(สำนัก)ข่าวนี้สิมาแรง สัญชาตญาณบอก

(สำนัก)ข่าวนี้สิมาแรง สัญชาตญาณบอก

พาไปรู้จัก The Matter สำนักข่าวออนไลน์ที่ใครๆก็กำลังพูดถึง

Content is King ยังเป็นวรรคทองสุดเก๋าก็จริง แต่เชื่อเถอะ ความขลังอย่างที่ว่าไม่ได้หมายความแค่สิ่งที่บอกมันต้องดี-ต้องโดนเท่านั้น หากเนื้อหาเองก็ต้องมีลูกเล่นการตลาดแบบเดียวกับสินค้า ทั้งถ้อยความ, วิธีการนำเสนอ, ดีไซน์ ที่สำคัญคือต้องมีคาแรกเตอร์ซึ่งทำให้คนอยาก Like อยาก Share เพราะรู้สึกภูมิใจและมีรสนิยมเมื่อมีคอนเทนต์นี้ไปอยู่ในหน้าวอลล์ Facebook ส่วนตัว
ยอด Like ของออนไลน์คอนเทนต์ไม่ต่างอะไรกับเรตติ้งของรายการโทรทัศน์ ยอดพิมพ์ของหนังสือ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะการทำแฟนเพจ ทำเว็บไซต์เปรียบเสมือนการทำ Portfolio ที่บอกถึงวิธีสื่อสาร เวลาที่ลูกค้าซื้อ เขาจะไม่ได้ซื้อแฟนเพจนั้นที่ distribution channel อย่างเดียว แต่ซื้อวิธีสื่อสารและคาแรกเตอร์ของเพจนั้นไปด้วย
ในสนามออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีช่องทางสื่อสาร กระทั่งสื่อสถาบันเองก็กำลังปรับตัว แฟนเพจข่าวที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นับสิบ-นับร้อย สุดท้ายแล้วจะเหลือเพียงเท่าใดที่ยังคงอยู่ มันจึงเป็นความท้าทายของคนทำคอนเทนต์ที่จะสร้างคุณค่า มากไปกว่าเป็นความบันเทิงระยะสั้นที่เกิดมาชั่วครู่และพร้อมจากไป

ถึงจะไม่โด่งดังขนาดใครๆก็ต้องรู้จัก แต่ในระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ปรากฏตัว ‘The matter’ คือสำนักข่าวออนไลน์ที่ใครๆ กำลังพูดถึง ไม่ว่าจะด้วยวาจา ท่วงท่า และกลยุทธ์การนำเสนอเนื้อหาข่าวที่แปลกใหม่

มากกว่านั้น ทีปกร วุฒิพิทยามงคล ผู้ร่วมก่อตั้ง ยังเป็นคนเดียวกับ “แชมป์” ที่ร่วมก่อตั้งเว็บบล็อก exteen เมื่อกว่าสิบปีก่อน เป็นคนทำแฟนเพจกลุ่มแรกๆ ทำเว็บไซต์ MINIMORE MAKERS ในสังกัดสำนักพิมพ์แซลมอน ซึ่งทั้งหมดพอจะนิยามได้ว่า เขาคือคนที่เห็นการเติบโตของคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มออนไลน์ดีที่สุดคนหนึ่ง

และชั่วโมงนี้ The matter คือสำนักน้องข่าวใหม่ที่กำลังถูกปลุกปั้น และไม่ได้คิดจะมาเล่นๆ ยิ่งในยุคที่คอนเทนต์กว่าครึ่งอยู่ในออนไลน์ กระทั่งสื่อกระแสหลักก็ปรับตัวแบบสุดกำลังแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้

ในฐานะที่เห็นการทำคอนเทนต์บนอินเทอร์เน็ตมานาน คุณเห็นพฤติกรรมอะไรของผู้อ่านที่เปลี่ยนไปบ้าง

