‘กล้าม’ ≠ ‘เกย์’

‘กล้าม’ ≠ ‘เกย์’

จะมัดกล้ามที่ต้นแขนหรือความแน่นบนแผงอก อย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับรสนิยมทางเพศ แต่เหตุใดเมื่อชายไทยเข้ายิม ต้องถูกตั้งข้อสงสัยถึงความเป็นชาย

กว่าจะออกจากสำนักงาน ช่วงเวลาก็ใกล้พลบค่ำ และถึงให้ตรงดิ่งเพื่อให้ทันวิ่งในสวนสาธารณะ นั่นก็ต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับรถติดตอนขากลับอีก

ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานออฟฟิศเป็นเช่นนี้ หลีกเลี่ยงยาก-แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งใดทดแทน… และนี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่า ทำไมธุรกิจยิมหรือฟิตเนสออกกำลังกาย จึงยังคงคึกคักตลอด 5-6 ปีหลัง ขณะที่ฐานกลุ่มลูกค้าสมาชิกก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งช่วงอายุ, ไลฟ์สไตล์, กระทั่งรายได้ที่สัมพันธ์กับค่าบริการ ที่มีให้เลือกหลากหลายระดับ

แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลย เห็นจะเป็นภาพลักษณ์ของผู้ชายที่ใช้บริการ จะเป็นวันนี้หรือเมื่อสิบกว่าปีก่อน หากเดินเข้า-ออก ฟิตเนสบ่อยๆ คำถามแรกที่ถูกสงสัย หนีไม่พ้นการเป็นผู้ชายแท้ ราวกับว่า ‘ความเป็นเกย์’ ถูกผูกติดไว้กับสถานที่อย่างฟิตเนส

 

คำถามที่ไม่อยากตอบ

  ผู้ชายเข้าฟิตเนสมักเป็นเกย์จริงหรือ ? กัณตภณ ดวงอัมพร อายุ 31 ปี ซึ่งใช้เวลาในฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายหลังเลิกงานเกือบทุกวัน ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ให้ความเห็นว่า นั่นคือความคิดที่เชยสนิท และเก่าคร่ำครึเอามากๆ เพราะฟิตเนสในปัจจุบันมีหลายแห่ง ตั้งอยู่หลายสถานที่ แถมยังขยายเวลาเปิด-ปิดอีกด้วย อีกทั้งการวางราคาโปรโมชั่นก็เอื้อให้แก่คนทุกกลุ่มเข้ามาใช้ได้ ดังนั้น ปัจจัยที่กล่าวมา ช่วยเพิ่มจำนวนกลุ่มคนเล่นฟิตเนสให้หลากหลาย หากจะเหมารวมและคิดเป็นภาพลักษณ์ที่ว่าผู้ชายที่เข้าฟิตเนสมักเป็นกลุ่มเกย์ จึงแสดงถึงความใจแคบเกินไปเสียหน่อย

และหากนับเฉพาะกับกลุ่มผู้ชายสายกล้าม กลุ่มคนเหล่านี้ล้วนมีกิจวัตรและวินัยที่มากกว่าปกติด้วยซ้ำ ไล่ตั้งแต่การฝึกที่ต้องทำให้ถูกวิธี เพื่อเร่งให้ร่างกายแข็งแกร่งอย่างปลอดภัย การกินที่เน้นคุณภาพ ไม่ยุ่งกับอาหารขยะหรือเครื่องดื่มมากน้ำตาล แต่ไร้คุณค่า โดยเฉพาะต้องกินโปรตีนเพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อ พ่วงการคำนวณแคลลอรี่ในแต่ละวัน พร้อมๆ กับมีวินัยเรื่องการพักผ่อนและการเตรียมตัว-เตรียมใจ ซึ่งต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง มิใช่เลิกกลางคัน ทิ้งไว้เพียงสิทธิสมาชิกของฟิตเนสรายปี และความอยากสุขภาพดีในที่พร่ำบ่นกันบนหน้า Facebook

