เที่ยวตามใจ เหมือนเอาแต่ใจนิดๆ แต่บางครั้งเราก็เอาใจเพื่อนร่วมทางที่โคจรกันมาพบกันบนเส้นทางบ้างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์
หากการเที่ยวตามใจในสไตล์ของเราเป็นการท่องไปอย่างมีจุดหมาย ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาระหว่างทาง ไม่คาดหวังกับปลายทาง เหมือนทริปฤดูร้อนในมิวนิก เมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย สหพันธรัฐเยอรมนี เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
กินขนมกับกาแฟขมๆ
เริ่มต้นวันดีๆด้วยกาแฟดีๆสักถ้วย ก่อนเดินเท้าซอกแซกไปในย่านเมืองเก่าของมิวนิก ขอเวลาจิบกาแฟที่ร้านในตำนานของเมืองสักหน่อย Café Frischhut ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดวิคทัวเลียนมาร์คท ร้านเปิดตั้งแต่แปดโมงเช้า มาตั้งสติกันที่นี่น่าจะเป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย
เมนูกาแฟที่นี่มีครบทั้งเอสเพรสโซ่ กาแฟดำ และกาแฟใส่นม สนนราคาน่ารักอยู่ที่ 2 – 3.70 ยูโร ส่วนขนมที่เรียกชื่อแสนลำบาก schmalznudel เป็นขนมในตำนานที่อยู่คู่กับร้าน ลักษณะเป็นแป้งทอดอารมณ์คล้ายปาท่องโก๋ ทำมาจากแป้งสาลี ยีสต์ ไข่ และเนย รูปร่างกลมขนาดใหญ่ชิ้นเดียวอิ่มได้ในราคา 2.3 ยูโร
Schmalznudel ชื่อเสียงโด่งดังจริงมีผู้คนต่อแถวคอยซื้อแบบกลับบ้านก็เยอะ นั่งกินชมบรรยากาศอย่างเราก็ไม่น้อย รสชาติแป้งทอดนี้ก็เข้าทีเนื้อแป้งทอดผิวนอกกรอบนิดนุ่มใน รสพอหวานเล็กน้อย แต่ถ้าชอบหวานกว่านี้ให้ลองสั่ง krapfen แป้งทอดลูกกลมๆที่โรยหน้าด้วยน้ำตาล
ถ้าไปกินที่เบอร์ลินจะเรียกว่า Berliner แต่เรามาอยู่ในบาวาเรียก็ต้องเรียกว่า Krapfen สมัยก่อนเป็นขนมที่กินกันในช่วงเทศกาลคาร์นิวัล เพราะเป็นสัญลักษณ์ของพืชพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ส่วนขนมที่แย่งซีนของแป้งทอดในตำนานที่กล่าวไป มีชื่อว่า stritzerl ด้วยรูปลักษณ์มาเป็นตัวยาวๆมีหัวมีหางชวนให้คิดถึงไดโนเสาร์ จะช้าอยู่ใยหยิบใส่ปากกินคู่กับกาแฟขมๆได้อารมณ์กาแฟยามเช้ากับปาท่องโก๋ คราวนี้พร้อมไปท่องโลกกันเลย ...ตื่นแล้วค่ะ !!
