สมุนไพรต้องห้าม

กัญชาและกระท่อม ถูกตีตราเป็นยาเสพติด ทั้งๆ ที่สามารถพัฒนาต่อยอด เพื่อใช้รักษาโรคได้มากมาย ถ้าอย่างนั้นจะปลดล็อคสมุนไพรเหล่านี้อย่างไร
ถ้าให้จัดประเภทของยาเสพติดให้โทษ (ปี 2522) กัญชาและกระท่อม อยู่ในประเภท 5 จึงไม่ได้เป็นยาเสพติดร้ายแรงเหมือนเฮโรอิน (ประเภท 1) หรือ มอร์ฟีน โคเคน ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษทั่วไป(ประเภท 2) แม้กระทั่่งยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของฝิ่นหรือโคเดอีน ยังจัดอยู่ในยาเสพติดชนิดตำรับยาให้โทษประเภท 3
ด้วยข้อมูลดังกล่าว ได้มีการเสนอรัฐบาลหลายครั้งหลายคราว ถอดถอนกัญชาและกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 เพื่อให้เป็นพืชสมุนไพรที่มีการควบคุมในฐานออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หลายฝ่ายพยายามนำกัญชาและกระท่อมมาใช้เป็นยา และเมื่อไม่นานญี่ปุ่นยื่นขอจดสิทธิบัตรใบกระท่อม ซึ่งเป็นทรัพยากรทางชีวภาพของไทย ก็เป็นอีกวาระที่หลายฝ่ายต้องกลับมาทบทวนทั้งเรื่องกฎหมายความหลากหลายทางชีวภาพ ปัญหาสมุนไพรไทยที่ถูกตีตราเป็นยาเสพติดให้โทษ รวมถึงการพัฒนาต่อยอดสมุนไพรไทย
ยาชั้นดีจากกัญชา&กระท่อม
"ถ้าเป็นกัญชา ดิฉันเห็นด้วยในแง่การเปลี่ยนสถานะ(จากยาเสพติดเป็นพืชสมุนไพร) แต่ไม่เห็นด้วยที่จะเปิดอย่างอิสระ แค่เปลี่ยนสถานะใช้เป็นยา มีการควบคุมอย่างใกล้ชิด" รองศาสตราจารย์รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในฐานะคนที่คลุกคลีกับสมุนไพรมานาน
จากประสบการณ์ในการศึกษาวิจัย เพื่อนำสมุนไพรมาใช้เป็นยา อาจารย์รุ่งระวีบอกว่า คนไข้ที่มีปัญหาสุขภาพ เนื่องจากใช้กัญชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราพบว่า ส่วนใหญ่แล้วคนที่สูบกัญชาจะเป็นขี้กลัวมากกว่าเป็นคนกล้า
"คนเสพกัญชานานๆ จะกลัวสีเข้ม กลัวลมแรงๆ มีจินตนาการเกินจริง ซึ่งลักษณะเหล่านี้ ทำให้เรารู้ว่า คนที่สูบกัญชาส่งผลต่อการก่ออาชญากรรมน้อยมาก ตรงนี้กรมตำรวจน่าจะศึกษาข้อมูลย้อนหลัง เพื่อจะได้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ เนื่องจากเมืองไทยสามารถปลูกกัญชาได้ดี"
แม้ผืนดินบ้านเราจะปลูกกัญชาได้ดี แต่ปัญหาที่ผ่านมาทุกยุคทุกสมัยคือ ระบบการบริหารจัดการ อาจารย์รุ่งระวี บอกว่า เป็นไปได้ไหมที่่จะนำกัญชามาใช้ในวงจำกัด คือใช้เป็นยา ซึ่งต่างจากแนวคิดของคนส่วนใหญ่พยายามบอกว่า ควรให้มีการใช้กัญชาอย่างอิสระ ใครๆ ก็ปลูกได้
"ดิฉันไม่เห็นด้วย ที่บอกว่า ใครๆ ก็ปลูกได้ เพราะกัญชาปลูกง่าย ถ้าบอกว่า ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ใช่ ยังมีผลต่อสุขภาพพอสมควร เสพในระยะสั้นจะอารมณ์ดี คนที่สูบกัญชามักไม่กระตือรือร้น ไม่อยากทำมาหากิน ถ้าผู้ชายสูบนานๆ จะมีผลต่อสเปิร์ม มีปัญหาในเรื่องการเจริญพันธุ์"