“ถามว่าฟิตเนสมีกลุ่มเกย์เข้ามาไหม ผมว่ามีแหละ คนในฟิตเนส มันก็มีกันทุกกลุ่ม แต่ถ้าจะมองว่ามันเยอะกว่าผู้ชายปกติ จนคิดได้ว่าผู้ชายที่เข้าฟิตเนสส่วนใหญ่เป็นเกย์นั้น มันก็ไม่ถูก คือในอดีต อาจจะใช่ก็ได้นะ เพราะฟิตเนสยังไม่เยอะ ไม่มีกระแสรักสุขภาพ ไม่นิยมกินคลีนแบบที่ผู้ชายแท้ๆ ก็สนใจเช่นทุกวันนี้ ในอดีต ฟิตเนสอาจจะมีผู้ชายที่รักสวยรักงามเกินกว่าผู้ชายจริงๆ แต่ฟิตเนสในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนแปลงมากกว่าจะบอกว่าผู้ชายที่เข้าไปต้องเป็นเกย์”

กัณตภณ ที่กำลังเคี่ยวกรำตัวเองเพื่อร่วมประกวดเวทีมิสเตอร์ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นเสมือนการชิงแชมป์เพาะกายระดับประเทศ บอกอีกว่า การเพาะกายคือกีฬาที่ต้องฝึกฝนเช่นเดียวกับกีฬาอื่นๆ และในขณะเดียวกัน การเล่นกล้ามของผู้ชายเปรียบได้กับการสร้างแรงดึงดูดทางเพศ แบบเดียวกับที่ผู้หญิงบางรายรู้สึกมั่นใจ เมื่อมีหน้าอกขนาดพอเหมาะ ซึ่งแน่นอนการสร้างความมั่นใจเช่นนี้ มันไม่เคยจำกัดเพศ แต่การดำรงอยู่ของความคิดที่ว่าผู้ชายเล่นกล้าม รักสุขภาพ มักไม่ใช่ผู้ชายแท้ น่าจะมาจากสังคมส่วนรวมเอง ที่ยังไม่ปรับตัวหรือสร้างมุมมองให้สอดคล้องกับความจริง

  คำว่า “เป็นเกย์หรือเปล่า” ที่พุ่งตรงมาถึงผู้ชายที่เข้าฟิตเนส จึงไม่ต่างอะไรกับคำถามที่เจือปนทัศนคติ จนทำให้ใครต่อใครไม่อยากตอบ เพราะมากกว่าข้อสงสัย มันคือความคิดที่มาจากการเหมารวม ที่ช่างเก่า ล้าสมัย และแสนเชย โดยไม่มีเหตุผลใหม่ใดๆ มารองรับในเวลาเดียวกัน

 

Gay Community

  ถ้าย้อนไปในอดีตสัก 30-40 ปีก่อน ภาพลักษณ์ของผู้ชายที่เล่นฟิตเนส น่าจะเป็นแนวๆ รูปร่างบึกบึนแบบแรมโบ้ ที่ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) ฉายภาพ , ปราดเปรียวแบบ ร็อคกี้ บัลบัว ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) รับบท ไม่ก็น่าจะเป็นผู้ชายมีลุคใจดี ดูเป็นสภาพบุรุษแบบอาแอ็ด-สมบัติ เมทะนี

ใช่… คงไม่มีใครเถียง ว่าครั้งหนึ่งความแข็งแรงที่อยู่ในยิม เคยเป็นที่อยู่ของผู้ชายซึ่งผ่านออกกำลังกายอย่างหนักแบบข้างต้น จนกระทั่งราวๆ ช่วง พ.ศ. 2543 ที่แบรนด์ฟิตเนสอินเตอร์อย่าง “แคลิฟอร์เนีย ฟิตเนส เซ็นเตอร์” หรือ “แคลิฟอร์เนีย ว๊าว” เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ความหมายของการเข้ายิมก็เปลี่ยนไป ก่อนจะเกิดเป็นฟิตเนสแฟรนไชส์ที่หลากหลายเช่นทุกวันนี้

ธวัชชัย ดีพัฒนา บรรณาธิการนิตยสาร attitude ประเทศไทย บอกว่า การเข้ามาของแบรนด์ฟิตเนสในช่วงนั้น ทำให้การเล่นฟิตเนสที่เคยถูกมองว่า มีค่าใช้จ่ายสูง ถูกคนชั้นกลางเข้าถึงได้ เพราะราคาที่ถูกลง อีกทั้งภาพลักษณ์ของสถานที่ซึ่งทันสมัย สะดวกสบาย ทำให้ฟิตเนสได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง-ผู้ชาย กระทั่งกลุ่มเกย์เองก็เลือกใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นที่พบปะ

