ธรรมะ มะเร็ง ความตาย แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต
ป่วยเป็นมะเร็ง และสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วท่านเยียวยาตัวเองอย่างไร ลองหาคำตอบ...
................................
เหตุใด แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต (เสถียรธรรมสถาน) จึงออกมาแถลงข่าวอาการป่วยเป็นมะเร็ง เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ท่านตั้งใจว่า จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เมื่อตรวจพบว่า เป็นมะเร็งตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 โดยมีคนสนิทสองคนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
แต่การเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ทำให้เรื่องนี้ไม่อาจปกปิดได้
“สองเดือนแรกที่เป็นมะเร็ง ไม่มีใครรู้จากปากเราเลย คนในเสถียรธรรมสถานก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้นเรากำลังทำงานใหญ่ เริ่มสร้างธรรมาศรม ชุมชนการใช้ชีวิตโดยใช้ธรรมะ ธรรมชาติ และการพึ่งตนเอง ถ้าคนไม่เชื่อมั่นในตัวเรา ก็จะมีผลต่อการปฎิบัติงาน" แม่ชีกล่าว
และล่าสุดวันที่ 9 ธันวาคม 2560 แม่ชีศันสนีย์สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คือ เสถียร เสถียรสุต ผู้ร่วมก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน
“ตอนนี้จึงเป็นทั้งผู้เยียวยา ผู้ป่วย และผู้สูญเสีย (เพิ่งสูญเสียคุณเสถียร ) เรื่องนี้มันบังเอิญไหม เราทำกุศลได้เลย"
ถ้าอย่างนั้น นักบวชที่ปฎิบัติธรรมมานานกว่า 37 ปี มีวิธีเยียวยาตัวเอง และใช้การป่วยและการสูญเสียคนในครอบครัว เยียวยาคนอื่นอย่างไร
วันที่พูดคุยกับท่าน ( 13 ธันวาคม 2560 )เซลล์มะเร็งจาก 10 เซนติเมตร เหลือ 1 เซนติเมตรกว่าๆ ท่านทำได้อย่างไร
“มีเด็กสาวคนหนึ่งพอรู้ว่า เราเป็นมะเร็ง วันรุ่งขึ้นมาที่เสถียรธรรมสถาน เธอบอกว่า คีโมจนอ้วกแตก แค่นึกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำคีโม ก็อ้วกแล้ว เราสองคนคุยกันแบบคนไข้ จนพบว่า จริงๆ แล้วเธอไม่ได้กลัวมะเร็ง แต่กลัวคีโม
ตอนนั้นแม่ของเธอบอกว่า “ถ้าไม่คีโมต่อ ให้ทำใจไว้นะ”
เราก็บอกว่า”โหดร้ายเกินไป เพราะลูกสาวเพิ่งอายุ 23 ยังสวยพริ้ง” เราก็ช่วยเยียวยาจนหน้ากลับมาเด้งเหมือนเดิม เพราะใจอย่างเดียว อย่าไปกลัว”
เหตุใดท่านจึงออกมาแถลงข่าวเรื่องการป่วยเป็นมะเร็ง
ตั้งใจจะแถลงข่าวงาน “อยู่อย่างมีความหมาย ตายอย่างมีคุณค่า” แต่สื่อฯกลับให้ความสนใจการเป็นมะเร็งของข้าพเจ้า เป็นวันที่สื่อฯมาเยอะเป็นประวัติการณ์ นึกไม่ถึงว่าคนจะสนใจที่เราเป็นมะเร็งมากขนาดนี้
ตอนนั้นก็อื้ออึง แต่ก็ต้องใช้ปัญญา ถ้าการเป็นมะเร็งของเราจะเป็นประโยชน์ ให้กำลังใจคนป่วยลุกขึ้นมาอ่อนโยนกับการเจ็บป่วยของตัวเองได้ น่าจะเป็นปัญญาที่สูง ดังนั้นทุกข้อความที่เราสื่อสารคือ การให้กำลังใจผู้ป่วย และญาติผู้ป่วย
ในวันนั้นเราบอกว่า เราเป็นนักบวช ไม่ใช่ดารา เดินลงมา เราก็นำกราบพระ ตอนนั้นพิธีกรถามตรงๆ เลยว่า เป็นมะเร็งแล้วมีทางออกยังไงบ้าง
ท่านเป็นมะเร็งตั้งแต่เมื่อไหร่
ตลอดเดือนเมษายน 2560 เราเจ็บที่ซี่โครงตลอด ความเจ็บรุนแรงขึ้น มีสัญญาณเตือนแล้วว่าไม่ปกติ ตอนแรกก็คิดว่า เพราะลากสายยางรดน้ำต้นไม้ เกร็งกล้ามเนื้อทำให้จุกเสียด แต่ไม่หายเหมือนทุกครั้ง จนวันหนึ่งไปพูด เพื่อเยียวยาคนที่ร้านขนมในจังหวัดเพชรบุรี
ตอนพูดที่นั่นก็เจ็บปวดท้อง พูดเสร็จไปโรงพยาบาลเลย ตอนนั้นหมอบอกว่า ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ส่องกล้องเสร็จกลับได้ แต่หมอพบก้อนเนื้อในกระเพาะ จากนั้น CTScan (Computerized TomographyScan-ตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์)พบว่า มีก้อนเนื้อใหญ่สิบเซนติเมตรสองก้อนนอกกระเพาะอาหาร และแตกกระจาย หลังจากกลับจากโรงพยาบาล หมอยังไม่บอกว่าเป็นมะเร็ง แต่เราเปลี่ยนพฤติกรรมเลย ใช้ธรรมชาติบำบัดรักษาตัว
ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นมะเร็ง ?
รู้แค่ว่า อาการไม่ธรรมดา เพราะทำงานหนักไม่ได้คิดถึงร่างกาย แทนที่จะตกใจก็กลับมาอ่อนโยนกับร่างกายมากขึ้น ภาวนาเยอะขึ้น เพื่อเยียวยาตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ผล จากนั้น 7 วันหมอให้ไปฟังผล ตอนนั้นอธิษฐานจิตว่า ถ้าเราจะเป็นโรคอะไร ก็เป็นเถอะ
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งท่านกลัวไหม
ไม่ได้มีความกลัวว่า จะเป็นอะไร แต่มีความสงสัยว่า โรคที่เป็น เราจะเยียวยาหาทางออกยังไง ถ้าจะบอกว่า เรารู้ก่อนที่หมอจะบอกว่าเป็นมะเร็ง คุณจะเชื่อไหม เราสงสัยอยู่ แต่เราก็ต้องฟังหมอ
ตอนนั้นจิตใจหวั่นไหวแค่ไหน
ความไหวของจิต มันมีนะ แต่สั้นมาก เพราะเตรียมตัวไว้ เราสอนเรื่องพวกนี้คนป่วย เราจะไม่ปล่อยให้จิตนำกาย แล้วคิดต่อว่าจะเป็นยังไง เราเปลี่ยนจิตเลยว่า ไม่ว่าจะเป็นอะไร สิ่งนี้ต้องเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
เมื่อเป็นโรคร้าย ท่านเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
หลังจากหมอบอกว่า เราเป็นมะเร็ง เราต้องเรียนรู้กับมัน เรามีสองอย่างตอนนั้น คือ กิน นอน กิน นอน เพื่อจะสื่อสารกับร่างกาย ทำสิ่งที่เป็นกุศลให้มากที่สุด ความกลัวไม่เป็นกุศล ความกลัวจะทำให้เราแย่ เราก็ต้องกินช้าลง เคี้ยวอาหารละเอียดขึ้น เลือกกินเฉพาะผลไม้สดๆ ที่มีพลัง ก็ทำให้อาการเจ็บน้อยลง และลดเนื้อสัตว์ ปกติก็กินแต่ปลา ไม่ทานสัตว์ใหญ่ ทันทีที่ส่องกล้อง พบว่าเป็นแผลมีเลือดซึม เราลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหารทันที
สาเหตุที่ทำให้ป่วย ท่านคิดว่ามาจากอะไร
อาจมาจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด บางทีเวลาฉันอาหารแค่สิบห้านาที ทำให้ต้องรีบเคี้ยวๆ แล้วกลืน เพราะมีช่วงสอนธรรมะหลายเวลา
ท่านไม่ใช้การรักษาแบบเคมีบำบัด ?
