Michelin Thai Street Food Deck ความอร่อยระดับมิชลินบนชั้น 7 เซน
โซนรับประทานอาหารบริเวณใหม่บนชั้น 7 ห้างสรรพสินค้าเซน รวมร้านอร่อยประเภท ไทย สตรีท ฟู้ด ที่ได้รับการคัดเลือกให้บันทึกไว้ใน มิชลิน ไกด์ 2019 (Michelin Guide 2019) ประเภท ‘บิบ กูร์มองต์’ และ ‘มิชลิน เพลทส์’ กับร้านอร่อยชื่อดังจากหลายย่านในกรุงเทพฯ
สิ้นสุดการขับรถตระเวนชิมอาหารที่ได้รับการคัดเลือกให้บรรจุอยู่ใน มิชลิน ไกด์ 2019 (Michelin Guide 2019) เมื่อห้างสรรพสินค้าเซน (Zen) เปิดพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร บนชั้น 7 ให้กลายเป็นแหล่งรวมสินค้าแต่งบ้านประเภทโฮมสปา เครื่องนอน สินค้าที่ระลึกสะท้อนเอกลักษณ์ไทยดีไซน์ร่วมสมัย เรียกว่าโซน Co-Living (โค ลีฟวิ่ง)
กับอีกหนึ่งโซนสำหรับนักชิม คือ โซน Co-Eating (โค-อีทติ้ง) บริการอาหารรสเลิศจากร้านอาหารที่ได้รับการคัดเลือกโดย ‘มิชลิน ไกด์’ ประเภท Bib Gourmand ซึ่งหมายถึง ร้านอาหารอร่อยคุ้มค่าในราคาย่อมเยา และ Michelin Plates คือ ร้านอาหารคุณภาพดี ใช้วัตถุดิบสดใหม่และปรุงอย่างพิถีพิถัน กับ ร้านอาหารชื่อดังรวมกันแล้วมากถึง 22 ร้าน
มุมอาหารไทยระดับ ‘มิชลิน ไกด์’ รวบรวมไว้ในชื่อพื้นที่ Michelin Thai Street Food Deck ออกแบบร้านในรูปแบบ ‘รถเข็นขายอาหาร’ ที่พบเห็นกันโดยทั่วไปตามท้องถนน นำมาเรียงต่อๆ กัน ประกอบด้วยร้านต่างๆ ดังนี้
ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ‘Ten Suns ไร้เทียมทาน’
Ten Suns ไร้เทียมทาน (เทนซัน) ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรเก่าแก่ร้อยกว่าปี เจ้าเก๋าแยกวิสุทธิกษัตริย์ ชื่อร้านได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายกำลังภายใน สื่อถึงวิถีการกินเนื้ออย่างคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีรายละเอียดซ่อนไว้ชวนให้ค้นหา จุดเด่นความอร่อยคือมี ‘เนื้อ’ ให้เลือกชิมหลายส่วน คัดสรรอย่างดีแล้วนำไปตุ๋น ทุกคำนุ่มละมุนลิ้น มาพร้อมน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม ผ่านการเคี่ยวด้วยสูตรลับ
ที่สาขานี้ให้บริการ บะหมี่เนื้อโกเบ(น้ำ-แห้ง) 180 บาท, เกาเหลาเนื้อโกเบ 200 บาท, ข้าวหน้าเนื้อโกเบ 180 บาท
ข้าวมันไก่ประตูน้ำสูตรโกอ่าง
ข้าวมันไก่ประตูน้ำ สูตรโกอ่าง (Go-Ang Kaomunkai) ร้านเก่าแก่ อายุ 56 ปี หลายคนเรียกติดปากว่า ‘ข้าวมันไก่ประตูน้ำ’ ข้าวมันหอมฉุย รสชาติลงตัวกับไก่ต้มเนื้อนุ่ม พร้อมน้ำซุปที่เคี่ยวจนได้รสชาติกลมกล่อมอย่างที่ ‘มิชลิน ไกด์’ พูดได้เต็มปากเลยว่า “อร่อยมากๆ”
ปัจจุบันกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีน ที่ต้องแวะมารับประทาน ใครผ่านไปแถวนั้นมักเห็นนักชิมยืนรอเข้าแถวบนฟุตบาธหน้าร้านอยู่เสมอ
ที่นี่ให้บริการ ข้าวมันไก่ 90 บาท, ข้าวมันไก่ทอด 90 บาท, ไก่ต้ม(จาน) 115 บาท, ไก่ทอด(จาน) 160 บาท, ไก่ต้ม(จาน)พิเศษ 170 บาท
สว่างบะหมี่ก้ามปู
สว่างบะหมี่ก้ามปู (Sawang Noodle) โด่งดังจากเส้นบะหมี่เหนียวนุ่มและก้ามปูสดเนื้อแน่นชิ้นใหญ่ มีหลายขนาดให้เลือก หนึ่งในร้านบะหมี่ระดับตำนานย่านหัวลำโพง และขยายเปิดสาขาไปที่ย่านประตูน้ำ เอกลักษณ์สำคัญคือ ‘เส้นบะหมี่’ และ ‘แผ่นเกี๊ยวสูตรเฉพาะ’ ทำวันต่อวัน เสิร์ฟคู่กับน้ำซุปร้อนๆ รสชาติกลมกล่อม
ที่สาขานี้ให้บริการ บะหมี่หมูแดง 70 บาท, บะหมี่เกี๊ยว ปู 180 บาท, บะหมี่เกี๊ยว ปู หมูกรอบ 150 บาท, บะหมี่เกี๊ยว ก้ามปูใหญ่ 400 บาท, ขนมจีบ 4, 8, 12 ลูก ราคา 45, 80, 120 บาท
ปาท่องโก๋เสวย (Pa Tong Go Savoey) มีชื่อเสียงมานานกว่า 40 ปี เริ่มจากร้านปาท่องโก๋เสวย สาขาเยาวราช ที่บรรพบุรุษซึ่งย้ายมาจากเมืองจีนนำความรู้ที่ติดตัวมาเปิดร้านขายปาท่องโก๋อยู่ตรอกมะยม ย่านบางลำพู ซึ่งใกล้เขตพระราชฐาน ทำให้ข้าราชบริพารมาอุดหนุนกันมาก จึงเรียกกันติดปาก ‘ปาท่องโก๋เสวย’ ทำจากแป้งสาลี เสิร์ฟด้วยเมนู ‘ปาท่องโก๋กับสังขยา’ ปาท่องโก๋ทอด เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน หรือหากเบื่อน้ำมัน ให้เลือกปาท่องโก๋ย่าง แป้งบางกรุบกรอบ สังขยารสกลมกล่อม หอมกลิ่นใบเตย
ร้านปาท่องโก๋เสวย ได้รับสัญลักษณ์ Michelin Plates
Ongtong (อองตอง ข้าวซอย) ร้านข้าวซอยต้นตำรับจากเชียงใหม่ เส้นเหนียวหนึบ เด่นด้วยน้ำข้าวซอยที่เครื่องแกงผัดจนหอม แล้วนำมาตุ๋นกับน่องไก่ หมูสันนอกหมักนุ่ม หรือเนื้อน่องลายให้เลือกตามชอบ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงครบครัน ร้านดั้งเดิมตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 7 กรุงเทพฯ
ลิ้มเหล่าโหงว
ลิ้มเหล่าโหงว (Lim Lao Ngow) ตำนานบะหมี่ลูกชิ้นปลากระโดดได้ ได้สร้างสรรค์ความอร่อยมานานกว่า 80 ปี ร้านดั้งเดิมตั้งอยู่ที่ถนนทรงสวัสดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ โดดเด่นด้วยลูกชิ้นปลารสชาติดีเป็นเอกลักษณ์ ลูกชิ้นปลาใช้ปลาทะเลตัวโตสดใหม่ คัดสรรเฉพาะเนื้อปลาล้วน ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน จนออกมาเป็นลูกชิ้นปลาที่มีความอร่อย เหนียวนุ่ม กรอบเด้ง ปราศจากแป้งและสารปรุงแต่ง จนได้รับการขนานนามว่า “ลูกชิ้นปลา กระโดดได้”
นอกจากนี้ ยังมีเส้นบะหมี่ที่ใช้แป้งผสมกับไข่ไก่สดใหม่เกรดดี จนได้เส้นบะหมี่แสนอร่อย และยังพัฒนาสูตรเส้นบะหมี่ให้มีความพิเศษมากขึ้น โดยเพิ่มปริมาณไข่ไก่เป็นสองเท่า และใช้แป้งหมี่แบบฮ่องกง รีดออกมาเป็นเส้นแบนเล็ก ให้ได้สัมผัสที่แตกต่าง เส้นเหนียวนุ่มกว่าเดิม หอมไข่มากเป็นพิเศษ
ที่นี่ให้บริการ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาต้นตำรับ 75 บาท, ก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำข้น กุ้งแม่น้ำเผา 165 บาท, ก๋วยเตี๋ยวรวมเครื่องเย็นตาโฟ 85 บาท, ลูกชิ้นปลาหมึกทอด/ลูกชิ้นกุ้งทอด 70 บาท, เกี๊ยวกรอบ 70 บาท
ไก่ทอดเจ๊กี ซอยโปโล
ส้มตำไทย เจ๊กี ซอยโปโล
ไก่ทอดเจ๊กี ซอยโปโล (Fried Chicken Soi Polo) ไก่ทอดสูตรเด็ดที่เปิดขายมานานกว่า 50 ปี เนื้อนุ่ม-หนังกรอบ โรยกระเทียมเจียว กลายเป็นตำนานไก่ทอดเจ้าอร่อยอีกหนึ่งร้านของเมืองไทย และยังมีอาหารอีสานหลากหลายเมนูให้ลิ้มลอง