มันคงเปลี่ยนไปในฐานะที่ว่าผู้บริโภค มีฐานะที่เป็นผู้สื่อสารได้เองมากขึ้น มี Voice (ความเห็น, ข้อมูล) ที่จะเป็นคอนเทนต์ต่อไปได้ อย่างยุคก่อน การตอบกระทู้ pantip มันก็อยู่ในพื้นที่ปิด หรือในอดีตการทำบล็อกหรือเว็บไซต์ ที่เป็น 1.0 นั่นเปิดโอกาสให้คนเขียน และอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในโซเชียลเน็ตเวิร์คยุคปัจจุบันนี่แหละ ที่ทำให้ Comment กลายมาเป็นคอนเทนต์ต่อไปได้ด้วยผู้บริโภคเองสามารถที่จะ Reaction กับเนื้อหาได้ แม้กระทั่งสื่อกระแสหลักเองเมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญยังนำ Comment ของผู้รู้ในออนไลน์ไปขยายความต่อ

ทำไมต้องเป็น The matter

เรานิยามตัวเองว่าเป็นสำนักข่าว แต่ไม่ใช่สำนักข่าวในมุมที่ว่ามีนักข่าวลงพื้นที่ออกไปสัมภาษณ์เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นทันที แต่เราทำเพราะรู้สึกว่า ทำไมข่าว Traditional (กระแสหลัก) ที่เราอ่านไม่ทำให้เรามีส่วนร่วมกับข่าวที่นำเสนอเลย ไม่ว่าจะเป็นภาษา การเล่าเรื่อง อย่างหนังสือพิมพ์เราก็เข้าใจนะว่ามันมีฟอร์มของมัน แล้วเวลาขึ้นใน online เขาก็จะ copy มาใส่แล้วก็จบ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการใช้สื่อออนไลน์ได้ไม่เต็มที่ จึงคิดกันว่า เราน่าจะหาข่าวมาเล่าให้สนุกกว่าที่มีอยู่ อาจจะเล่าด้วยภาพ กราฟฟิคที่สวย น่าดู จึงเป็นที่มาของ the matter

เรื่องอะไรบ้างที่พวกคุณจะนำเสนอ

เราไม่ได้มองเรื่อง Category (การแบ่งหมวดหมู่) ของข่าว แต่มองว่าสิ่งนี้ คนที่ติดตามเราอยู่ต้องอยากรู้ คือ ถ้าเป็นเพื่อนกันต้องอยากรู้แน่ๆ มันก็จะมีข่าวประมาณนี้ และก็มีข่าวที่มันซีเรียสขึ้นมาด้วยด้วย อย่างเช่น เรื่อง Big Data กับโสเภณี (ชื่อเรื่อง : เปิดเปลือยข้อมูลโสเภณีเมืองกรุง แบบ Data Analysis ออนไลน์เมื่อ 11 กรกฎาคม 2559) หรือ Sotus : Dumb ways to die ซึ่งว่าด้วยระบบโซตัสของการรับน้อง เราก็จะดูด้วยว่า อะไรที่คนน่าจะพูดถึง พยายามหาประเด็น และวิธีนำเสนอที่เป็นมิตรและสนุก เรานำเสนอทั้งข่าวต่างประเทศและข่าวในประเทศ เป็นสกู๊ปที่มีการวิเคราะห์ มีการสัมภาษณ์บุคคลแบบเดียวกับสำนักข่าว

อย่างเมื่อไม่นานมานี้เรานำเสนอบทสัมภาษณ์ของคุณโกมล ปัญญาโสภณเลิศ ซึ่งเป็นแชมป์ครอสเวิร์ดเกม หรืออาจจะเป็นข่าว Mass shooting ที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสความสนใจก็ได้ แต่ก็จะบอกเล่าในเชิงวิทยาศาสตร์ ตรงนี้น่าจะอธิบายถึงลักษณะงานของเรา

ส่วนข่าวที่ได้รับความนิยมก็จะไม่เหมือนสื่อกระแสหลัก เพราะกลุ่มผู้อ่านมันเล็กกว่า มันจึงเป็นเรื่องที่หาจากที่อื่นไม่ได้ อันที่มากที่สุดคือวีดิโอ โซตัส อันนั้นคือมีคน Reached ประมาณ 1.5 ล้าน ซึ่งเราให้น้ำหนักกับการพรีเซนต์ค่อนข้างมาก หรือเรื่อง Big data ในโสเภณีคนก็อ่านเยอะ ถ้ามีคนสนใจก็น่าจะมาจากคอนเทนต์ที่แตกต่าง หรือไม่ก็เป็นการนำเสนอที่แตกต่าง คือเอาเรื่องยากที่มาทำให้เข้าใจง่าย มาเขียนสรุป

เป็น Niche ที่เจาะกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะ?

