นักล่าขุมทรัพย์ ลุ่ม‘แม่น้ำเทมส์’
ทำความรู้จัก “Mudlark” คนที่เดินเก็บของเก่า และไม่ใช่ของเก่าธรรมดา แต่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่เจอตามชายฝั่งแม่น้ำเทมส์
ระหว่างที่เธอกำลังเดินเลียบชายฝั่งแม่น้ำเทมส์ที่เต็มไปด้วยโคลน สายตาของ ลาร่า ไมเคลม สะดุดเข้ากับเข็มกลัดเก่าสมัยศตวรรษที่ 16 ก่อนที่จะใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด และนำไปกลัดรวมไว้กับเข็มกลัดชิ้นอื่นๆ ตรงกระเป๋าเสื้อโค้ทของเธอ
ลาร่าเป็น “Mudlark” หรือ คนที่เดินเก็บของเก่าที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่เจอตามชายฝั่งแม่น้ำเทมส์
“Mudlarks” คือ คำที่ใช้เรียกชาวลอนดอนโดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยากจนในสมัยศตวรรษที่ 18-19 ที่หาเลี้ยงชีพด้วยการหาของเก่าที่อยู่ในโคลนตามริมชายฝั่งของแม่น้ำเทมส์ และนำไปขาย
ประเพณีของการเดินหาของเก่าที่ทำมากันหลายศตวรรษ ยังคงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ปัจจุบันมันเป็นงานของพวกนักโบราณคดีสมัครเล่น ที่มีสมาชิกเป็นอาสาสมัครกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ของโบราณที่ลาร่า หญิงวัย 48 ปีเจอตามชายฝั่งแม่น้ำ ก็มีเครื่องปั้นดินเผาเหรียญเงินจากยุคค.ศ. 1600 ของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ หวีที่ทำจากงาช้างและกล้องสูบยาที่ปั้นด้วยดินสมัยศตวรรษที่ 18 ของบางอย่างที่พบยังมีลายนิ้วมือของคนทำด้วย
“สิ่งของเหล่านั้นเป็นภาพสะท้อนชีวิตประจำวันของชาวลอนดอน ที่โผล่ขึ้นมาจากโคลนหรือถูกกระแสน้ำพัดพามา มันเหมือนหนังสือประวัติศาสตร์เล่มยักษ์” ลาร่า ซึ่งทำงานในอุตสาหกรรมการพิมพ์ กล่าว
แม่น้ำและลำธารที่ตัดผ่านกรุงลอนดอนหลายสายถูกสร้างขึ้นและก็สูญหายไป แต่แม่น้ำเทมส์ยังดำรงอยู่ตรงกลางใจของผู้คน กระแสน้ำขึ้นน้ำลงได้ทิ้งร่องรอยของชีวิตในอดีตหลายศตวรรษรวมถึงการทำงานและความตายบนฝั่งแม่น้ำ
“มันเป็นการล่าขุมทรัพย์” ลาร่า บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี ในขณะที่กำลังเดินก้มมองหาสิ่งของบนพื้นที่เต็มไปด้วยโคลน
ของที่มีค่ามากที่สุดอย่างหนึ่งที่เธอเจอคือ ปลอกหุ้มปลายเชือกผูกรองเท้าที่ทำด้วยทองคำสมัยทิวดอร์ที่มีอายุมากกว่า 300 ปี ซึ่งกฎหมายกำหนดให้เธอต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่
ส่วนสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดที่เจอก็คือ ปืนลูกซองสั้นที่ยังมีกระสุนบรรจุอยู่ข้างใน เธอยังเคยพบศพมนุษย์ด้วย ซึ่งจะต้องรายงานต่อตำรวจทันที
นักล่าสมบัติโบราณบอกว่า เธอไม่เคยนำของที่เจอไปขายเลย และมันเป็น “การติดต่อทางประวัติศาสตร์” ที่เธอหลงรัก
ในบรรดาสิ่งของที่เจอ ของที่เธอโปรดปราน ก็คือ เหรียญที่มีรูปร่างบิดงอราคา 6 เพนนีในยุคศตวรรษที่ 17 - 18 ซึ่งถูกโยนลงไปในแม่น้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักสำหรับคู่รักที่ไม่มีเงินซื้อแหวน