อย่างไรก็ตาม อาจารย์รุ่งระวี ย้ำว่า ไม่ควรควบคุมกัญชาในฐานะยาเสพติด ควรขยายการควบคุมให้สามารถผลิตเป็นยาได้ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ป่วย เพราะในอเมริกามีงานวิจัยที่ใช้กัญชารักษามะเร็ง ทางด้าน ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร กลุ่มงานเภสัชกรรม และรองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ บอกว่า ประเทศเราไม่ค่อยมีการผลิตสารเคมีเพื่อนำมาทำยา เราต้องมีพืชที่ผลิตยาได้ดี สมุนไพรพวกฝิ่น กัญชา กระท่อม ถือว่าโดดเด่น ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยาโดยธรรมชาติ
"กระท่อมกับกัญชาอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน มีบันทึกในวรรณคดีไทย ว่า คนไทยเคี้ยวใบกระท่อมเวลาใช้แรงงานและออกศึก ในอดีตชาวบ้านภาคใต้กินกัญชาเป็นผัก ดังนั้นทั้งกัญชาและกระท่อม ควรมีการผ่อนผันอีกรูปแบบ ถ้าบอกว่าควรมีการปลูกอย่างเสรี ทางฝ่ายปราบปรามยาเสพติดก็มีปัญหา จึงอยากเสนอว่า ควรจัดการใหม่ ไม่ใช่ตีตราว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ขณะที่ยาเสพติดให้โทษประเภท 1-4 ที่ขึ้นทะเบียน มีการอนุญาติให้ใช้ได้บางกรณี แต่กัญชา กระท่อม ไม่มีการอนุญาติแบบนั้น ยาแผนปัจจุบันบางชนิดมีความรุนแรงมากกว่า ยังมีการอนุญาติให้นำเข้า"
ว่ากันว่า ในปี 2555 ประเทศไทยต้องจ่ายค่ายาแผนปัจจุบันทั้งประเทศกว่า 170,000 ล้านบาท และตัวเลขการใช้ยาแต่ละปีสูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอย่างนั้นการนำสมุนไพรมาเป็นตัวยา น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ภญ.ดร.สุภาภรณ์ เล่าต่อว่า สมัยก่อนมีพรบ.กระท่อมหรือกัญชาว่า จะได้สมุนไพรตัวนี้แค่ไหน แต่ไม่ถูกตีตราว่าเป็นยาเสพติด
"ประเทศเราควรมีโรงงานผลิตสารเคมีจากพืช เพื่อนำมาผลิตยาที่เหมาะสม เราเห็นว่าทั้งกัญชาและกระท่อมมีความสำคัญ ควรเอามาวิจัยพัฒนาใช้ประโยชน์ เราพูดในฐานะคนที่ต้องการหาสมุนไพรมาทดแทนยาแผนปัจจุบัน ขณะที่กัญชามีปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กระท่อมอยู่ที่แผ่นดินตรงนี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คนไทยใช้ประโยชน์จากกระท่อมมากที่สุดในโลก มันเป็นพืชพรรณที่ทนแดด ไม่ทนฝน ซึ่งคนที่กินก็รู้ว่า กินแค่หนึ่งหรือสองใบ เรื่องนี้รัฐบาลทหารสามารถสั่งได้เลยว่า ให้มีการผลิตยาจากกระท่อมและกัญชาเพื่อประโยชน์"
สิทธิบัตรที่ควรหวงแหน
ว่ากันว่า กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เมื่อเติบโตแล้ว สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายสิบปี ต่างจากกัญชา ซึ่งเป็นพืชล้มรุก ปลูกปีเดียว ไม่นานก็ตาย