ถ้าบอกว่า เป็นคนที่เป็น First Jobber ก็คงได้ และก็น่าจะใช้เวลาในอินเทอร์เน็ต 1-2 ชั่วโมงต่อวันเป็นอย่างน้อย คือถ้าใช้แค่ 10นาทีต่อวัน คงไม่อ่าน the matter แน่ แต่ถ้าใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน คุณก็น่าจะอยากจะอ่านเราล่ะ เพราะว่าสิ่งที่เราพูดไม่น่าเหมือนที่อื่น

แล้วอะไรที่ต่างจากสำนักข่าวทางเลือกอื่นๆ

เราคุยไปพร้อมๆ กัน ทั้งคาแรกเตอร์ของข่าว รูปแบบการนำเสนอ และเนื้อหาตั้งแต่เริ่มแรกที่จะทำในแต่ล่ะเรื่อง เราไม่ได้เน้นด้านความเร็วเลยนะ คือไม่มีนักข่าวจะไปในที่เกิดเหตุ หรือนายกฯ พูดอะไร เราไม่มีทางรู้เลย แต่เราจะเน้นความ Relate กับคนอ่าน ให้ดูว่าสิ่งนี้มันเกี่ยวกับคุณอย่างไร คือผมคิดว่า คนที่เล่นอินเทอร์เน็ตจะเข้าใจในสิ่งที่เราบอก 

อย่างเช่น วันที่ลิงฉีกประชามติ เราก็จะทำสกู๊ปแนวๆ วิทยาศาสตร์เรื่องประชาธิปไตยในลิง (จากเรื่อง ให้ ‘ลิง’ สอนการเมือง… เมื่อจ๋อฉีกรายชื่อลงประชามติทิ้ง ฝูงลิงมองการเมืองอย่างไร) ซึ่งทำอย่างนี้ได้ต้องรู้ข่าว และคิดว่า จะเสนออย่างไร มุมมองก็จะเป็นอะไรที่สนุก เสียดสี ขบขัน แต่มีพื้นฐานมาจากความจริง อย่างประชาธิปไตยในลิงไม่ได้เขียนขึ้นมาลอยๆ ก็ไปหางานวิจัยที่มันสนับสนุน ก็ต้องไปหางานวิจัยที่จะมาดูว่าลิงมันมีการปกครองอย่างไร

แต่การเกิดขึ้นของแฟนเพจข่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ บางทีนี่อาจเป็นยุคท้ายๆ ของการนิยมอ่านเพจก็ได้

เราอยู่ในยุคที่เฟซบุ๊คมันครอบทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็สร้างอินเทอร์เน็ตภายในอินเทอร์เน็ตอีกทีหนึ่ง คือภายในและนอกเฟซบุ๊ค อย่างThe matter แม้เราจะเป็นเว็บไซต์ด้วยแต่ฐานหลักคือเฟซบุ๊ค แล้วเราก็ใช้ฐานนี้เป็น distribution ผมมองว่า เพจยุคนี้เกิดยากกว่าเพจยุคก่อนอีก คือ เมื่อก่อนผมทำเพจแล้วมันเกิดง่ายมาก อยู่ดีๆ ก็มี Like เป็นแสน แต่อย่าง The matter มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย ถ้าวัดที่ยอด Like แค่ประมาณ 3 หมื่นซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ถ้านับเฉพาะระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือนที่เราเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ระยะเวลา 1-2 เดือนก็ถือว่าโอเคในสภาพนี้

