้น หมายถึงว่า บางคนก็โตแล้ว เป็นแบบสามสิบสี่สิบ ก็มีติดตามอยู่บ้าง แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดว่าเดี๋ยวงานนี้เราจะพิชิตกลุ่มนี้ให้ได้ เราก็ทำของเราไปแล้วเราก็หวังว่าบางโปรเจ็คสิ่งที่เราเขียนหรือพ้อยท์ทีเราพูดถึงอาจจะแมสหน่อย ก็จะสื่อสารกับวงกว้างได้มากขึ้น ประมาณนั้น
ส่วนใหญ่เรื่องเขียนบทกับสคริปต์ก็เป็นการทดลองแบบนึงอยู่แล้ว แต่ว่ามันเป็นงานที่จบ ก็คือว่าเขียนเสร็จปึ๊บ อะเรียบร้อย แต่ถ้าได้ทดลองจริงๆ ก็จะเป็น Live Screenwriting มันแบบไม่เคยทำ แล้วก็ลองดูแต่ก็ไม่พยายามไม่คิดมากหมายถึงว่า ลองเล่นกับมันจริงๆ แล้วผมรู้สึกมันก็จะพัฒนาไปในแต่ละวัน ว่าวันแรกเขียนแล้วแม่งเขียนไม่ออกเลย ทำไมเพราะว่าจดจ่ออะไรไปหรือเปล่า พยายามจะคิดพล๊อตเกินไปหรือเปล่าอะไรแบบนี้
@ในชีวิตประจำวัน นวพลสื่อสารกับใครมากที่สุด?
ถ้าเมนอาจจะเป็นแฟนเพจ แต่ว่าผมไม่ได้รู้สึก หมายถึงว่า ผมไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าวันเวย์หรือเปล่า เพราะผมไมได้ถึงขั้นมาตอบคอมเมนต์ทุกอัน ผมแค่คิดว่ามันเป็นหน้าร้าน เพราะว่าจริงๆ แล้วเราไม่เคยเทคเฟซบุ้คเพจเป็นไดอารี่ส่วนตัวเลย จริงๆ แล้วเราเหมือนหนังสือของเราแค่นั้นเองมากกว่า ไอ้เรื่องที่เป้นส่วนตัวที่เขียนถึงเหมือนเราเขียนบทความ เรา experience อะไรมาเป็นเรื่องที่พับบลิคได้ ไม่ได้คิดว่า ไม่ใช่ว่าโกรธใครแล้วจะมาโพสต์ลอยๆ ด่าเหมือนเราจะไม่ไปถึงขั้นนั้นด้วย ไม่มีแบบ เสียใจช่วงนี้เศร้าเรื่อง
@คือไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว?
หรือถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่พับบลิชได้ เหมือนเวลาเราเขียนบทความอะไรอย่างนี้ ประมาณนั้นมากว่า แล้วก็มีตอบบ้างบางที แต่ว่าเราจริงๆ เราเทคว่ามันเป็นการเขียนงาน คือก็ไม่ได้แห้งขนาดนั้น ก็แบบสื่อสารกันจริง แต่ไม่ถึงขั้นจะตอบ สมมติวันนี้เรา Live ดีกว่า เราไม่ถึงขนาดนั้น เรายังไปไม่ถึง แค่คิดว่าจะ Live ก็จะมีจุดประสงค์หน่อย สมมติเราถ้า Live ให้เห็นการติดตั้งงานอย่างนี้จะเป็นอย่างนั้น ถ้าจะทำจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า มากกว่าที่จะสวัสดีครับ ยังน่าขนาดนั้น อาจจะมีวันที่กล้าขนาดนั้น แต่วันนี้ยังไม่กล้าขนาดนั้น ยังไม่สามารถขนาดนั้น ส่วนที่เหลือผมรู้สึกว่า นั่นคือพื่เอนคือคนใกล้ๆ ตัว นั่นคือการ Communicate