อาจารย์รุ่งระวี เล่าถึงพืชสมุนไพรตัวนี้ว่า คนที่เสพใบกระท่อม ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน เพราะมันมีฤทธิ์คล้ายๆ ยาบ้า เสพเยอะๆ ทำให้หงุดหงิด เครียด มีปัญหาต่อครอบครัว
"ถ้าเป็นกระท่อมจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่มีการเปิดกว้าง เพราะการเสพใบกระท่อมจะมีต่อสุขภาพจิตรุนแรงกว่ากัญชา และใบกระท่อมที่ญี่ปุ่นจดสิทธิบัตรเอาพืชไปจากประเทศไทย ไทยได้ผลประโยชน์น้อยมาก เหมือนเราขายใบไม้ ถ้าญี่ปุ่นคิดว่าคุ้มค่า เขาก็ทำ เรื่องสิทธิบัตรน่าจะมีการทักทวง แต่ปัญหาคือ นักวิจัยไทยร่วมมือด้วย ปกติแล้วตามกฎหมาย เวลานักวิจัยทำงานกับชาติไหน ต้องแจ้งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ แต่กฎหมายเหล่านี้ออกมาภายหลัง ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่นักกฎหมาย ต้องมาช่วยหาหนทางแก้ปัญหา"
ในข้อบังคับคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ นักวิจัยต้องขออนุญาติในการนำพันธุ์พืชไปทำวิจัยร่วมกับต่างชาติ แต่นักวิจัยรุ่นใหม่อาจไม่รู้ข้อบังคับเหล่านี้ อาจารย์รุ่งระวี บอกว่า แม้จะทำงานวิจัยกับต่างชาติ นักวิจัยไทยไม่ใช่เจ้าของพืช ประเทศไทยคือ เจ้าของ
"สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ต้องเช็คว่า ประเทศไหนเอาสมุนไพรชนิดไหนของไทยไปบ้าง ถ้าละเลยก็จะเกิดปรากฎการณ์ใหม่ที่มากกว่าสิทธิบัตรกระท่อม ดิฉันเองก็เคยทำงานวิจัยกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผลงานระหว่างญี่ปุ่นและไทย แต่ไม่ได้เอาพืชชนิดนั้นไปให้พวกเขา เมื่อจบงานวิจัย เราก็ไม่ได้ส่งส่วนที่เหลือให้เขาทำต่อ แต่นักวิจัยบางคนไม่ได้มองทางเศรษฐศาสตรฺ์ว่านี่คือ ผลประโยชน์ของประเทศ ส่วนใหญ่คิดแค่ว่า ทำงานวิจัยมีผลงานก็จบ งานวิจัยต้องพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ วิจัยทิ้งๆ ขว้างๆ แบบเดิมไม่ได้แล้ว"
จากประสบการณ์ดังกล่าว อาจารย์รุ่งระวี ให้ความเห็นเรื่องนักวิจัยรุ่นใหม่อีกว่า การทำงานวิจัยร่วมกับต่างชาติ บางคนมองว่า มีผลดีต่อโลกทั้งใบ
"ดิฉันบอกว่า ใช่ส่วนหนึ่ง แต่โลกยังไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันทางเศรษฐศาสตร์ และนี่คือ ทรัพย์สินของชาติเรา"
ถ้าถามถึงอีกมุมคิดของคนทำงานด้านสมุนไพรในเชิงลึก ภญ.ดร.สุภาภรณ์ บอกว่า แม้กระทั่งอเมริกา ก็ไม่ยอมลงนามในสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ และไม่เคารพกฎหมายของโลก