“เกย์เป็นกลุ่มที่ดูแลตัวเอง รักสวยรักงามอยู่แล้วตามธรรมชาติ จึงเริ่มเข้าไปใช้ฟิตเนสมากขึ้น เริ่มมีการนัดแนะกันไปฟิตเนส เพราะได้เจอกัน และมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ มันเป็นมานาน และดำรงอยู่แบบนี้มาระยะหนึ่ง… หากแต่เมื่อไม่กี่ปีหลังที่โซเชียลมีเดียบูมมาก การถ่ายรูป เช็คอินในฟิตเนสก็มาแรง ทำให้การรับรู้ว่า ฟิตเนสคือที่ที่เกย์ชอบไปยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคนส่วนใหญ่เข้าไปอีก ทั้งๆ ที่กลุ่มอื่นๆ ก็ใช้บริการเช่นกัน”

  ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบาย ความหรูหราของสถานที่ออกกำลังที่ออกแบบให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันเท่านั้น เวลาเดียวกับที่ฟิตเนสหลายแบรนด์เริ่มทำตลาดนี้ ในด้านหนึ่ง เทรนด์แฟชั่นของผู้ชายก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่ไป จากภาพล่ำบึ้กแบบแรมโบ้ที่เคยประหนึ่งไอดอลของผู้ชายที่เข้ายิมก็เปลี่ยนไป กลายเป็นรูปร่างที่เพรียวขึ้น-บางลง แต่ต้องมี Six-pack พอให้ดูดี ยิ่งแต่งตัวให้เก๋ ดูสะอาด มีมาด K-pop หรือไม่ก็ดูดี แต่เซอร์ๆ และบุคลิกอินเตอร์ นั่นก็ทำให้ใครๆ อยากมองไม่ใช่หรือ

ชยพล ภู่กลั่น อาจารย์พิเศษภาคสื่อสารการตลาด คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า บรรยากาศในฟิตเนสจะมีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว กล่าวคือที่แห่งนี้ มีทั้งพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่ Community ซึ่งทำให้เผชิญหน้ากัน มันจึงเปิดโอกาสให้ได้คุย ได้แลกเปลี่ยนกันได้ ไม่ว่าจะมีเพศวิถีเป็นอย่างไร

กลุ่มเกย์เองก็จะใช้ฟิตเนสเป็นสถานที่อัพเดทเรื่องราวในวงการ เช่นที่ว่า ใครคบกับใครอยู่ ร้านอาหารไหนที่น่าไป แชร์แอคเคาท์ IG เกย์ที่มีหน้าตาดี พร้อมๆ กับหาคอนเนคชั่นที่จะสานต่อสัมพันธ์ในอนาคต

  ยิ่งผนวกกับในเชิงการตลาดแล้ว กลุ่มเกย์มีไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจน พนักงานขายของฟิตเนสจึงมักจับให้กลุ่มเกย์เป็นลูกค้าหลัก มีโปรโมชั่นสำหรับการพาเพื่อนมาเป็นสมาชิก การลดราคา ยิ่งทำให้กลุ่มเกย์มักใช้สถานที่อย่างฟิตเนสเป็นที่พบปะ ในช่วงเวลา Relax ที่สุด อย่างช่วงเลิกงานในแต่ละวัน

ดังนั้น ถึงมันอาจไม่แฟร์เท่าไรที่จะยกให้ฟิตเนสคือสถานที่ของเกย์ แต่ก็คงไม่แปลกที่ใครจะคิดเช่นนั้น….ในขณะเดียวกันก็ควรจะเข้าใจใหม่เสียด้วยซ้ำว่า กลุ่มเกย์ไม่ได้ผูกติดกับแค่ภาพลักษณ์ของการมีกล้ามเท่านั้น เพราะสำหรับกลุ่มเกย์บางพวก พวกเขาก็นิยมแค่ออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพดี อาจจะเป็นสายลีน (Lean) ที่คล่องแคล่วไร้ไขมันส่วนเกิน หรือบางคนก็พอใจที่จะเป็นสายหมี เพราะแฮปปี้กับรูปร่างท้วมๆ แต่แข็งแรงแบบน่ารัก น่ากอด