หมอบอกว่า เซลล์มะเร็งกระจายเต็มหน้าท้อง ผ่าตอนนี้ไม่ได้จะเบียดซี่โครง ต้องทดลองใช้ยายับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ใช้วิธีการรักษาแบบไหนบ้าง
รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน กินยามื้อเดียว ทรมานมาก อาเจียน เราฝึกจิตมาเยอะก็พยายามควบคุมการแพ้ยา จากเซลล์มะเร็ง 10 เซนติเมตร เหลือ 3 เซนติเมตร ควบกับแนวธรรมชาติบำบัด ตอนแรกทานผลไม้อย่างเดียว ก็เพิ่มผัก ไม่กินเนื้อสัตว์เลย ส่วนเรื่องการภาวนาเพ่งไปที่บริเวณกระเพาะมากขึ้น
เมื่อไม่ทานเนื้อสัตว์เลย ทำให้เกิดภาวะ หิว อยาก โหย หิวและอยากจัดการได้ แต่โหย แม้อยากทำงาน แต่ไม่มีแรง เกิดภาวะไม่อยากกินตามมา จึงต้องปรับอาหารในเดือนที่สาม กินไข่ขาวกับน้ำข้าว ถั่วบด ต้องมีโปรตีนจากถั่วหรือไข่ เพราะเม็ดเลือดขาวตก เพราะตอนนั้นผอมลง เดือนเดียวลดไปสิบกิโลกรัม
ณ วันนี้อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง
คนชอบถามเราว่า ไม่กลัวจริงๆ หรือ ถ้าไม่ได้ฝึกภาวนาคงไม่เข้าใจคำว่ากลัว เพราะ เราฝึกและสอนธรรมะปฏิจจสมุปบาท (ธรรมะที่แสดงถึงกฎธรรมชาติ) ถ้าคนเราไม่ปรุงแต่ง เราจะไม่กลัว กลัวมากเพราะมการปรุงแต่ง แต่เรารู้แล้วว่า เราเป็นอะไร เราจะกลัวทำไม
สิ่งที่เรารู้ เราหาทางออกอย่างอ่อนโยน ใจเราก็มีสารสุขหลั่งออกมา เราก็สวดมนต์ เจริญสติ รู้เท่าทันกายใจของเรา นอกจากนี้เรายังนำหลักธรรมโพชฌงค์7 มาใช้กับการป่วย กินอยู่พักผ่อนให้มีความพอดี รู้ว่ากายอยู่กับจิต จิตอยู่กับงาน ทำตัวให้ช้าลง จนมีความปีติ และไม่หลงปีติ จนไปสู่สมาธิสัมโพชฌงค์ แน่วแน่ไม่หวั่นไหว กลายเป็นอุเบกขา คือทำเหตุแล้วปล่อยวางในผล โพชฌงค์ 7 สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย
จึงต้องลดการทำงานทางธรรม ภาวนามากขึ้น?
เจริญภาวนาโพชฌงค์7 มากขึ้น ถ้าไม่อยากตาย ภาวนาทุกลมหายใจเลย และหลายเดือนที่ผ่านมา ไปตรวจเซลล์มะเร็งก็เล็กลงเหลือแค่หนึ่งเซนติเมตรกว่าๆ ตอนเดือนตุลาคม มีผู้หญิงเข้ามาบวชห้าร้อยคนเพื่อในหลวง เป็นการเยียวยาเราด้วย เพราะฉะนั้นต้องทำงานที่มีความร่าเริงอย่างงานสอนธรรมะ งานภาวนา และต้องไม่ใช่งานเครียดๆ
คุณหมอบอกไหมว่า ท่านจะใช้ชีวิตได้อีกกี่ปี
เราบอกหมอว่า “คุณแม่ไม่ถามนะว่าขั้นไหน" กระทั่งอาการดีขึ้น เราถามหมออีกคนว่า ถ้าคนอื่นเป็นแบบเราอยู่ในขั้นไหน ก็ประมาณขั้น 4
ตอนนั้นเราคุยกันในกลุ่มหมอว่า ที่เซลล์มะเร็งเล็กลง นี่มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเรื่องการฝึกจิต ตอนฟังผลที่โรงพยาบาลวันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 เซลล์มะเร็งแทบมองไม่เห็นแล้ว ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจ บอกคนป่วยทั้งหลายว่า อย่ากลัวเลย ความกลัวจะทำให้เซลล์มะเร็งโตขึ้น โดยเฉพาะคนจิตตก
ในกระบวนการธรรมชาติบำบัด การชิมปัสสาวะสามารถตรวจเช็คร่างกายได้แค่ไหน
ตอนที่ไปนอร์เวย์ไปเจอพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ท่านถามว่า คุณแม่ชิมปัสสาวะหรือเปล่า เราก็บอกว่า ชิมตอนเช้า ท่านก็บอกว่า ชิมสามมื้อเลย เพื่อตรวจร่างกายตัวเอง ถ้าปัสสาวะมีรสขมแสดงว่าหัวใจทำงานหนัก ก็ต้องพักเยอะๆ ถ้ามีรสเค็มแสดงว่า ดื่มน้ำน้อย ทำแบบนี้เพื่อทำให้เม็ดเลือดขาวดีขึ้น เหมือนการใช้พิษล้างพิษ
จากผู้เยียวยาคนป่วย กลายเป็นคนป่วย ?