ถามว่า มันถือเป็นช่วงท้ายๆ หรือไม่ ก็ต้องบอกว่า มันยากกว่าแต่ก่อน เพราะว่าเวลาที่เราสร้างเพจขึ้นมาก็เหมือนเราฝากชีวิตไว้กับแพลตฟอร์มนั้น แล้วเขาอาจจะเปลี่ยนกฎอะไรก็ได้ เช่นวันหนึ่งถ้าเขาเปลี่ยนกฎไม่ให้ผู้ที่ติดตามเห็นข่าวที่เรา Feed ขึ้นมาเลย ยกเว้นจะจ่ายเงินเพิ่ม เราก็ทำอะไรไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปร้องเรียนอะไรเลยนะ เพราะเราตัดสินใจมาอยู่ของเขาเอง The matter จึงต้องมีแพลตฟอร์มอื่นอย่างเว็บไซต์มารองรับ

การเกิดขึ้นของเพจ มันก็ทำหน้าที่เป็น Influencer ไปพร้อมๆ กันด้วย และทุกวันนี้ คนทั่วไปก็สามารถขึ้นมาเป็นด้วยเหมือนกัน แต่ละคนจะเลือกตามเฉพาะข่าวที่ตัวเองสนใจ มีความเป็น Niche มากขึ้น เช่นข่าวนาฬิกาเราเคยตามอ่านในนิตยสาร แต่ตอนนี้ก็จะมาตามแฟนเพจนาฬิกาแทน ทำไมถึงคิดว่า เพจนิตยสารจะรู้ดีกว่าเพจนาฬิกาล่ะ ผู้ที่กด like เขาก็จะกดติดตาม เพื่อ support บุคคลคนนั้น ไม่ใช่สถาบันอีกต่อไป ความสำคัญของตัวกลางจึงยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวกันไป

สื่อกระแสหลักเองก็ปรับตัว วันนี้ทุกคนมีคอนเทนต์ในออนไลน์ มองเรื่องนี้อย่างไร

บางเจ้าก็ทำได้ดีนะ ผมคิดว่ามันคงขึ้นอยู่กับวิธีการพูด สำเนียงการนำเสนอด้วย อย่างมติชนจะเก่งที่จะเล่นกับความรู้สึกของคน ที่ว่าข่าวนี้คุณจะแชร์ข่าวแบบนี้ด้วยอารมณ์บางอย่าง หรืออย่างวิธีการพาดหัวนิตยสาร way ก็อาจจะเอาข้อมูลที่ไม่มีใครเห็นมาทำให้เห็นได้ แต่เจ้าไหนที่ทำแล้วยังไม่แตกต่างก็น่าจะเป็นเพราะแค่เอา source ของหนังสือพิมพ์ตัวเองมาใส่เลย ก็เหมือนอ่านหนังสือพิมพ์นี่แหละ แต่พอไปอยู่ออนไลน์มันไม่เหมาะ

ยกตัวอย่างต่างประเทศ สำนักข่าวที่ประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์คือจะมีกองแยก ไม่เช่นนั้นก็จะมีกองที่เอาข่าวหนังสือพิมพ์นี่แหละมาตีความใหม่ อาจจะเป็นอินโฟกราฟฟิค หรืออย่าง The Guardian คือเอาเทคโนโลยี E-visual มาทำ แล้วก็ทำให้คนพูดถึงได้ หรือ Independent ก็เปิดเว็บแยกซึ่งเป็นข่าวออนไลน์อย่างเดียว ส่วนของไทยบางทีอาจจะเป็นกองเดียว หรือไม่ก็เน้นไปที่จำนวน คือ อัพข่าวขึ้นจำนวนมากๆ ซึ่งมันได้จำนวน ก็จริงนะ แต่บางข่าวก็มีคนกด Like น้อยมาก ผมคิดว่ามันทำให้เสียจังหวะบางอย่างไป และคนอ่านคงไม่ตั้งให้เห็นเป็น See First