ที่ใกล้ตัวที่สุดแล้ว การพูดคุยกันจริงๆ เรารู้สึกว่าได้อะไรทุกครั้งที่นั่งคุยกับแบบนี้ สัมภาษณ์หรืออะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่ามันดี แต่ก็เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปปาร์ตี้ ก็ถ้าเจอส่วนใหญ่จะเจอนานๆ กันที ส่วนใหญ่ก็จะคุยกันนาน อะไรอย่างนี้มากกว่า ประมาณนั้น
@คิดว่าครั้งนี้มันเป็นการทดลองด้วยไหมในแง่ที่เราเป็นคนเขียนบท ในส่วนของ Exhibition มันเหมือนกับวาถูกคิดขึ้นมาแล้วมันก็รู้สึก ตรงกับที่เราก็อยากทดลองในเรื่องขั้นตอนการเขียนบท วิธีการด้วยหรือเปล่า
ด้วยครับ ส่วนใหญ่เรื่องเขียนบทกับสคริปต์ก็เป็นการทดลองแบบหนึ่งอยู่แล้ว แต่ว่ามันเป็นงานที่จบ ก็คือว่าเขียนเสร็จปึ๊บ อะเรียบร้อย แต่ถ้าได้ทดลองจริงๆ ก็จะเป็น Live Screen Writing มันแบบไม่เคยทำ แล้วก็ลองดูแต่ก็ไม่พยายามไม่คิดมากหมายถึงว่า ลองเล่นกับมันจริงๆ แล้วผมรู้สึกมันก็จะพัฒนาไปในแต่ละวัน ว่าวันแรกเขียนแล้วแม่งเขียนไม่ออกเลย ทำไมเพราะว่าจดจ่ออะไรไปหรือเปล่า พยายามจะคิดพล๊อตเกินไปหรือเปล่าอะไรแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วการเขียนแบบนี้เคยทำมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่าตอนนั้น ไอ้ Live Screen มันไม่ Live ไม่แน่ใจว่า Live/Lifeก่อนหน้านี้คือผมมันจะมีภาพชุดโตเกียวที่เคยทำเป็นซีนขาย ประมาณน้อยมาก ร้อยสองร้อยในงานซีนงานนึง ซึ่งก็มีภาพสีสิบกว่าภาพที่เป็นภาพถ่ายกับคน ที่เป็นสมุดเล็กๆ อันนั้นแหละ ก็คือมีภาพแล้วมีบทหนังที่เขียนขึ้นจากภาพที่โตเกียว แต่ว่ามันจะพิเศษตรงที่ว่า คนที่พรีออเดอร์ ผมจะให้เขาส่งคีย์เวริ์ดที่เขาชอบมาสักสองอัน แล้วผมจะเขียนเกี่ยวกับเขา + กับคีย์เวิร์ดที่เขาให้มา ซึ่งนั่นหละครับ คือเราต้องเขียนเกี่ยวกับอีกคนที่เราไม่รู้จักเลย แต่เขามีคีย์เวิร์ดมาให้ เพราะเราไม่เห็นหน้าเขาอะ เราก็ขอคีย์เวิร์ดหน่อย แล้วเราก็เขียนเขาเป็นตัวละครในเมืองเดียวกับตัวละครในตัวละครในโตเกียวนั้นเพราะว่า ตีมมันคือปี 2096 คนโตเกียวเหลือคน 112 คนอะไรประมาณนี้ ซึ่งมันเลยเป็นสาเหตุที่เราเปิดรับร้อยคนมั้ง เพราะว่าในหนังสือมันมี สิบสองคนแล้วอะไรอย่างนี้ มันก็คือเรียลว่าอีกร้อยคนที่เหลือก็คือไอ้พวกนี้แหละ
@Live Screen writing ที่เราบอกว่าเขียนบท จริงๆ แล้วมันคือการ Interact ระหว่างสเปซหรือคนที่เราเขียนขึ้น?