"เพราะความไม่เท่าทันนักวิชาการบ้านเรา ไม่เคารพพรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช ตอนนี้ต่างชาติรุกคืบเข้ามา นี่คือ ต้นไม้ปู่ย่าตายายของเรา แต่เราไม่สามารถพัฒนาต่อยอด และการจดสิทธิบัตรของเขาครอบคลุมเยอะมาก ไทยแทบจะใช้ประโยขน์จากตรงนั้นไม่ได้เลย ถ้าอย่างนั้้นต้องไปสู้กันต่อว่า สิ่งที่เขาคิด สมควรได้สิทธิบัตรไหม เพราะสิ่งที่เขาคิด ไม่ได้ซับซ้อนอะไรทางกระบวนการเคมี
"ทำวิจัยกับต่างชาติต้องระวัง ญี่ปุ่นมีฐานข้อมูลสมุนไพรไทย ทำโดยอาจารย์ไทย แต่บ้านเราไม่มีฐานข้อมูลตรงนี้ เพราะปัญหากฎหมาย และจิตสำนึกของนักวิจัยไทย เราต้องมีระบบเฝ้าระวัง ต้องมีปัญญาที่จะเอาสมุนไพรไทยมาใช้ อย่างประดู่ทุ่ง มีเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า เป็นสมุนไพรรักษาฝ้า เราทำงานกับชาวบ้าน จึงรู้ดี พอจะมาทำเครื่องสำอาง ต้องไปดูฐานข้อมูลสมุนไพรของยุโรป เรามีสมุนไพรดีๆ เยอะ แต่ขาดการจัดระบบฐานของข้อมูลที่ดี ทำให้เราขาดโอกาสการพัฒนา "
...................
สิทธิบัตรกระท่อม
กลุ่มนักวิจัยญี่ปุ่นได้ศึกษาวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยไทย คือ "สิทธิบัตรอนุพันธ์ของสารสกัด Mitragynine จากใบกระท่อม กระบวนการผลิต ยา และการนำไปใช้รักษาโรคในคนและสัตว์"
1- สิทธิบัตรดังกล่าวจะไม่กระทบกับการปลูก การนำใบกระท่อมมาใช้ในรูปแบบใบสด หรือการแปรรูปเบื้องต้น (ตากแห้ง บด ป่น ต้ม เป็นต้น)
2- แต่มีผลกระทบกับสิ่งเหล่านี้คือ
1) การวิจัยเพื่อต่อยอดการใช้สาร Mitragynine มาใช้ประโยชน์ทางยาในรูปแบบต่างๆที่มหาวิทยาลัยชิบะและมหาวิทยาลัยโจไซได้จดสิทธิบัตรไว้ ทั้งตัวสารและกระบวนการผลิตสารกลุ่มดังกล่าว
2) การแปรสภาพใบกระท่อมไปใช้ประโยชน์ซึ่งอาจมีกลุ่มอนุพันธ์ของ Mitragynine ที่ญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรไว้
3- ผลกระทบจะไม่เกิดขึ้นกับเรา หากญี่ปุ่นมิได้จดสิทธิบัตรในประเทศไทย แต่ปัจจุบันญี่ปุ่นกำลังยื่นขอจดสิทธิบัตรดังกล่าวให้มีผลต่อประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกผ่าน PCT
4- แม้สิทธิบัตรนี้ไม่ได้เป็นการจดสิทธิบัตร Mitragynine หรือ 7-hydroxymitragynine โดยตรงแต่เป็นการใช้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยแล้วนำไปต่อยอด ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการและแนวทางที่กฎหมายระหว่างประเทศ "อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ" ได้กำหนดไว้ ได้แก่
- การขออนุญาตเข้าถึง (Prior Informed Consent)
- ความตกลงร่วมกัน (Mutually Agreed Terms)
- การเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม (Access and Benefit Sharing) ฯลฯ
.........................
ข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถี