ก้าวตามฝัน “จันท์” ถึง “สุข”
“เสน่ห์จันท์” เป็นคำนิยามง่ายๆ ถึงเมืองที่ใครๆ ก็หลงรัก
เคยไปที่ไหนซ้ำๆ แล้วไม่รู้สึกเบื่อกันบ้างหรือเปล่า เราเคยนะ
จันทบุรี ชื่อนี้ฟังดูธรรมดาๆ ไม่น่าจะมีอะไรดึงดูดใจมากมาย นอกจากผลไม้กับพลอยเมืองจันท์ บางคนถึงขั้นนึกไม่ออกเลยว่า ที่นี่มีอะไรอีก
แต่สำหรับเรา “จันทบุรี” ไปกี่ครั้งกี่ทีก็มี “อะไร” ให้ค้นหา แถมยังได้ความสุขกลับมาทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกัน
…………..
บนถนนสุขุมวิทที่รถราวิ่งกันขวักไขว่ เราเลือกเลี้ยวขวาที่แยกประแสร์ จากนั้นเลี้ยวซ้ายอีกทีบริเวณสี่แยกไฟแดงเพื่อเข้าสู่ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต หลายครั้งที่มาจันทบุรีเรามักใช้ถนนเส้นนี้ เพราะมีรถไม่มาก แถมวิวข้างทางยังสวยสดชื่นอีกต่างหาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนยกให้ถนนสายนี้เป็นถนน scenic route
หากไม่รีบนัก ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงถือว่ากำลังดี ดีต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย และดีต่อใจที่ได้ชื่นชมธรรมชาติและวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้านที่อยู่สองฝั่งถนน ที่สำคัญไม่ต้องกลัวหลง เพราะจะมีป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของจันทบุรีไปตลอดทาง
หาดคุ้งวิมาน เป็นจุดหมายแรกของเรา หาดแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี เป็นหาดเล็กๆ ที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไร สำหรับคนที่ชอบความสงบ และความเป็นส่วนตัว น่าจะชอบหาดคุ้งวิมานด้วย
เราเห็นชาวบ้านหลายคนกำลังเดินลุยน้ำทะเลตื้นๆ อยู่ แปลกใจว่าทำอะไรจึงเดินเข้าไปถาม “รุนเคยน่ะหนู” ยายคนหนึ่งตะโกนบอก ก่อนจะเดินดุ่มๆ ต่อไปในทะเล
ฤดูหนาวแบบนี้จะมี “เคย” เยอะ ซึ่งชาวบ้านนิยมนำมาหมักกับเกลือเพื่อทำกะปิ หากใครเคยได้ยินชื่อ “กะปิจันทบูร” นั่นแหละ กะปิเคยที่มีชื่อเสียงโด่งดังของคนในย่านนี้เลย จะเอาไปตำน้ำพริกก็ดี หรือผัดกะปิกุ้งสะตอก็อร่อย ราคาไม่แพงมาก ซื้อเป็นของฝากแล้วต้องกลับมาซื้ออีกเรื่อยไป
นอกจากเคยที่มีมากในฤดูนี้ หมึกก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์เศรษฐกิจที่หาได้ในช่วงนี้เช่นกัน ยืนยันได้จากรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่มีหมึกสดๆ แขวนอยู่บนแผง ราคาก็มีตั้งแต่ 3 ตัว 100 ไปจนถึงตัวละ 180 ถามคนแถวนี้เขาว่า หมึกร้าน “เจ๊วา” อร่อยที่สุด ว่าแล้วก็เดินตามหารถเจ๊วา จนมาเจอรถของเจ๊วาจอดย่างหมึกอยู่หน้าโรงแรมเปิดใหม่ดีไซน์เก๋อย่าง เป๊กกี้ โคฟ รีสอร์ท รีสอร์ทน้องใหม่สไตล์หมู่บ้านชาวประมงในยุโรป
แต่ก่อนจะเข้าไปชมความสวยงามในเป๊กกี้ โคฟ เราสั่งลูกสาวเจ๊วาย่างหมึกตัวละ 150 ให้เราก่อน แน่นอน รสชาติที่ได้นั้นสมการการันตีที่ได้รับรู้มาจริงๆ หมึกเนื้อเด้งหนึบหนับ หวานกรอบแบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มก็อร่อย แต่จิ้มหน่อยก็แซบถึงใจเลยทีเดียว
ข้ามถนนจากหาดคุ้งวิมานไปยัง Coffee Cove ร้านกาแฟสไตล์โมเดิร์นสีเหลืองพาสเทลที่ตั้งอยู่ด้านหน้าเป๊กกี้ โคฟ รีสอร์ท สั่งกาแฟเย็นๆ สักแก้วแล้วเราก็เดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงของหาดคุ้งวิมานบนประภาคารที่อยู่ข้างๆ ซึ่งประภาคารนี้เป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจอีกแห่งของที่นี่ นักท่องเที่ยวที่ชอบแชะแล้วแชร์ไม่น่าพลาดจุดนี้ไปได้
ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมขนมอร่อยๆ แล้ว เราออกเดินทางต่อไปยัง เนินนางพญา จุดท่องเที่ยวซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล เพราะเป็นวันหยุดผู้คนเลยค่อนข้างหนาแน่น จะขึ้นไปชมวิวบนเนินนางพญาอาจต้องทำใจกับการเบียดเสียดสักเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะว่าถ้าขึ้นไปยืนอยู่ข้างบนแล้ว จะต้องยิ้มกว้างให้กับวิวสวยๆ จนลืมอารมณ์เสียที่ต้องเบียดเสียดผู้คนไปเลย
เมื่อก่อนบริเวณนี้มีป่าหญ้ารกครึ้ม แต่พอได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ และได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน Dream Destinations ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงมีการปรับปรุงพื้นที่ให้สะดวกสบาย และสามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ แถมมีเลนจักรยานที่เชื่อมต่อกับถนนเฉลิมบูรพาชลทิตด้วย
ชมวิวพอหอมปากหอมคอ เราขับรถต่อไปอีกนิดเดียวก็ถึง บ้านหัวแหลม ชุมชนชาวประมงที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้มานานหลายชั่วอายุคน จุดตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณปลายแหลมของอ่าวคุ้งกระเบน ตรงข้ามกับแหลมเสด็จ จึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า บ้านหัวแหลม
เราลงเรือท่องเที่ยวที่บริเวณนี้ ลุงคนขับเรือบอกว่า ปกติก็ออกเรือทำประมง แต่ถ้ามีนักท่องเที่ยวมาก็จะพาไปชมหมู่บ้าน ชมเจดีย์บ้านหัวแหลมที่ตั้งอยู่กลางน้ำ และขึ้นไปให้อาหารปลาที่บริเวณกระชังเลี้ยงปลาภายใน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ทันทีที่เรือออกจากท่า เราเห็นแนวป่าโกงกางหนาแน่นมากอยู่ติดฝั่งแผ่นดิน ลุงคนขับเรือบอกว่า นั่นล่ะ ป่าของในหลวง ลุงว่า ตั้งแต่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้พัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนเป็นต้นมา จากนากุ้งที่เคยรกร้างก็กลายเป็นป่า และเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตมากมาย
ที่นี่มีสะพานไม้ที่ทอดยาวไปในป่าชายเลน นักท่องเที่ยวสามารถมาเดินชมความสวยงามของป่าธรรมชาติได้ หรือใครชอบดูนกก็มีนกให้ดูหลายประเภท จะเดินดูธรรมดาๆ หรือว่าปีนบันไดขึ้นไปดูนกบนหอดูนกภายในศูนย์ก็ได้ แต่สำหรับเรา ครั้งนี้ลุงพามาให้อาหารปลาที่ถูกเลี้ยงไว้ในกระชัง มีปลาหลายชนิดทั้งปลาค้างคาว ปลามงตาโต ปลาช่อนทะเล เต่าทะเล และฉลาม ซึ่งตัวหลังสุดดูจะได้รับความนิยมมาก สังเกตได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปยืนออกันอยู่ตรงนั้น พร้อมกับโยนหัวปลาสดที่เป็นอาหารฉลามลงไป แต่ก็ดูเหมือนฉลามจะอิ่มแล้ว เลยไม่ยอมโผล่ขึ้นมาให้พวกเราได้ยลโฉมกันเลย
ก่อนจะเย็นย่ำเกินไป ลุงบอกว่าต้องพากลับแล้ว เราจึงนั่งเรือกลับไปยังท่าเรือที่บ้านหัวแหลม ฝนตั้งเค้ามาไกลๆ แต่ไม่ยักกะตก และไม่ร้อนอบอ้าว จะมีก็แต่ลมเย็นๆ ที่พัดพาเอาความสดชื่นเข้ามา คืนนั้นเราจึงนอนหลับสบายภายในเป๊กกี้ โคฟ บนหาดคุ้งวิมาน
……………….
จบอาหารเช้าภายในที่พักแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ วันนี้ใจอยากเข้าเมือง เพราะอยากไปเดินเล่นเย็นๆ แถวชุมชนริมน้ำจันทบูร พอใจอยากไป ร่างกายก็เลยต้องไปตาม แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นเราแวะสักการะศาลหลักเมืองและศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกันก่อน
ศาลหลักเมืองจังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่บริเวณหน้าค่ายตากสิน อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ศาลหลักเมืองนี้ไม่ปรากฏว่าสร้างตั้งแต่เมื่อใด แต่สันนิษฐานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างขึ้นเมื่อครั้งเสด็จฯ มายังเมืองจันทบุรี เพื่อรวบรวมไพร่พลและเสบียงอาหาร ก่อนยกทัพกลับไปกอบกู้กรุงศรีอยุธยา จึงไม่แปลกที่บริเวณใกล้เคียงกันจะมี ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่ ซึ่งศาลหลักเมืองนั้นมีลักษณะเป็นอาคารทรงไทยแบบจตุรมุข ก่ออิฐถือปูน มีช่อฟ้าใบระกา และมีปรางค์ที่ด้านบน รอบๆ นั้นก็มีการสร้างศาลขนาดเล็กสไตล์จีนไว้ด้วย ส่วนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นศาลรูปทรงพระมาลา(หมวก) ประดิษฐานองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ภายใน
ตอนแรกนึกว่าแดดแรงๆ ยามสายแบบนี้จะร้อนเอาเรื่อง แต่โชคดีที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เยอะ ทำให้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย เลยเดินเล่นได้นานแบบไม่มีเบื่อ
เราออกจากศาลมาก่อนเที่ยงเล็กน้อย ท้องเริ่มร้อง เลยต้องแวะไปเติมพลังกันก่อนที่ ร้านจันทรโภชนา ร้านอาหารเก่าแก่ของเมืองจันท์ ปัจจุบันมี 2 สาขา เราเลือกใช้บริการสาขาแรก เพราะอยู่ใกล้กับชุมชนริมน้ำจันทบูรที่จะไปเดินเล่นพอดี อิ่มสบายๆ แล้วจะได้เดินชมบ้านเรือนอย่างสะดวก
ว่ากันเรื่องของการกินก่อน มาเมืองจันท์อาหารขึ้นชื่อคงหนีไม่พ้น “หมูชะมวง” รสเด็ด แน่นอนว่าเราไม่พลาดสั่งเมนูนี้ แต่ถ้ามาจันทบุรีแล้วมีโอกาสมาร้านจันทรโภชนาด้วยแล้วละก็ “ลอมาจู” คือเมนูเด็ดที่แนะนำว่าต้องลอง เพราะเป็นเมนูแปลกที่เราเองไม่เคยกินที่ไหน มาได้ชิมที่นี่ครั้งแรกแล้วติดใจ เพราะรสชาติออกเปรี้ยวอมหวานคล้ายต้มส้มบ้านเรา
เจ้าของร้านบอกว่า ลอมาจูเป็นอาหารดั้งเดิมของชาวเวียดนาม แต่ทางร้านนำมาปรับปรุงสูตรใหม่ให้เข้ากับคนไทย ใส่เนื้อปลา มะเขือเทศ สับปะรด และกะปิเข้าไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขามเปียก พริกแห้ง กระเทียมเจียว เคี่ยวจนได้ที่จึงยกเสิร์ฟ อร่อยจนต้องร้องหาสูตรกันเลยทีเดียว
หลังอิ่มหนำแถมได้ความรู้ใหม่ๆ แล้ว เราเดินลัดหลังร้านจันทรโภชนาผ่านโรงแรมท่ามาจันแล้วจึงเลี้ยวขวาเข้าสู่ชุมชนริมน้ำจันทบูร
ชุมชนริมน้ำจันทบูร เป็นชุมชมเก่าแก่ที่ชาวจีนและชาวญวน(เวียดนาม)อพยพเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ลักษณะบ้านเรือนในย่านนี้เป็นห้องแถวไม้เก่าแก่ มีการแกะสลัก หรือการฉลุลวดลายที่สวยงาม บางบ้านเปิดเป็นร้านค้าเล็กๆ บางบ้านก็ยังอยู่อาศัยกันแบบเรียบง่าย หลายบ้านเปิดให้เช่าทำกิจการ และก็มีบางบ้านที่ประตูด้านหน้าปิดสนิทมานาน
ย่านเก่าแถบนี้เคยเป็นท่าการค้าที่คึกคัก โดยในอดีตจะเรียกว่า ตลาดท่าหลวง ชาวบ้านจะนำสินค้าล่องเรือในลำน้ำจันทบุรีมาขึ้นที่ท่านี้แล้วค้าขายกันจนกลายเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของเมืองจันทบุรีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พอการค้าดีก็เริ่มมีคนต่างถิ่นเข้ามาอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นชาวแขก ชาวกุหล่า พม่า และมีพ่อค้าพลอยมาทำการค้าด้วย ย่านการค้าต่างๆ จึงค่อยๆ ย้ายจากตลาดท่าหลวงมาอยู่บริเวณตลาดน้ำพุ บทบาทของชุมชนย่านท่าหลวงก็ค่อยๆ ถูกลดระดับลงจนหลายคนเกือบหลงลืมไป
กระทั่งมีการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยฟื้นชุมชน ทำให้ย่านท่าหลวงกลับมามีความคึกคักอีกครั้ง แม้ชาวบ้านจะบอกว่า แถบนี้ไม่มีอะไรให้ดู แต่เมื่อเราได้เดินชมแล้วก็พบว่ามีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ ไล่ไปตั้งแต่ประตูบ้าน หน้าต่าง จนถึงเชิงชายคาที่ฉลุลวดลายงดงาม เป็นสถาปัตยกรรมที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โน่นเลยทีเดียว ซึ่งความสวยงามนี้เองส่งผลให้ชุมชนริมน้ำจันทบูรได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2558 โดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
แต่ถ้าอยากเห็นอดีตเมืองจันท์แนะนำให้แวะเข้าไปที่“บ้านหลวงราชไมตรี” หรือที่ “บ้าน 69” จะมีของเก่า ภาพโบราณ และเรื่องเล่าขานที่ชวนให้เห็นภาพในอดีตของเมืองจันท์ได้อย่างชัดเจน
ไม่เพียงแค่บ้านสวยๆ ลวดลายงามๆ เท่านั้น แต่น้ำมิตรน้ำใจของผู้คนในชุมชนยังชวนให้เรายิ้มกันหน้าบานได้ตลอดทางเลยจริงๆ ที่สำคัญ ยังได้ขนมกลับบ้านกันอีกเต็มมือ โดยเฉพาะขนมไข่ ที่ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ แต่ถ้าจะให้ดีต้องเป็น “ขนมไข่ป้าไต๊” ที่ขายอยู่ในบ้านขุนบูรพาภิผลด้วยจะยิ่งเพิ่มความอร่อย เพราะขายมาเนิ่นนาน แถมอยู่ในบ้านทรงยุโรปโบราณที่เคยเป็นทั้งบ้านและโรงพิมพ์เก่าแก่ ยิ่งดูคลาสสิค สมกับเป็นขนมโบราณในชุมชนโบราณจริงๆ
นอกจากร้านรวงต่างๆ เราพบว่าตามกำแพงบ้าน หรือกำแพงร้างหลายๆ จุด มีผลงานกราฟิตี้ที่น่ารักแทรกซ่อนอยู่ด้วย แน่นอนว่า ต้องเป็นจุดแชะแล้วแชร์ของเหล่าบรรดาโซเชียลเลิฟเวอร์ทั้งหลายด้วยแน่ๆ
เราเดินผ่านไปเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณสะพานนิรมลที่จะข้ามไปยัง อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล โบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิกที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในประเทศ และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี 2542 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ด้วย
โบสถ์คริสต์แห่งนี้สร้างขึ้นพร้อมๆ กับที่ชาวญวน(เวียดนาม)อพยพมาอยู่เมืองจันท์ในคราวแรกๆ การเดินชมภายในควรใช้ความสำรวม และก็เหมือนศาสนสถานทั่วไป คือการแต่งกายต้องสุภาพ ห้ามนุ่งสั้น เปิดไหล่ เอวลอย เด็ดขาด
เรามาที่นี่หลายครั้ง ทุกครั้งรู้สึกอิ่มใจไม่เคยเบื่อ ยิ่งเมื่อได้นั่งมองความงดงามขององค์แม่พระที่ประดับองค์ด้วยทองคำบริสุทธิ์ เงินบริสุทธิ์ และพลอยบริสุทธิ์ ส่งแสงระยิบระยับเมื่อต้องแสงไฟ มองทีไรก็สุขใจทุกที
ความเงียบภายในโบสถ์ทำให้จิตใจค่อนข้างสงบ เรามีเวลาอยู่ในนี้นานพอควร นานพอที่จะได้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรในสิ่งที่เป็นไปได้ แล้วนั่งสงบกายใจอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ จนได้เวลาจึงค่อยๆ เดินออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง
…………………..
จันทบุรี เป็นเมืองที่ไปแล้วไปอีกได้อีกหลายๆ ครั้ง แม้จะเป็นที่ซ้ำๆ แต่ความรู้สึกไม่ซ้ำ แถมประสบการณ์ยังเพิ่มขึ้นทุกที แบบนี้จะให้เราลืม “เสน่ห์จันท์” เมืองนี้ไปได้อย่างไร
…………..........
การเดินทาง
จันทบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร สามารถเดินทางได้หลายวิธี แต่ถ้าจะให้สนุกน่าจะขับรถไปเอง
การเดินทางโดยรถยนต์ไปได้หลายเส้นทาง อย่างน้อยๆ 5 เส้นทาง แต่ที่แนะนำคือ ให้ใช้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 หรือถนนมอเตอร์เวย์ วิ่งไปเรื่อยๆ จนถึงอำเภอเมือง ชลบุรี จากนั้นแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 344 (ชลบุรี-แกลง) ผ่านอำเภอบ้านบึง อำเภอวังจันทร์ อำเภอแกลง จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3 จนถึงจังหวัดจันทบุรี
แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้เลี้ยวขวาตั้งแต่แยกประแสร์ แล้ววิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยกไฟแดงแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต หรือถนนสาย scenic route ที่ได้ชื่อว่าสวยสดงดงาม วิ่งตามป้าย “หาดคุ้งวิมาน” หรือหาดที่ต้องการไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