ผมว่าหมดเลย เพราะว่าถ้าไม่มีสเปซมันจะทำให้เขาทำอะไรสักอย่าง มันจะเกิดแอคชั่นขึ้นเมื่อเขาเข้ามา เขาอาจจะเมื่อยมากแล้วต้องนั่ง หรือบางคนอาจจะแบบแฟนมา ตัวกูไม่ได้อยากมา เบื่อชิบเป๋ง อะไรอย่างนี้ ดูอะไรของมึงวะ มันมีสถานที่แล้วมันมีคน มันเลยเกิดแอคชั่นของคนที่เดินเข้ามา วันหน้าอาจจะฝนตกมากก็ได้ ทุกคนอาจจะรวมอยู่ในนี้หรือเปล่า อะไรอย่างนี้ ก็ต้องรอดูในแต่ละวัน
@มันเป็นแค่ Screen มันเป็นห้องโล่งๆ แต่ว่ามันมีองค์ประกอบอื่นๆ?
มันเป็นห้องโล่งๆ ผมอยากให้มันเป็นแบบที่มันเป็น พยายามไม่เซ็ทอัพ อย่างจริงๆ สมมติว่าไอ้เขียนหน้าต่างข้างนอก ผมก็จะบอกตัวเองว่าห้ามอยู่ดีๆ เอาพร๊อพไปทิ้งเพื่อให้เกิดสตอรี่ ต้องเขียนในสิ่งที่มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วให้ได้ มันเป็นกฏของการทำอันนี้
@เรารู้สึกว่าเราส่งเอาท์พุทออกไปมันมีตัวเราอยู่ในนั้นไหม?
โห มันมีอยู่แล้วฮะ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หมายถึงว่าไม่งั้นมันออกมาไม่ได้ หมายถึงว่าในเมื่อมันเข้ามาในนี้แล้ว ออกไปมันก็มีคราบของเราติดอยู่ ตัวละครที่เราเขียนถึงก็จะมีความเป็นเราอยู่บ้าง แต่ในบางตัวอาจจะไม่เหมือนเรา แต่เราจำมาจากอีกคนหนึ่งแต่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็เป็นคนเล่าอยู่ดี อะไรอย่างนั้นมันก็มีความเป็นเราอยู่ประมาณนึง จริงๆ มันคือคอนเซปต์ของงานด้วย ว่าเหมือนกับเรา เขาเรียกว่าอะไร คนรอบๆ ตัวมันก็เป็นเวอร์ชั่นในแบบที่เราเข้าใจ หมายถึงว่าผมก็มีพี่สองคนในแบบของผมเอง พี่ก็มีผมในแบบที่เอาไปถอดเทป เวลาพี่เขียนถึงมันก็จะเป็นเวอร์ชั่นที่ปะปนไปแล้ว เรามองวันนี้ยังไง ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในบทความยังไง นวพลของบทความพี่ก็อาจจะเป็นคนละคนกันนิดนึงด้วยซ้ำ หรืออะไรแบบนี้ ประมาณนี้มากกว่า เพราะฉะนั้นผมว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีตัวเองไป
@ย้อนกลับไปถึงเรื่องเขาเรียกว่าแพลตฟอร์ม สมัยก่อนที่เขียนบล็อกที่เราโพสต์ไว้ไม่มีเมนต์ จนมาถึงตอนนี้เต๋อรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงของในแง่เทคโนโลยีกับสังคมที่เรา Interact กัน มันอะไรเปลี่ยนไปมากไหม?