บางคนมองว่าแฟนเพจข่าวไม่ค่อยมีความน่าเชื่อถือ จะเอาชนะความคิดนี้อย่างไร

ตอนนี้สื่อใหญ่ก็เริ่มไม่น่าเชื่อถือเหมือนกันนะ บางสำนักข่าวก็ตรวจสอบแล้วว่า ไม่จริง สมัยก่อนเราอาจจะคิดว่าการเป็นสื่อเป็นสถาบัน มีความน่าเชื่อถือ มีการตรวจสอบหลายชั้น ทั้งหัวหน้าข่าว บรรณาธิการ คือมันหลายตา แต่สมัยนี้ในสนามออนไลน์สำนักข่าวก็ใช้แค่นักข่าวสู่ผู้บริโภคเหมือนกัน เพื่อความรวดเร็ว มันก็ใช้ตาคู่เดียวเหมือนกัน 

โอเค...ตาของนักข่าวมันอาจจะดีกว่าตาของผู้ที่ไม่ได้ฝึกมาก็จริง แต่ว่าก็ไม่เสมอไป บางคนอ่านข่าวเยอะ มีประสบการณ์อาจจะดีกว่าก็ได้ มันเลยเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่เรื่อย สำหรับแฟนเพจมันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด ถ้าเราวางคาแรกเตอร์ให้ชัดแต่แรก อย่างเช่น ถ้าเราทำเพจที่มีสำเนียงแบบ Drama-addict บางคนอาจไม่เชื่อถือก็จริง แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งเขาเชื่อ ดังนั้นผมเลยคิดว่า คนที่ตามแฟนเพจก็จะมีคนหลายแบบ เขาก็จะเลือกติดตามเนื้อหาที่เขาสนใจ ไม่ได้ติดตามทั้งหมดหรือต้องไปเชื่อทั้งหมด

===================================

นอกจาก The matter แล้ว จุดประกายขอพาไปรู้จักกับอีก 2 กลุ่ม Content Creator ซึ่งมากไปด้วยคอนเซปจนทำให้ใครๆ ต้องตาม Like และยกเทียบเท่าให้เป็นแฟนเพจข่าวที่ใครๆ ต้องติดตามอ่าน

       

‘Dude sweet’ อัพเดทโลกแบบคน Trendy

เราอาจจะรู้จัก Dude Sweet จากการเป็นปาร์ตี้ครีเอเตอร์เจ๋งๆ แต่เว็บไซต์และเพจในชื่อThird World Magazine ช่วยเปิดโลกให้เราเห็นความเคลื่อนไหวของกระแสใหม่ๆ ภาพลักษณ์ของข่าวที่ดูเคร่งขรึม จึงเก๋ ทันสมัย และเต็มไปด้วยอารมณ์จิกกัดในคราวเดียวกันเมื่ออยู่ในเพจของ Dudesweet

พงษ์สรวง คุณประสพ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ Dude sweet บอกว่า บทความส่วนใหญ่เขา และทีมงานอิสระรวมแล้ว 5 คน ช่วยกันคิด เขียน และเลือกวิธีนำเสนอเองทั้งหมด โดยเรียบเรียงจากเหตุการณ์และกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งการคัดเลือกประเด็นในแต่จะให้นักเขียนที่มีความสนใจหลากหลายเสนอหัวข้อ แล้วเอามาถกเถียงกันใน Group Chat ก่อนเริ่มหาวิธีนำเสนอ

คาแรกเตอร์ของ Third World นั้น เกิดขึ้นจากความต้องการสะท้อนนิสัยของแม็กกาซีนหรูหราที่นำเสนอแต่เรื่องร่ำรวย ตัดสินคนด้วยภาพภายนอก และวนเวียนอยู่กับการยัดเยียดความอยากได้-อยากมีให้ผู้อ่าน ซึ่งเป็นแบบนี้มาเกือบ 20 ปี จึงอยากทำตัวเป็นหนังสือไฮโซจัดๆ โดยสไตล์การเขียนก็ใช้แบบเย็นชา เว้นระยะห่างระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ซึ่งก็แปลกดีที่รูปแบบซ้ำซากที่นิตยสารลักษณะนี้กำลังไปไม่สวยในเชิงธุรกิจ แต่กลับเวิร์คเมื่อเอามาใช้กับ Third World ที่อยู่ในออนไลน์