ดอกไม้ให้จูเลียต
ถ้ากางแผนที่ออกดูจะพบว่าจตุรัสสำคัญทั้ง 3 แห่งในย่านเมืองเก่า ได้แก่ คาร์ลพลัตซ์ มาเรียนพลัตซ์ และ โอดีออนสพลัตซ์ มีเส้นทางเชื่อมโยงถึงกันไปหมด โดยมีจตุรัส มาเรียนพลัตซ์ อยู่ตรงกลาง
เนื่องจากจุดที่เราเติมคาเฟอีนอยู่ใกล้กับตลาดวิคทัวเลียนมาร์คท ( Viktualienmarkt) ในย่านมาเรียนพลัตซ์ เราจึงขอเริ่มต้น ณ จุดนี้ ชื่อตลาดเรียกยากๆนี้มาจากภาษาละติน หมายถึง “อาหาร” ตลาดอาหารแห่งนี้ค้าขายกันมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19 ตลาดดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แต่ก็แฝงไปด้วยเสน่ห์น่ารักๆ สินค้าที่นำมาขายมีตั้งแต่ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไส้กรอก เครื่องเทศ ชีส รวมไปถึงขนมนานาชนิด และร้านดอกไม้
เราเดินชมสินค้าต่างๆอย่างตื่นตาตื่นใจ ผู้คนก็มากมาย ส่วนใหญ่จับจองที่นั่งรับประทานอาหารกลางแจ้ง บ้างก็ยืนคุยกันหนุงหนิงใกล้น้ำพุใต้ร่มไม้ ถ้ามาช่วงเที่ยงๆบ่ายๆในมือของพวกเขาล้วนถือแก้วเบียร์ใบหน้าดูเปี่ยมสุข
เราแอบชอบใจร้านขายดอกไม้ที่จัดร้านได้อย่างน่าชม ได้เห็นดอกไม้บานแล้วชื่นใจจนอยากจะซื้อให้ใครสักคน ดอกไม้ย่อมคู่กับสาวงามถึงจะเหมาะยิ่งเธอเป็นตัวแทนของความรักอมตะด้วยแล้วซื้อดอกไม้ให้จูเลียตท่าจะดี
ประติมากรรมรูปจูเลียตยืนรอโรมิโออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตลาด ใบหน้าเธอดูนิ่งสงบ ในอ้อมแขนของเธอมีดอกไม้ เธอเป็นของขวัญจากธนาคารเมืองเวโรน่า ประเทศอิตาลี ที่มอบให้กับ Stadtsparkasse München ธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมัน ในวาระครบ 150 ปี เมื่อปี 1975
ความเชื่อที่ว่า การมอบดอกไม้และเอามือสัมผัสที่หน้าอกของรูปปั้นจูเลียตจะทำให้ความรักเป็นอมตะ ถ้าอยากสมหวังก็ต่อแถวเลยค่ะ (คิวไม่ยาวด้วย)
ช้อป ช้อป ช้อป
ถ้าอยากจะไปช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมหรูหราก็ให้ไปตามถนน MaximilianstraBe ถ้าอยากช้อปแบบหลากหลายมีทั้งห้างสรรสินค้า คาเฟ่ ร้านอาหารให้ไปทางถนน TheatinerstraBe ที่เชื่อมจาก มาเรียนพลัตซ์ ไปยัง โอดีออนสพลัตซ์ เส้นนี้เดินช้อปกันเพลินๆตอนที่ไป H&M ZARA Mango กำลัง Sale อยู่ถึง 70% ใครที่มีคติขาดเหลืออะไรไปหาเอาข้างหน้าแบบเรารู้สึกอุ่นใจเลย หรือถ้าจะไปยังจตุรัสคาร์ลพลัตซ์ ร้านค้าก็มากมายอยู่ละลานตาทีเดียว มีทั้งแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้าอาดิดาส กระเป๋าเดินทาง RIMOWA
ใครที่เป็นแฟนกระเป๋ารีไซเคิลของพี่น้อง FREITAG ที่นำผ้าคลุมรถบรรทุกมาทำกระเป๋าจนกลายเป็นแบรนด์กระเป๋าในใจของใครหลายคน มีช้อปใหญ่อยู่ใกล้ๆตลาดวิคทัวเลียนมาร์คท มีสีสันและดีไซน์ให้เลือกชนิดเดือดร้อนกระเป๋าตังค์กันเลยทีเดียว