เปลี่ยนไปมากเพราะว่าบล็อกมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเขียนกับคอมเม้นต์ แต่ว่าเฟซบุคมันทำอะไรได้เยอะกว่านั้น เยอะมากๆ เลยหรืออะไรอย่างนี้ มันโพสต์นั่นโพสต์นี่ได้เยอะกว่า มันมีกดไลค์ มันมีแชท มีมีซีน มีเห็นอ่านแล้ว หรือว่าอะไรพวกนี้ หรือว่าการแชร์ โลกนี้แม่ง มีการแคป (หน้าจอ)ก็มีอีก มันซับซ้อนขึ้นเยอะ ในขณะที่มันทำให้คนทำอะไรได้เยอะมากขึ้น เรื่องมันก็เยอะมากขึ้น มันก็วุ่นวายขึ้น แต่ก็แล้วแต่ว่าใครจะใช้ หมายถึงว่า แค่รู้สึกว่าจริงๆ เหมือนใน(หนังจากหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์) Minority Report เหมือนว่าเทคโนโลยีมันไม่เคยผิดหรอก มันอยู่ที่เราเอาไปใช้ ความ error มันเกิดจากคน(นี่แหละ)
@แต่มันก็มีผลกับเราอย่างเช่นบล็อก เหมือนหนังสือ เราก็ไม่รู้ว่าคนอ่านมี Interact อย่างไรมันเป็น One-way แต่ว่าอย่างพวกที่มันสามารถโซเชี่ยลอะไรได้ มันมีผลกับเรามากแค่ไหน?
จริงๆ ตอนเขียนบล็อก มันพิมพ์ มันก็ Interact ได้นะ เพราะมันมีช่องคอมเม้นต์อยู่ แต่ว่ายุคนี้มันมีไลค์มันมีแชร์ อะไรอย่างนี้มันละเอียดเข้าไปอีก หมายถึงว่ามันเลยมีคนเสพติดยอดไลค์ อะไรก็ได้ ไม่ต้องคอมเม้นต์กูก็ได้ ขอยอดไลค์เยอะๆ แต่ที่เหนือกว่ายอดไลค์คือกูขอยอดแชร์เยอะๆ อย่างนี้ นู่นนี่ มันทำให้คนซับซ้อย หมายถึงว่ามีความต้องการมากขึ้นไปอีก แต่มาถึงจุดนึงก็พอผมใช้บ่อยๆ ผมก็ไม่ได้อะไร แต่หมายถึงว่าบางทียอดในมือก็ไม่ได้หมายถึงอะไรเลย มันแบบ เอ๊ะ บางทีเราเห็นเด็กกดไลค์ด้วยสปีดที่เร็วมาก สมมติว่าอินสตาแกรมอาจจะให้ยังไม่ได้อ่านเลย กดไปแล้ว มันกดด้วยสาเหตุต่างๆ เช่นแบบแค่บอกว่า อ่านแล้ว คือไม่ได้ชอบอะไรขนาดนั้น หรือ อยากเป็นกำลังใจให้เขา ไม่ได้ชอบ แต่อยากเป็นกำลังใจให้ เขาอุตส่าห์พยายามทำสิ่งนี้จึ้นมา เดี๋ยวนี้มันมีเหตุผลในการกดไลค์มันต่าง นาๆ มากเลยคือเหมือนกับว่า มีมันก็ดีแหละ ผมไม่ได้บอกว่าเราควรยกเลิกเฟซบุ้คกันไปเถอะครับ มันอยู่ที่เราใช้ยังไงมากกว่า ผมคิดว่าใช้เพจเพราะมีขอบเขต แล้วก็มันก็มีบางอย่างที่เรารู้ด้วยตัวเองเช่นว่ายอดไลค์ไม่ได้หมายถึงอะไรเลย เยอะก็ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าโพสต์นั้นมันไร้คุณค่าปะวะ หรืออะไรอย่างนี้ มันก็จะเป็นประโยชน์กับใครสักคนหรือเปล่า หรือว่าเราก็เป็นสิ่งที่เราอยากบอกเฉยๆ หมายถึงว่าผมไม่ได้แคร์ว่า สมมติเพลงๆ นี้ที่ผมชอบฟังมันได้ 15 ไลค์แล้วผมจะเชี่ย โพสต์แล้วได้ไลค์น้อย กูไม่โพสต์แล้วดีกว่า ไม่เกี่ยวหมายถึงว่าเราชอบเราก็โพสต์ไป ไลค์น้อยก็ไม่เป็นไร ผมก็แค่ตอนนี้กูฟังเพลงนี้เฉยๆ ประมาณนั้น
@ ปัจจัยภายนอกพวกสิ่งต่างๆ มันไม่ได้มีผลกับสิ่งที่เราเลือกที่จะใช่มั้ย ไม่ว่าจะเป็นการ Exhibition หรือแม้แต่การที่จะโพสต์เขียนอะไรลงไปในเฟซบุค
น้อยลงเรื่อยๆ ครับ หมายถึงว่า ลง หมายถึงว่าผมกลับรู้สึกว่าจะดีที่สุดถ้าเราโพสต์ในสิ่งที่เราเป็น แล้วเขาชอบ เขาชอบในสิ่งที่เราเป็นมันจะยั่งยืนที่สุด มันจะสบายใจที่สุด มันไม่ต้องแบบพยายามเขียนให้ทุกคนชอบ
@หรือแม้แต่การทำหนังอะไรอย่างนี้ การที่เราเลือกที่จะทำโปรเจคหนังหรือแม้แต่ Exhibition ต่างๆ คือเรารู้สึกว่าเราตัดสินใจจากส่วนตัวมากกว่า?