 

กลัวเกย์ = อคติทางเพศ

  เชื่อไหมว่า ไม่ใช่แค่รูปร่างที่จะบอกว่าคุณเป็นใครในฟิตเนส โลเคชั่นที่ใช้บริการก็จะบอกอีกว่า คุณมีโปร์ไฟล์เบื้องต้นเป็นอย่างไรด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าเล่นแถวๆ สาธร, สุขุมวิท จะออกแนวๆ หนุ่มออฟฟิศ เป็นคนทำงานที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือถ้าเป็นแถวสยาม-ชิดลม จะดูเป็นเด็กมาหน่อย หากเป็นพระรามเก้า,รัชดา ละแวกนั้น เน็ตไอดอลจะเยอะ นอกเหนือจากนี้ก็น่าจะเป็นตามหัวเมืองที่มียิมแฟรนไชส์เข้าไปทำตลาด ซึ่งต้องดูกันไปยาวๆ ในเชิงธุรกิจ

มันเปรียบได้กับสีสันของผู้ที่คลุกคลีกับการเข้ายิมมานาน ที่หลายคนสังเกตได้ พอๆ กับข้อเท็จจริงซึ่งต้องจำไว้ อย่างที่ นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ นักวิชาการแห่งศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สรุปว่า ผู้ชายที่เข้าฟิตเนสมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายแท้ๆ หรือเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมเสน่หาคนเพศเดียวกัน นั่นเพราะพื้นที่ออกกำลังเล่นฟิตเนส เปิดโอกาสให้ผู้ชายมองดูเรือนร่างของชายอื่น และเป็นสถานที่ที่มองผู้ชายมีกล้ามเป็นวัตถุทางเพศแบบเดียวกับที่ผู้ชายทั่วๆ ไปจ้องมองและจินตนาการเรือนร่างผู้หญิง

  ในอดีต มันอาจมีวัฒนธรรมแบบ Physical culture (วัฒนธรรมกายภาพ) ที่มองความเป็นชายที่สมบูรณ์ ต้องมีกล้ามแข็งแรงชัดเจน เป็นสัญลักษณ์ของชายชาตรีรักต่างเพศ แต่ทศวรรษ 1970s เป็นต้นมา ธุรกิจยิมได้เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ชายที่รักสุขภาพแบบ Sportnosexual และเกย์กลายเป็นลูกค้าหลัก ทำให้ฟิตเนสมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมเกย์

“ผู้ชายที่สนใจความงามของร่างกายแบบ Hyper masculine ซึ่งไม่ได้มองว่าการเข้ายิมต้องทำให้ร่างกายบึกบึนเท่านั้น ก็จะมีพื้นที่ทางสังคมร่วมกับเกย์มากขึ้น และเรียนรู้ที่จะอยู่กับเกย์ด้วยทัศนะเชิงบวก เพราะในตะวันตก เกย์มิใช่คนผิดปกติ แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ดังนั้น การกลัวว่าจะถูกมองเป็นเกย์ เป็นความกลัวแบบมีอคติต่อเกย์ ผู้ชายที่เปิดกว้างยอมรับความหลากหลายทางเพศ จะไม่กังวลว่าสังคมจะกล่าวหาเป็นเกย์เมื่อเข้าฟิตเนส”

ภาพลักษณ์หรือคำถามที่ตั้งข้อสงสัยเอากับผู้ชายที่เข้าฟิตเนส จึงเป็นเพียงมุมมอง กระทั่งความอคติส่วนตัวที่ไม่มีหลักฐานอะไรรองรับเสียด้วยซ้ำ แต่ยังถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำอีกจนทำให้เชื่อและท่องๆ กันต่อไปว่า ”ผู้ชายที่ฟิตเนสมักเป็นเกย์”

  สำหรับคนที่รักสุขภาพ ขอแค่ได้ออกกำลังกายและดูแลตัวเอง ใครจะเมาท์อะไรก็ช่างเหอะ เพราะคงไม่ไหวจะเคลียร์กันทุกเรื่อง จริงป่ะ!!