“ผมคิดว่าหัวใจของออนไลน์คอนเทนต์มันก็มีแค่บทความที่มีประเด็นชัดเจน ไม่ใช้ภาษาฟุ่มเฟือย และอ่านง่ายบนมือถือ แต่ที่เราจะไม่ทำแน่ๆ คือ click bait หรือจั่วหัวประมาณ “สิ่งที่พบจะทำให้คุณอึ้ง” หรือ “สิบนั่นนี่คุณควรดูหรือทำก่อนตาย” เพราะนักเขียนมักง่ายมันชอบทำกัน… ผมไม่รู้ว่าหนังสือออนไลน์เขาทำกันยังไง ก็ทำทุกอย่างเท่าที่จะคิดออก แต่สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือจะไม่ให้ความสำคัญกับ positioning มาก เพราะมิเช่นนั้นจะกลับไปเป็นแม็กกาซีนยุคเก่า ที่ถูกตีกรอบเนื้อหาและสไตล์การเขียนอีกซึ่งสวนทางกับยุคนี้ที่คนเรามีความสนใจกว้างมาก แต่ก็สั้นมาก

ตอนนี้ Third World เล่นกับความฉาบฉวยของวัฒนธรรมการอ่าน กลุ่มเป้าหมายของเราคือคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ ที่อ่านเสร็จแล้วกลับมาด่าเราทีหลังว่าเป็นเว็บตอแหลเชื่อถือไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นเป้าหมายของเราเลย คือการเป็นคนทำ Content ที่คุณต้องคิดก่อนจะเชื่อเรา” 

‘สรุป’ สั้นๆ แต่โดน

“เมื่อข่าวสารมันเยอะจนไม่สามารถติดตามได้ทุกเรื่อง แต่ขณะเดียวกันบางข่าวมีความสำคัญ จึงต้องทำ “สรุป” ให้ผู้อ่านได้ติดตาม “แอดมินเพจ “สรุป” บอกสั้นๆ ถึงที่มาของการทำเพจที่มีคาแรกเตอร์ตรงตามชื่อ

แนวทางการคัดเลือกข่าวที่จะมาทำสรุปนั้น ประกอบไปด้วย 3 ปัจจัย คือ1.เป็นเรื่องที่ทีมงานสนใจ 2.เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจด้วย และ 3.ต้องเป็นประโยชน์กับคนอ่าน จากนั้นทีมงาน 3 คนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน จะช่วยกันคัดเลือกประเด็น เพื่อหาเรื่องที่เหมาะสมมาสรุป ซึ่งในช่วงนี้ต้องหาข้อมูลเยอะขึ้น จากการอ่าน และเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ ที่ ก่อนเขียนสรุปออกมาเป็นข้อๆ ในไทม์ไลน์เดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้คนอ่านไม่รู้สึกเหนื่อย เกิดความชัดเจน และเห็นว่าแต่ละประเด็นมันเชื่อมโยงกันอย่างไร

“เราไม่ได้เขียนลงทุกวัน มันอยู่ที่ว่าช่วงนั้นมีประเด็นรึเปล่า มันต้องเป็นข่าวที่สังคมสนใจ และเป็นประโยชน์จริงๆ และไม่ใช่แค่สรุปเป็นข้อๆ เท่านั้น แต่บางเรื่องจะต้องอธิบายที่มาที่ไปเพิ่มด้วย เพื่อจะได้เข้าใจได้ง่าย การเขียนก็ต้องบรรยายให้ยาวขึ้น แต่ยังอยู่ในประเด็นของการสรุปประเด็นสำคัญอยู่ พยายามรวบรวมเนื้อหา ทำมาเป็นข้อๆ เพื่อให้คนตามอ่านได้” แอดมินเพจสรุป “สรุป” ให้เราฟังอีกทีนึง (ฮา)