ใช่ๆ สิ่งที่เราทำได้ สิ่งที่เราสนใจอะไรอย่างนี้ แต่ผมแค่เชื่ออยู่ว่าถ้าเกิดไอ้สิ่งที่เราสนใจ ไม่ว่ามันจะสตาร์ทด้วยความที่มันอาจจะไม่ได้เป็นประเด็นที่เราสนใจ อาจจะไม่ได้แบบผู้คนจะสนใจกับมันมาก เป็นประเด็นเล็ก แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราทำให้มันดีจนถึงขีดหนึ่ง คนมันจะสนใจ ถ้าเราความน่าสนใจของมันขึ้นมาได้หรือเราทำให้มันดูสนุกขึ้นมาได้ หรือทำให้มันน่าสนใจทางใดทางหนึ่งขึ้นมาได้ มันก็จะขึ้นไปหาคนอื่นได้ แต่โอเคบางโปรเจคผมอาจจะไม่แคร์ก็ได้ ก็กูอยากทำอย่างนี้ ก็แต่เราก็โอเคถ้าคนมันจะ approach เข้ามานิดเดียว แต่เราก็รู้สึกว่า เราก็รู้อยู่แล้วว่า อันนี้เราสมมติโปรเจคนี้อยากปล่อยเซอร์ ไม่แคร์ ใช้เงินตัวเอง ไม่สน ก็จบ คนมาดู 50 คนก็เท่านั้นแหละ ก็ได้แค่นั้นแหละ แต่บางโปรเจคเรารู้สึกว่า เป็นประเด็นเล็ก แล้วเรารู้สึกว่าประเด็นนี้มันดีจัง ถ้าเกิดคนอื่นรับรู้มันก็ดีเนอะ เราก็อยากจะพัฒนามัน ให้มันดี แต่ไม่ใช่พัฒนาเพื่อเอาใจคนอื่น แต่พัฒนาให้มันดีพอ พัฒนาให้ตัดเทรลเลอร์ให้มันน่าสนใจอะไรอย่างนี้ เพราะว่ามันมีพอยท์ที่น่าสนใจอยู่ สมมติทำให้มันน่าสนใจพอจนเขาเข้ามาสนใจมันมากกว่า
@แล้วมันจะวัดอย่างไร มันก็ต้องวัดจากยอดไลค์อยู่ดี?
ผมว่ามันจะมีอีกความรู้สึกหนึ่ง ที่เหนือยอดไลค์มันคือ คนจริงๆ อย่างสมมติว่าได้ยอดไลค์เยอะมากเลย ก็ไม่เท่าเพื่อนมัธยมโทรมาหาแล้วบอกว่าเราได้ดูอันนี้ อันนี้จริงมาก ถ้าเกิดมีเพื่อนมัธยมโทรมางานไหน ผมจะรู้สึกว่างานนั้นแม่งไปไกลมาก ไม่เกี่ยวกับยอดไลค์ด้วย เพราะว่าแสดงว่ามันกระจายจริงๆ ซึ่งเราอาจจะมองไม่เห็นนะ เวลามันกระจายต่อจากของเราไป บางทีมันเรามองไม่เห็นสิ่งพวกนั้น แต่บางทีมันเหมือนกับบางคนเพิ่งรู้ว่าผมทำหนัง(ยาว) ก็ตอนผมทำเรื่อง ฟรีแลนซ์ (ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ)
@จริงเหรอ?
ใช่
@เพื่อนเหรอ?
ใช่ (เพื่อนมาทักแบบ) อุ้ยยยย ทำหนังด้วยเหรอ อ้าว นี่เรื่องที่ 4 แล้วพี่ ก่อนหน้านั้นไม่รู้อะไรเลย มันก็คือแสดงว่าหนังมันกระจายไปจริงๆ แต่ โอเค ในเรื่องการจัดจำหน่ายมันอาจจะเยอะกว่าปกติด้วย แต่ว่ามันมีบางอย่างที่เหนือยอดไลค์ มันก็คือเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เหมือนคนชอบบิลด์ว่าให้ทำไวรัลวีดีโอ เอาจริงๆ มันพูดอย่างนั้นพูดไม่ได้มันเหมือนแบบ การทำพูดว่าทำไวรัลวีดีโอ มันเหมือนกับเราพูดว่ามาทำหนังฮิตกันเถอะ เฮ้ย กูไม่รู้ไงว่าจะฮิตหรือเปล่า จะไปรู้ได้ยังไงวะ
@เราฟังเรื่องนี้เยอะมากจากคนที่ทำสื่อ แล้วชอบมาบอกว่าทำไวรัลสิ ก็จะบอกว่าวีดีโอที่จะเป็นไวรัลมันไม่ใช่ทำแล้วจะเป็นไวรัล มันไม่ใช่ประเภทของงาน?
มันก็เลยแบบ จะบอกมันมีสูตรไวรัลอะไร ไม่จริงขนาดนั้นสำหรับผม แล้วเราก็ไม่อยากให้เขารู้สึกแบบนั้นด้วย แล้วเวลาเราทำก็จะไปรู้ได้ยังไงว่ามันจะฮิตหรือไม่ฮิต มันก็เลยกลับมาที่เดิมว่าประเด็นที่เรากำลังจะทำ ก็ทำให้มันดีที่สุดแล้วเราเชื่อว่าถ้ามันดีพอ เดี๋ยวมันก็ไวรัลเอง ไม่ต้องมีสูตร ไม่ต้องมีการโพสต์กี่โมง วันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือว่ามันแบบถ้ามันเวิร์คมันก็จะเวิร์ค
@จุดที่การวัดความ Success ของเรา หมายถึงว่าในแต่ละโปรเจ็คอย่างนี้ล่ะ เราวัดมันที่ตรงไหน ตรงที่ทำเสร็จแล้วหรือมีคนดู หรือยังไง?
ถ้าเบื้องต้นคือตัวเองพอใจในงานชิ้นนั้นแล้ว เพราะอย่างที่ว่าเราไม่สามารถกะได้เลยว่าไอ้สิ่งที่เราจะทำไปมันจะฮิตทุกๆ งาน จะฮิตหรือไม่ฮิต แต่ว่าถ้าเราทำแล้วเรารู้สึกโอเคกับมันมากๆ สบายใจ ทำเสร็จแล้วโอเคหวะ อันนี้เราชอบหรือไรงี้แค่นี้มันก็โอเคมากๆ ที่เหลือมันต้องแล้วแต่ว่ามันจะไปคอนเนคกับผู้คนได้มากแค่ไหน หรือมันจะไปไกลแค่ไหน อันนี้เราก็ไม่รู้
@แล้วอย่างนี้ถ้าทำงานกับเหมือนสตูดิโอใหญ่ๆ ที่มันต้องมีเรื่องตัวเงินมาเกี่ยวข้อง เราเจอซึ่งกดดันมากกว่านี้ไหม?