เราไปเยียวยาคนป่วยตามโรงพยาบาล สงสารหมอพยาบาล ญาติผู้ป่วย และทำคอร์สครอบครัวคือหัวใจเยียวยา ตอนนี้เป็นทั้งผู้เยียวยา ผู้ป่วย และผู้สูญเสีย (เพิ่งสูญเสียคุณเสถียร ) เรื่องนี้มันบังเอิญไหม เราทำกุศลได้เลย วันที่ 31 ตุลาคม 2559 ตอกเสาเข็มธรรมาศรม พอเดือนเมษายน 2560 เป็นมะเร็ง
เราก็ถามตัวเองว่า ถ้าเป็นมะเร็งก่อนตอกเสาเข็มจะทำเรื่องนี้ไหม ก็คงทำ แต่คนรอบตัวคงเครียด เพื่อเยียวยาผู้ป่วย คนเราจะอยู่ยังไงไม่ป่วย และถ้าป่วยแล้วจะเยียวยาด้วยธรรมชาติบำบัดยังไง ถ้าจะส่งผู้ป่วยให้คืนลมหายใจสุดท้าย ต้องทำยังไง และการดูแลผู้สูญเสียไม่ให้ซึมเศร้า ธรรมาศรมก็เร่งทำให้เสร็จ
ถ้าพูดถึงเรื่องความตาย ท่านจะให้ธรรมะเรื่องนี้อย่างไร
เมื่อใดที่เราโกรธ เราก็ตายแล้ว เมื่อใดที่เราเกลียด งก ลังเลสงสัย เราก็ตายแล้ว เรามองความตายในปัจจุบันขณะ ต้องเจริญสติ ไม่อย่างนั้นคุณจะตายทั้งเป็น ถ้าอยากอยู่อย่างมีความหมาย ก็อย่าอยู่แบบตายทั้งเป็น ถ้าถึงวันสุดท้ายของชีวิต เราต้องตายอย่างมีคุณค่า ทำธุระของเราให้จบในปัจจุบันขณะ อันนี้ไม่ได้พูดสวยนะ แต่พูดจริง เพราะตอนที่เราหายใจ ก็ให้อ่อนโยน และเราก็ทำได้แล้ว
ท่านได้ทำพินัยกรรมชีวิตไว้ไหม
เสถียรธรรมสถานผ่านมา 30 ปี และได้สอนเราว่า มนุษย์ทุกคนมีมรดกที่ทิ้งไว้กับโลก เสถียรธรรมสถานเป็นสนามทดลองให้เราใช้ชีวิตอย่างเคารพคนอื่นมากขึ้น เรากตัญญูต่อพระธรรม ดังนั้นไม่มีวันไหนที่เราลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าเราไม่อยากทำอะไรเลย เพียงแต่ว่าจะทำมาก ทำน้อย เพราะฉะนั้นมรดกที่คุณแม่ฝากไว้ ก็คือ สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวัน เหมือนที่ท่านอาจารย์พุทธทาสสอนพวกเราว่า ความดีคือป่าช้าที่สร้างไว้ เราไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติเงินทองไว้กระตุ้นราคะ เสถียรธรรมสถานเหมือนบ้านหลังที่สองของทุกคน สมบัติที่เราวางไว้
ห่วงว่า เสถียรธรรมสถาน จะมีผู้สืบทอดไหม
ไม่ห่วง เป็นหน้าที่ของคนอยู่ ในขณะที่เราอยู่ คนอื่นก็เรียนรู้ไป ใช้เวลาฝึกปฎิบัติไปกับเรา และต่อไปก็ทำให้ไกลกว่าที่เราทำ
ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต หากต้องใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อช่วยพยุงลมหายใจอย่างเดียว ท่านได้สั่งเสียไว้อย่างไร
