A PRAYER BEFORE DAWN  มวยไทยในคุก บุกเมืองคานส์

A PRAYER BEFORE DAWN  มวยไทยในคุก บุกเมืองคานส์

ตามไปทำความรู้จักภาพยนตร์ A Prayer Before Dawn ที่ว่าด้วยเรื่องราวมวยไทยในคุก กับการร่วมฉายรอบ Midnight Gala Screening ณ โรงใหญ่ Grand Theatre Lumiere ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 70

สำหรับเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 70 ประจำปี ค.ศ. 2017 นี้ ก็มีหนังที่ถ่ายทำที่ประเทศไทยและใช้นักแสดงไทยร่วมแสดงด้วยหนึ่งเรื่อง นั่นคือ A Prayer Before Dawn ของผู้กำกับฝรั่งเศส Jean-Stephane Sauvaire ซึ่งได้ร่วมฉายในรอบ Midnight Gala Screening ณ โรงใหญ่ Grand Theatre Lumiere พร้อมการเดินพรมแดง

หนังเรื่องนี้ เป็นการดัดแปลงจากหนังสือบันทึกประสบการณ์จริงของ Billy Moore หนุ่มชาวอังกฤษที่ต้องคดีค้ายาเสพติดที่เมืองไทย และต้องไปใช้ชีวิตในทัณฑสถานทั้งที่เชียงใหม่และกรุงเทพฯ อันจะเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่รู้ลืมเลยทีเดียว หลังจากพ้นโทษและกลับไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศอังกฤษ Billy Moore ก็ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ A Prayer Before Dawn เมื่อปี ค.ศ. 2014 และกลายเป็นหนังสือขายดีที่ถูกดัดแปลงออกมาเป็นหนังในที่สุด

A Prayer Before Dawn เขียนบทโดย Jonathan Hirschbein ร่วมกับ Nick Saltrese และได้ผู้กำกับสายโหด Jean-Stephane Sauvaire รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ แต่จากตัวหนังสือที่ Billy Moore ได้บรรยายเล่าชะตาชีวิตของเขาตั้งแต่ก่อนหน้า ระหว่าง และหลังต้องโทษที่เมืองไทย รวมถึงประสบการณ์ในการฝึกทักษะมวยไทยของเขาในคุก ในฉบับหนังนี้ผู้กำกับ Jean-Stephane Sauvaire เลือกนำเสนอเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านมุมมองของพระเอกซึ่งก็คือ Billy Moore เองเป็นหลักโดยไม่ได้ถ่ายทอดรายละเอียดการใช้ชีวิตในเรือนจำของเขามากเท่าในหนังสือ

A PRAYER BEFORE DAWN  มวยไทยในคุก บุกเมืองคานส์

น่าสังเกตว่ามีอยู่หลายช่วงที่ตัวละครพูดจาข่มขู่เสียงดังเป็นภาษาไทยแต่ผู้กำกับก็เลือกที่จะไม่ใส่คำบรรยายเพื่อให้ผู้ชมที่ไม่เข้าใจภาษาไทยไม่ทราบว่าตัวละครกำลังพูดอะไรอย่างจงใจ

ซึ่งก็น่าจะส่งผลให้ผู้ชมสามารถสัมผัสถึงความอึดอัดของ Billy Moore ก็การถูกกักขังในต่างแดนได้อย่างทรงพลังมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่รู้เลยว่าเพื่อนนักโทษในเรือนจำกำลังสื่อสารอะไรกัน ความน่ากลัวของสภาพคุกในเมืองไทยในหนังจึงไม่เพียงแต่จะปรากฏผ่านภาพความโกโรโกโสไร้อนามัยไม่ว่าจะประการใดของตัวคุกแต่ละแห่งเท่านั้น แต่ยังนำเสนอผ่านรูปร่างหน้าตาและอากัปกิริยาของเหล่านักโทษทั้งหลายที่สักลายจนพร้อยกันไปทั้งตัวไม่เว้นแม้แต่ส่วนหน้าตา กับอาการเบ่งกร่างยืดผยองเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสถานที่กันอย่างเต็มเหนี่ยวไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนกันเลยทีเดียว

สำหรับการฉายในรอบ Midnight ที่เทศกาลคานส์ในครั้งนี้ก็นับเป็นมิติใหม่ของการเดินพรมแดงของคนไทยที่ไม่ได้มีเฉพาะดารานางแบบสาวสวยมาอวดโฉมกันในชุดหรูจากการสนับสนุนของ sponsor เท่านั้น แต่การเดินพรมแดงในรอบกาล่าของ A Prayer Before Dawn เป็นการเดินอย่างเป็นทางการของผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างผลงาน ซึ่งผู้ที่ได้รับเกียรติมาร่วมย่ำเท้าบนพรมแดงของการฉายในคืนวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 นั้น นอกจากผู้กำกับและ Billy Moore ตัวจริงกับ Joe Cole นักแสดงหนุ่มที่มารับบทแล้ว ก็ยังมีนักแสดงไทยคุณ วิทยา ปานศรีงาม ซึ่งเคยย่ำพรมแดงแห่งนี้มาแล้วเมื่อครั้งหนังเรื่อง Only God Forgives ได้ร่วมประกวดเมื่อปี ค.ศ. 2013 มีคุณเก่ง ลายพราง นักแสดงที่มีรอยสักทั่วร่างกาย และที่ขาดไม่ได้ก็คือคุณพรชนก มาบกลาง สาวประเภทสองในชุดไทยที่สวยหยดย้อยเสียจนหลาย ๆ คนเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงจริง ๆ เลยทีเดียว

นอกเหนือจาก A Prayer Before Dawn แล้ว เทศกาลคานส์ปีนี้ยังมีหนังที่เล่าเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหนึ่งเรื่องนั่นคือสารคดีชื่อ The Venerable W. ของผู้กำกับ Barbet Schroeder ในสาย Special Screening

 The Venerable W. เป็นสารคดีที่ตีแผ่กรณีอื้อฉาวของพระวิระธู สงฆ์ชาตินิยมผู้ก่อสงครามกับชาวมุสลิมในประเทศพม่า ซึ่งถึงแม้ว่าศรัทธาและความเชื่อของพระวีระธูจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแง่โจมตีไว้มาก แต่น้ำเสียงการนำเสนอของผู้กำกับ Barbet Schroeder ก็มีท่าทีที่เป็นกลางโดยไม่ตัดสิน แต่จะไล่เรียงให้ข้อมูลกับผู้ชมว่าเกิดเหตุการณ์อะไร มีการสัมภาษณ์พระวิระธูว่าคิดอ่านต่อประเด็นต่าง ๆ อย่างไร แล้วปล่อยให้ผู้ชมเป็นผู้ใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองแบบวิถีพุทธ ซึ่งก็นับเป็นตัวอย่างการเล่าเชิงสารคดีที่ดูมีวุฒิภาวะดีไม่มีท่าทีล้างสมองเหมือนอย่างที่มักจะเห็นกันในสารคดีเน้นประเด็นร้อนลักษณะนี้

มาที่หนังสายประกวดของเทศกาลกันบ้าง นอกเหนือจากหนังประกวดชุดแรกที่ได้รายงานให้ทราบกันไปแล้ว หนังประกวดในช่วงกลางเทศกาลก็ยังคงหลากหลายทั้งทางด้านเนื้อหา สัญชาติ รวมถึงคุณภาพงาน

น่าสังเกตว่าคานส์ปีนี้จะเอาใจผู้พิการด้านต่าง ๆ เป็นพิเศษ เพราะนอกจากหนังประกวดเรื่อง Wonderstruck ที่เอาใจคอหนังผู้พิการทางการได้ยินแล้ว หนังประกวดจากญี่ปุ่นเรื่อง Radiance ของผู้กำกับหญิง Naomi Kawase ก็เล่าถึงเบื้องหลังการจัดทำเสียงบรรยายพิเศษประกอบหนังสำหรับผู้ชมผู้พิการทางสายตา เพื่อให้สามารถรับทราบได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในหนังที่กำลังฉาย โดยจับเรื่องราวไปที่หญิงสาวที่รับทำหน้าที่เขียนคำบรรยายเหล่านี้ กับตากล้องหนุ่มใหญ่ผู้พิการทางการมองเห็นซึ่งกำลังจะสูญเสียประสาทส่วนนี้อย่างสมบูรณ์ หนังเล่ารายละเอียดของงานการเขียนคำบรรยายนี้ได้ละเอียดดี ไล่ไปถึงการแอบใส่การตีความส่วนตัวของผู้บรรยายที่อาจทำลายอรรถรสในการชมของผู้ชมได้ แต่เนื้อหาที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวละครชาย-หญิง อาจจะดูหวานจนเกินไปทำให้หนังไม่ค่อยได้รับเสียงชื่นชมนัก

และหลังจากหนังประกวดจากค่าย Netflix เรื่องแรกคือ Okja ฉายไป สองวันถัดมาก็เป็นคราวของหนัง Netflix อีกเรื่องนั่นคือ The Meyerowitz Stories (New and Selected) ของผู้กำกับ Noah Baumbach เกี่ยวกับเรื่องราววุ่น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นกับครอบครัวของศิลปินประติมากรวัยเกษียณซึ่งรับบทโดย Dustin Hoffman กับบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ กลายเป็นงานตลกชวนหัวที่ขนดาราดัง ๆ มาร่วมเดินบนพรมแดงได้คับคั่งไม่ว่าจะเป็น Adam Sandler, Ben Stiller, Elizabeth Marvel และ Emma Thompson

The Meyerowitz Stories (New and Selected)

หนังเล่าเรื่องราวขื่นปนฮาของสมาชิกในครอบครัวศิลปินนี้ก็อาจจะยังมีจริตของหนังฉายทางทีวีอยู่พอสมควร ทำให้การพาดพิงถึงประเด็นต่าง ๆ ยังไม่หนักแน่นและจริงจังอย่างที่ควรเป็น แต่หนังประกวดอีกเรื่องที่จิกกัดมายาของโลกศิลปะได้เฉียบคมมากกว่าก็คือเรื่อง The Square ของ Ruben Ostlund จากสวีเดน ที่เล่าเรื่องราวยุ่งเหยิงทั้งในเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวของผู้จัดการ gallery ศิลปะหนุ่มใหญ่ ซึ่งเนื้อหาของมันก็แดกดันความหน้าไหว้หลังหลอกของวงการศิลปะร่วมสมัยได้สุดแสบชวนสะใจ ลามไปถึงคำถามสำคัญว่าไม่ว่าอะไรก็สามารถเป็นงานศิลปะได้ เพียงแต่เราจะนำมันมาวางไว้ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ซึ่งก็เป็นมุกตลกที่เรียกทั้งเสียงหัวเราะและเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ทั้งหลายที่คานส์ได้อย่างดีเลยทีเดียว

ส่วนหนังประกวดที่เป็นตัวแทนจากฝรั่งเศสเองในปีนี้ ก็เป็นงานที่เล่าถึงประวัติชีวิตของศิลปินดังถึงสองเรื่อง นั่นก็คือ Rodin ที่เล่าประวัติการทำงานของประติมากร Auguste Rodin ของผู้กำกับ Jacques Doillon ซึ่งตัวหนังเองก็อาจจะเชื่องช้าและอาร์ตจ๋าเสียจนเข้าใจยากกว่าทรรศนะทางศิลปะของ Rodin เองเสียด้วยซ้ำ ทำให้กลายเป็นหนังประกวดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดถึงวิธีการเล่าอันแหวกขนบไม่แคร์ใครของมัน และอาจเป็นงานที่รางวัลได้ยากสักหน่อย

ส่วนอีกเรื่องคือ Redoutable ผลงานการกำกับของผู้กำกับ Michel Hazanavicius ซึ่งเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานของผู้กำกับ New Wave รุ่นเดอะอย่าง Jean-Luc Godard ขณะกำลังถ่ายทำหนังเรื่อง La chinoise (1967) และได้ Louis Garrel กับ Stacy Martin มารับบทเป็น Jean-Luc Godard และ Anne Wiazemsky ตามลำดับ ซึ่งเมื่อมองจากงานเสื้อผ้าหน้าผมแล้วต้องขอชมเลยว่าสามารถรังสรรค์ตัวละครออกมาได้คล้ายมากจริง ๆ โดยเฉพาะ Louis Garrel ที่ยอมลงทุนกลายเป็นพ่อหนุ่มเถิกเสน่ห์ไม่ผิดกับ Godard ตัวจริงในยุคนั้นเลย แต่ในส่วนของเนื้อหาก็เห็นได้ว่าตัวบทมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ฉันคนรักระหว่าง Godard กับ Wiazemsky มากกว่าจะตีแผ่เบื้องหลังความคิดการทำงานของพวกเขาอย่างจริงจัง หนังเลยอ่อนจะหวานและแหววจนยากจะเชื่อได้ว่าทั้งคู่จะเคยมี moment ที่หยาดเยิ้มขนาดนั้นกันจริง ๆ 

สำหรับคอหนังสายโหดสายประกวดคานส์ปีนี้ก็ยังมี Happy End กับ The Killing of a Sacred Deer ให้ได้ชมกัน

สำหรับเรื่องแรก Happy End ผลงานของ Michael Hanake ก็เป็นการเล่นกับเทคโนโลยีร่วมสมัย อาทิ การใช้กล้องจากโทรศัพท์ smartphone และการใช้โปรแกรมแชทต่าง ๆ มาตีแผ่ภาวะทางจิตวิทยาของตัวละครร่วมสมัย อันนำไปสู่ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย แต่แฟน ๆ ของผู้กำกับ Michael Haneke หลาย ๆ รายก็โอดครวญว่าหนังเรื่องนี้แทบไม่มีอะไรใหม่ ๆ เพราะเขาก็ได้เคยเล่าเอาไว้ในผลงานเก่า ๆ อย่าง The Seventh Continent (1989) Benny’s Video (1992) Funny Games (1997) และ Hidden (2005) ไว้หมดแล้ว

Happy End

เรื่องที่หนักและหม่นมืดมากกว่าจึงกลายเป็น The Killing of a Sacred Deer ของผู้กำกับกรีก Yorgos Lanthimos ซึ่งหลาย ๆ คนคงเคยหลอนกันมาแล้วกับเรื่อง Dogtooth (2009) มาคราวนี้เขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของศัลยแพทย์หนุ่มใหญ่ ซึ่งรับบทโดย Colin Farrell ที่กำลังถูกเด็กหนุ่มสุดเนิร์ดที่อยากจะเรียนหมอมาคุกคามชีวิตด้วยการใช้สูตรยาพิษมหัศจรรย์ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นกลเม็ดทางการแพทย์หรือเป็นการเล่นคุณไสย์กันแน่มาทำให้ลูกชายและลูกสาวของเขาไม่สามารถขยับขาเดินไปไหนมาไหนได้ ก่อนจะค่อย ๆ ทำลายอวัยวะภายในอย่างช้า ๆ

หนังเดินหน้าเล่าเรื่องได้อยากสนุกเข้มข้นชวนติดตาม ค่อย ๆ เผยปมหลังของตัวละครที่นำมาสู่สถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด นับเป็นหนังเขย่าขวัญที่เข้มข้นครบรสมากอีกเรื่องหนึ่งซึ่งก็น่าจะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลในปีนี้ไปได้ไม่รางวัลใดก็รางวัลหนึ่ง