ก็อาจจะนิดหนึ่งเพราะว่ามันแพง เพราะว่ามันใช้เงินเยอะกว่าปกติ ถ้าถามว่าจุดที่ Success ของการทำหนังสตูดิโอคือไม่เจ๊ง คือแบบไม่ต้องร้อยล้านก็ได้ แต่ว่าคนที่ให้เงินมาทำไม่เจ็บตัว เราก็จะรู้สึกว่าดีใจมากแล้ว อย่างตอนฟรีแลนซ์ ผมก่อนหน้านี้ผมทำหนังได้เงินหนึ่งถึงห้าล้านบาทอะพี่ จะไปคาดหวังอะไรกับร้อยล้านหรือ 89ล้านที่ได้มาในที่สุด เราก็แค่รู้สึกว่าอะไรก็ได้ที่ไม่ขาดทุนสำหรับเขา เพราะว่าเขาก็ไว้ใจเราแล้วแหละในการที่ให้เราไปกำกับหนังเรื่องนึง เอาทุน เอาหนังไปเงินยี่สิบล้านไปทำหรืออะไรแบบนี้ มัน High Debt มากเลย เราก็รู้สึกว่าเราก็ต้องตั้งใจทำ แล้วเราก็หลักการเดิม ถ้าทำให้มันดีพอ มันก็ ถ้าทำให้มันสนุกมันก็น่าจะมีคนมาดูนะ อะไรอย่างนี้ แล้วก็ถ้ามันไม่ขาดทุนก็โอเค ที่เหลือเป็นโบนัสหมดแล้วว่ามันจะไปสู่ขนาดไหน หรืออะไรอย่างนี้ แต่เราเชื่อว่าถ้าทำให้มันดี มันน่าจะโอเคอยู่ แต่มันก็มีหนังบางเรื่องที่ก็วิน โอเคหนังมันมีคนชอบกับไม่ชอบ มันก็มีหนังบางเรื่องที่วินคนเยอะเหลือเกิน อย่างนี้
@ในฐานะคนเขียนบท เคยเขียนแบบ สตอรี่แบบไม่มีภาพ?
ไม่ค่อยครับ ต้องมี เพราะไปทำเป็นหนัง เราต้องเขียนเรื่องที่มันเอาไปขายได้ เพราะผมไม่ได้เขียนนิยายหรือเขียนหนังสือมันก็เลยไม่ค่อย
@แล้วมีสตอรี่ก่อนหรือคิดภาพทีหลัง?
ส่วนใหญ่จะมาพร้อมกัน แต่เป็นอาจจะเป็นเพราะว่าต้นกำเนิดที่ผมคิดเรื่องขึ้นมาได้ส่วนใหญ่มันจะ Based on true story หรือว่าสิ่งที่เราเคยเจขอมาก่อน เพราะฉะนั้นมันจะมาตั้งแต่ภาพที่เราเห็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะคิดเรื่องได้จากภาพมากกว่า มันคือสิ่งที่เราเห็นไปแล้ว ประมาณนี้ เพราะว่าผมไม่ได้ทำแฮร์รี่พอตเตอร์ แต่นั้นคืออ่านหนังสือแล้วปราสาทแม่งจะเป็นยังไง ใครวะกูไม่เคยเห็น มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น
@ตั้งแต่เริ่มทำหนังมาจนถึงตอนนี้ เรารู้สึกว่ามันมีอะไรที่เปลี่ยนไปเยอะๆ ไหม มุมมองในตัวเรา?