“ผู้คนซึ่งถูกลืมโดยประวัติศาสตร์ และไม่ได้ทิ้งอะไรไว้เลย นอกจากสิ่งที่พวกเขาทำหล่นหายระหว่างทาง และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ข้างหลัง” เธอกล่าว
ลาร่าเพิ่งตีพิมพ์หนังสือชื่อ “Mudlarking” และบันทึกลำดับเวลาของสิ่งของที่เธอค้นพบไว้ทางเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์และอินสตาแกรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมออนไลน์ของหมู่นักล่าขุมทรัพย์ตามชายฝั่งแม่น้ำ
“เมื่อฉันไม่รู้ว่าของที่เจอคืออะไร ฉันก็จะโพสต์รูปภาพไว้บนโซเชียลมีเดีย ฉันรู้สึกทึ่งมากกับความรู้ที่ได้กลับมาจากคนในโลกสังคมออนไลน์” เธอกล่าว
บรรดานักเก็บของเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ยังทำงานร่วมกับพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงลอนดอนในการช่วยระบุและเก็บรักษาของโบราณที่พบ โดยของบางชิ้นจัดแสดงอยู่ที่นิทรรศการ “ Secret Rivers”
“แม่น้ำเทมส์เป็นแหล่งโบราณคดีที่ยาวที่สุดของเมือง แต่แม่น้ำก็มีความเสี่ยงต่ออันตรายและมีความเปราะบาง คนที่ช่วยหาของเก่าเหล่านั้นทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการบันทึกประวัติศาสตร์และช่วยรักษาข้อมูลเหล่านั้น” เคท ซัมนอล ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บอกกับเอเอฟพี
แม้ว่าโซเชียลมีเดียจะช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้คนให้กับการเก็บของเก่า แต่ก็ไม่ใช่สำหรับทุกคน
คนเก็บของเก่าต้องได้รับใบอนุญาตจากการท่าเรือแห่งลอนดอนก่อน โดยมีคนประมาณ 1,500 คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมค้นหาของในแต่ละครั้ง แม้ว่าจะมีคนเพียง 30-40 คนที่ทำอย่างจริงจังก็ตาม
เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต อาทิ ความลึกของโคลนที่อนุญาตให้ขุดลงไปได้ รวมถึงข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ โดยมีการกำหนดห้ามเข้าในบางพื้นที่ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงหรือทางโบราณคดี
ลาร่าไม่เคยขุดโคลนหรือใช้เครื่องตรวจจับโลหะ เธอเลือกที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งของที่ถูกพัดมาอยู่บนชายฝั่งมากกว่า และในขณะที่คนที่เดินเร่ร่อนตามแม่น้ำนำความสงบสุขที่หาไม่ค่อยได้ในเมืองมาให้ งานของพวกเขาก็อาจจะเป็นงานที่ดูน่ากลัว
แม่น้ำเทมส์ตอนนี้สะอาดกว่าแต่ก่อน แต่น้ำเสียจากระบะท่อระบายน้ำของลอนดอนที่ใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มักจะไหลบ่าลงไปในแม่น้ำ
การท่าเรือแห่งลอนดอนยังเตือนพวกหาของเก่าให้ระวังเข็มฉีดยาและเศษแก้ว
“หลังจากวันฝนตกหนักและน้ำเสียล้นทะลักออกมาจากท่อระบายน้ำ สภาพของชายฝั่งแม่น้ำก็น่าขยะแขยงมาก” ลาร่า กล่าวในขณะที่สวมถุงมือพลาสติก
"ชายฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยสิ่งที่ฉันไม่อยากพูดถึง แถมกลิ่นก็น่าสะอิดสะเอียนมาก” ลาร่ากล่าวทิ้งท้าย