ตามหารอยเท้าปีศาจ
อ้อยอิ่งตามใจจนได้เรื่องกว่าจะไปถึงวิหารเฟราน์เคียร์เชอ เหลือเวลาให้ชมรอยเท้าปีศาจได้เพียงไม่กี่อึดใจเนื่องจากได้เวลาปิดให้เข้าชมในช่วงกลางวัน (เฉพาะส่วนนี้) จำได้ว่าถ่ายรูปรอยเท้านี้ไว้ด้วย แต่แปลกดีกลับมาถึงบ้านแล้วจนวันนี้ยังหารูปนั้นไม่เจอไม่รู้ว่าถ่ายไว้ในกล้องไหน ไม่รู้ว่าเจ้าของรอยเท้าอยากให้ไปเห็นด้วยตาตัวเองหรือเปล่า
วิหารหลังนี้มีขนาดใหญ่โตโอฬารมากอาคารก่อด้วยอิฐ โดดเด่นด้วยหอคอยคู่สูง 99 เมตร ด้านนอกให้ความรู้สึกเหมือนจะทึบ แต่ด้านในกลับสว่างด้วยการเจาะช่องหน้าต่างที่สูงและยาวทำให้แสงจากภายนอกส่องเข้ามาได้มากยิ่งมาในช่วงเที่ยงแบบนี้แล้วได้เห็นแสงสีและเงาของสเตนกลาส หรือ กระจกสีประดับหน้าต่างสะท้อนกับผนังสีขาวบรรยากาศสงบงามโดยแท้
ตรงนี้กระมังที่ทำให้ปีศาจโกรธจนถึงกับกระทืบเท้าทิ้งรอยไว้เป็นหลักฐาน เล่ากันว่าช่างผู้สร้างวิหารได้ทำสัญญากับปีศาจไว้ว่าจะไม่สร้างหน้าต่าง มนุษย์ผู้ไม่รักษาสัญญาสร้างเสาเอาไว้บังหน้าต่างหลอกปีศาจที่ยืนอยู่หน้าประตูโบสถ์ก็จะไม่เห็น เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเอาเสียเลย
โบสถ์เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 7.30- 20.00 น. เข้ามาชื่นชมสถาปัตยกรรมอันงดงามในแบบโกธิค แล้วนั่งสงบจิตใจสักพักเพิ่มพลังบวก ส่วนใครที่อยากชมมิวนิกมุมสูงเชิญทัศนาได้บนหอคอยถ้าหัวใจและขาไม่สั่น
ขาหมูกับเบียร์เยอรมัน
ได้เวลามื้อเที่ยงแล้ว มาอยู่ในย่านเมืองเก่าทั้งทีก็ต้องฉลองกันที่ร้านเก่าแก่ แม้ว่าจะมีบางคนค่อนคอดว่าเป็นร้านสำหรับนักท่องเที่ยว ยังมีขาหมูกับเบียร์เยอรมันรสดีๆอีกหลายร้าน ก็ว่ากันไปสำหรับเราถือว่าเป็นมื้อประสบการณ์ที่ได้มาที่โรงเบียร์ฮอฟบรอยเฮ้าส์
ที่นี่คนแน่นมากเดินหาโต๊ะว่างภายในร้านอยู่นาน แม้ไม่ได้ก็ไม่เบื่อแค่ได้ชมภาพวาดที่เขียนบนเพดานก็เพลินแล้ว ตึกรามบ้านช่องของชาวบาวาเรียนิยมเขียนภาพประดับด้านในและด้านนอกอาคาร เล่าเรื่องศาสนา ชีวิตความเป็นอยู่ รวมทั้งต้นไม้ใบไม้มีเสน่ห์มาก (เก็บไว้เล่าตอนต่อๆไป อดใจรอสักนิด)
ในที่สุดก็ได้โต๊ะนั่งด้านนอกอาคารใต้ต้นไม้ ฟ้าดูเหมือนจะมีฝนตกชวนให้ลุ้นดีเหมือนกันว่าจะได้จิบเบียร์กลางฝนรึเปล่า แม้ว่าผู้คนจะมากมายนั่งกันเต็มร้านหากระบบการจัดการดีทีเดียว นั่งรอไม่นานเบียร์แก้วใหญ่ขนาดบรรจุ 1 ลิตรก็วางอยู่ตรงหน้า เรานั่งมองโลโก้รูปมงกุฎครอบลงบนอักษร HB ที่ย่อมาจาก Hofbrauhaus อันบ่งบอกว่าเป็นโรงเบียร์ในราชสำนัก ดยุควิลเฮล์มที่ 5 แห่งบาวาเรียโปรดให้สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1589 (เดินทางทีไรเหมือนต้องกลับไปอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์อีกครั้ง แต่ก็สนุกดี)