หลังจากจบหนังเรื่องฟรีแลนซ์ผมจะรู้สึกว่ามันจบเฟสนี้แล้ว เพราะว่าระหว่างนั้นมันได้ใช้ทรัพยากรมากมาย ชีวิต ทำหนังไป 4 เรื่องแล้ว (36,Mary is Happy, Mary is Happy, the Master, Freelance) มันก็หมดเหมือนกัน ไม่ได้หมดเปลี้ย แต่ว่ามันเหมือนผ่านซีซั่นหนึ่งไปแล้ว ตอนนี้คือซีซั่นสองแล้ว เราต้องหาสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำอะไรก็เลยลองดูอะไรอย่างนี้ เพราะว่าไม่อย่างนั้นสิ่งที่ทำมันจะวนเวียนเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ หรืออะไรแบบนี้ประมาณนั้น ถ้าถามว่าอะไรเปลี่ยนก็อาจจะเป็น อาจจะสนใจสิ่งใหม่ๆ ขึ้น ทั้งวิธีการ ทั้งคอนเทนต์ หมายถึงว่า ไม่งั้นเราจะ คือผมก็ไม่ได้อยากทำหนังเด็กมัธยมไปเรื่อยๆ มันก็หมดเหมือนกันนะ หมายถึงว่ายกเว้นว่ามีประเด็นใหม่ ซึ่งเราต้องหาประเด็นใหม่ๆ จากปัจจุบันมาก ไม่ใช่ แต่ว่าเราก็อยากลองทำหนังที่มันเป็นคอนเทนต์อื่นๆ บ้าง หรืออะไรแบบนี้ที่ไม่เคยทำหรือว่าความสนใจมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นอยู่ดีๆ วันนึงผมก็อ่านหนังสือแบบเศรษฐศาสตร์ได้ อยู่ดีๆ ก็สนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้นอะไรอย่างนี้ ผมรู้สึกว่าอย่างนี้ดี คือมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยสนใจมาก่อน แต่เรารู้สึกว่า เฮ้ย เราโตขึ้นด้วยมั้ง มีความรู้มากขึ้น ก็ต่อยอดได้เร็วขึ้น ก็ไปสู่เรื่องใหม่ๆ ได้มากขึ้น ประมาณนั้น
@เราไม่เชื่อสูตรสำเร็จ อย่างเช่นบอกว่าถ้าเหมือนบางคนจะรู้สึกว่ามันคือหาแนวทางของตัวเองเจอแล้ว ตัวเราเชื่อไหม?
ผมไม่เชื่อขนาดนั้นนะ เพราะว่าผมรู้สึกว่าคนดูก็โตด้วย ถ้าเกิดทำหนังซ้ำไปเรื่อยๆ คนก็เบื่ออยู่ดีหรืออะไรอย่างนี้ แล้วเราก็รู้สึกว่า ในฐานะเป็นคนทำงานสร้างสรรค์ ก็ไม่ควรจะทำสิ่งเดิมไปเรื่อยๆ ในเมื่อชื่อมันเขียนอยู่แล้วว่ามึงต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ มึงจะทำสิ่งเดิมไปเรื่อยๆ ไม่ได้ปะวะ ต่อให้มันเป็นหนังมัธยมก็ได้ แต่ว่าพอยท์มันต้องเปลี่ยน จะเกิดผมจะทำหนังโรงเรียนมัธยมสิบเรื่องก็ได้ แต่ในสิบเรื่องนี้พอยท์ต้องเป็นคนละเรื่องกัน อย่างน้อยต้องมีสิ่งใหม่ๆ ให้คนดูด้วย ในฐานะคนทำ แล้วอีกอย่างตัวเองมันก็ก็ได้ไม่เบื่อด้วย เพราะถ้าถ่ายแบบเดิมไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ปกติชอบถ่าย Doc ถ่ายแบบกล้อง Handheld หลังๆ ก็ลอง dolly บางดีกว่า แล้วพอได้ลองแล้วแบบดีเหมือนกันเว้ย เดี๋ยวรอบหน้ากูใช้อีกดีกว่ามันก็ในฐานะคนทำมันก็สนุก หาวิธีการใหม่ๆ ไปได้เรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน ผมจะเชื่ออย่างเดียวว่ามันมี