ไม่เอาๆ ยกตัวอย่างกรณีคุณเสถียร (อายุ90 ปี ล้มกระดูกแตก) ถ้าผ่าตัดต้องใส่ซีเมนต์เข้าไปในกระดูก แต่คนไข้เลือกที่จะไม่ผ่า เพราะร่างกายไม่ไหว แพทย์ถามว่าจะเอาเข้าห้องไอซียูไหม เพราะการเข้าไปอยู่ในไอซียู ก็ไม่ได้ช่วยอะไรคนไข้ เรามีสิทธิตัดสินใจในฐานะคนในครอบครัว ก็ไม่เอาไอซียู ขนาดการใส่ท่ออาหารทางจมูก เราก็ไม่เอา
วาระสุดท้ายของคุณเสถียรจากไปอย่างไรคะ
คุณเสถียรจากไปในห้องปกติในอ้อมกอดแห่งความรัก มีป้าตุ๋ม (พี่สาว ตอนนี้บวชและเคยเป็นพยาบาล ช่วยดูหน้าจอระดับคลื่นหัวใจ) หมอพยาบาลไม่อยู่ เราใช้อานาปานสติส่งคุณเสถียร ตอนเธอหมดลมหายใจ เราก็กุมมือไว้ เธอยังรู้สึกตัวเพราะบีบมือ เปลือกตาเปิดนิดหนึ่ง แล้วปล่อยลมหายใจสุดท้าย
วินาทีสุดท้ายเธอได้อยู่กับเรา และเป็นสิ่งที่คนไข้ต้องการอยู่กับคนที่เธอรักมากที่สุด เป็นการจากไปที่รู้เนื้อรู้ตัว ช่วงเวลานั้นสำคัญที่สุดของการจากพราก เป็นการสื่อสารด้วยหัวใจ
เราบอกไปว่า เราทำกุศลกันทุกวัน เมื่อใดที่เราสงบจากราคะ โทษะ โมหะ เราจะพบกันในความบริสุทธิ์
ถ้าเป็นวาระสุดท้ายของท่าน ท่านอยากให้เป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าบอกทุกคนว่า ไม่ต้องมาเขย่าขา ไม่ต้องมาทำอะไรข้าพเจ้า แล้วร้องไห้ฟูมฟาย ถ้าถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะหายใจให้อ่อนโยนที่สุด และขอบคุณโอกาสที่เรายังมีสติสัมปชัญญะที่จะหายใจอย่างทั่วตัวทั่วพร้อม และกล้าที่จะปล่อยคืนไปอย่างอิสระที่สุด ได้เห็นตัวเองเปลี่ยนภพภูมิอย่างอาจหาญ แต่เรื่องที่เราพูด ต้องฝึกทุกวันนะ ไม่ใช่ว่าจะจัดการในวินาทีนั้นได้เลย
ท่านอยากมีอายุยืนยาวแค่ไหนคะ
คุณแม่ไม่มีความทะเยอทะยานว่า จะอายุยืนยาวแค่ไหน ถ้าเรายังมีลมหายใจ ก็ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า คงดีกว่าคนที่อายุยืน แต่ทำอะไรแบบกะโหลกกะลา พระพุทธเจ้าสอนว่า ในทุกขณะจิต แม้แต่ราตรีเดียวก็น่าชม แต่เราต้องรู้สภาวะธรรมที่เกิดดับฉับพลัน
คนเราจะอายุยาวหรืออายุสั้น มันไม่สำคัญเท่าการเห็นคุณค่าของการใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะ ถ้าเราพ้นทุกข์ได้ เราก็เป็นอิสระได้