มากินขาหมูกันดีกว่า เสิร์ฟมาในขนาดที่ดูเล็กกว่าที่คาด จำได้ว่าตอนไปกินขาหมูที่สาธารณรัฐเช็คกับเพื่อน เสิร์ฟมาคนละขาขนาดอวบๆ มาที่นี่เลยขอขาเดียวชนิดแบ่งกันกินดีกว่า จะได้มีพื้นที่กระเพาะเหลือไว้ให้ไส้กรอกด้วย
ขาหมูเยอรมันทอดหนังได้กรอบสีน้ำตาลสวยเลย กรรมวิธีการทำที่ต้องนำไปต้มให้สุกก่อนแล้วนำไปผึ่งแดดจนเนื้อแห้งก่อนนำมาทอดทำให้ส่วนเนื้อแห้งผิวนอกกรอบนิดๆ เนื้อในชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสเกรวี่ที่ราดมา อดคิดถึงน้ำจิ้มซีฟู้ดที่บ้านเรามักเสิร์ฟมาด้วย แต่แม้ไม่มีรสชาติก็กลมกล่อมเสิร์ฟมาคู่กับมันบดก้อนกลมๆที่ให้ความรู้สึกนุ่มๆเด้งๆแปลกกว่ามันบดทั่วไป
ส่วนไส้กรอกเสิร์ฟมาพร้อมกะหล่ำปลีดอง ไส้กรอกมีมาให้ 3 ชนิดให้เลือกชิม มัวแต่คุยกันเพลินเลยลืมถามพนักงานว่าเป็นไส้กรอกชนิดอะไรกันบ้าง แถมฝนยังเทลงมาอีกได้แต่สาละวนกับการยกจานอาหารกับแก้วเบียร์หนีฝนไปนั่งในร้าน สนุกดีแท้
เสาและซุ้มที่โบสถ์เธียไตน์เคียร์เชอร์
อิ่มแล้วเดินค่ะ เดินกันไกลหน่อยมาถึงจัตุรัสโอดีออนสพลัตซ์ ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในสวนใหญ่ริมรั้วพระราชวังสูดอากาศดีๆ หากระหว่างทางพบกับโบสถ์ เธียไตน์เคียร์เชอร์ (Theatinerkirch )
ด้านนอกเป็นอาคารสีเหลืองสไตล์บารอกดูคลาสสิกแบบอิตาเลี่ยนขนาดยิ่งใหญ่ทำให้ดูขึงขัง ครั้นพอก้าวผ่านประตูเข้าไปด้านในกลับเป็นอีกความรู้สึกเลย หรูหราวิจิตรเงียบและสงบจนต้องหยุดแล้วนั่งลงนิ่งๆชั่วครู่ หลังหายตกตะลึงกับงานประดับตกแต่งปูนปั้นที่เต็มพื้นที่แล้ว จึงได้ค่อยๆไล่ดูซุ้มประตูหน้าต่างที่ตกแต่งด้วยเสารูปเกลียว บ้างก็ทาสีทอง บ้างแกะสลักลวดลายรูปบุคคล ต้นไม้ ใบไม้ ชนิดละเอียดถี่ยิบ สื่อให้เห็นถึงศรัทธาอันยิ่งใหญ่จริงๆ ทั้งนี้ขอคารวะฝีมือช่างที่ทำสิ่งยากๆออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
แปลกจริง พอพ้นประตูโบสถ์ออกมาด้านนอกอารมณ์เปลี่ยนทันที จัตุรัสโอดีออนสพลัตซ์เต็มไปด้วยผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมไปถึงชาวมิวนิกที่ยังคงใช้พื้นที่บริเวณนี้สำหรับการชุมนุมและแสดงออกทางความคิด บางวันที่มาก็มีการชวนกันวาดรูปเพื่อรณรงค์ในกิจกรรมทางสังคม บางวันก็มาเจอขบวนพาเหรดที่ชวนให้ตระหนักกับภาวะโลกร้อน
เอาเป็นว่าถ้าอยากได้ความสงบเดินเข้าโบสถ์ ถ้าชอบสีสันของผู้คนเดินอยู่ด้านนอก สำหรับเราขอไปหากาแฟยามบ่ายจิบตามใจระหว่างรอขบวนพาเหรดผ่านพ้นไปก่อน
คราวหน้าออกนอกเขตเมืองเก่าไปดูหนุ่มๆเล่นเซิร์ฟในสวนอังกฤษ แล้วไปทำความรู้จักกับ Friedensengel นางฟ้าแห่งสันติภาพ ในเที่ยวตามใจไปมิวนิกเสาร์หน้าค่ะ
ขอขอบคุณ : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครมิวนิก และ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)