ซอยโปโลอาจหาที่จอดรถยาก ที่นี่อยู่ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มาได้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวและบีทีเอส มีโต๊ะอาหารในห้องแอร์ให้เลือกหลายมุม ราคาขายที่นี่ ไก่ทอดครึ่งตัว 150 บาท ส้มตำไทย 80 บาท ข้าวเหนียว 20 บาท และ มินิเซต ประกอบด้วย อกหรือสะโพกไก่ + ส้มตำไทย(s) + ข้าวเหนียว (s) ราคา 150 บาท
นอกจากร้านที่ได้รับเครื่องหมาย Bib Gourmand และ Michelin Plates ห้างสรรพสินค้าเซนยังเพิ่มความหลากหลายของอาหารโดยรวบรวม ร้านอาหารชื่อดัง (Gastronomic & Cafe Destination) ย่านต่างๆ มาไว้บริเวณเดียวกัน ดังนี้
เนื้อวากิวหลายระดับมาร์เบิลสกอร์ ร้านเทปเป (Teppei)
Teppei (เทปเป) เป็นร้านที่คนทำเนื้อและขายเนื้อวากิวที่ญี่ปุ่นมาเปิดแบรนด์ร้านอาหารเนื้อวากิวในเมืองไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว สร้างปรากฏการณ์ด้วยอาหารแนว ‘โอมากาเสะ’ ในราคาจับต้องได้ อาทิ วากิวA3 น้ำหนัก 100 กรัม 500 บาท, วากิวA4 น้ำหนัก 100 กรัม 700 บาท, วากิวA5 น้ำหนัก 100 กรัม 900 บาท และ ชิราชิ(ข้าวหน้าปลาดิบหลายชนิดหั่นเต๋า) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
นักชิมจะได้เพลิดเพลินกับอาหารโอมากาเสะ อิซากายะ และปลาไหลย่าง ภายใต้การดำเนินงานของ Teppei Group ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเนื้อวัวญี่ปุ่นดั้งเดิมและพ่อครัวญี่ปุ่นที่จะปรุงอาหารให้กับคนรักวากิวทั่วโลก โดยคงความสดใหม่ไว้ได้อย่างครบถ้วน
บริการเนื้อวากิวจากเมืองโอกินาวา, อิราบากิ และ คาโกชิมา ทั้งในรูปแบบสเต๊ก บาร์บีคิว และผัดซอสเทอริยากิ
“อันดับแรกเราจะถามลูกค้าก่อน ว่าชอบสุกประมาณไหน” ทีมเชฟร้านเทปเป กล่าวและแนะนำว่า หากนักชิมชอบความสุกระดับ ‘แรร์’ และ ‘มีเดียมแรร์’ แนะนำเนื้อวากิว A5 เพราะไขมันแทรกเยอะ หากชอบ ‘มีเดียมแรร์’ ถึง ‘มีเดียม’ แนะนำ วากิวA4 หากชอบ ‘เวลดัน’ แนะนำ วากิวA3 เพราะมีความเป็นเนื้อมากกว่าไขมัน แต่ก็ยังมีความเป็นวากิว
ร้านเพรา (Prow) และตัวอย่างเมนูข้าวกะเพราหลากหลายรูปแบบ
เพรา (Prow) เกิดขึ้นจากแนวความคิดที่อยากทำให้ ‘ข้าวผัดกะเพรา’ ซึ่งเป็นอาหารจานเดียวที่คนไทยสั่งบ่อยที่สุด เป็นอาหารประจำชาติอีกสักหนึ่งรายการ
“ผัดกะเพรา เป็นอาหารที่คนรู้จักอยู่แล้ว แต่เป็นอาหารที่คนมองข้าม คิดว่าต้องราคาถูก เดินหาที่ไหนก็เจอ เราเลยรู้สึกอยากยกระดับกะเพราให้เป็นอาหารประจำชาติ เพราะคนไทยสั่งเยอะกว่าผัดไทยอีก แต่กลายเป็นฝรั่งไม่ค่อยรู้จักอาหารจานนี้เท่าไร เลยอยากทำให้กะเพราสมสถานะของมันจริงๆ เพราะตัวเองก็เป็นคนชอบกินข้าวกะเพรามากๆ อยู่แล้วด้วย” นันทิยา เดชอมรธัญ เจ้าของและผู้ก่อตั้งร้าน ‘เพรา’ กล่าว
หลังสำเร็จการศึกษาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ คุณอ้อ-นันทิยา เดินทางไปศึกษาต่อด้านแฟชั่นดีไซน์ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อกลับมาจึงมีความคิดอยากทำธุรกิจที่อยู่ได้ยาวๆ ทั้งในไทยและไปต่างประเทศได้ด้วย เมืองไทยส่งออกอาหาร ของแห้ง ผลไม้ แต่ร้านอาหารในความเป็นแบรนด์ยังไม่ค่อยมี
“อ้อสังเกตเห็นแพทเทิร์นของญี่ปุ่น เขาโฟกัสเป็นอย่างๆ เช่น ทงคัตสึ แกงกะหรี่ ซูชิ ทำให้เขาควบคุมง่าย ร้านอาหารไทยเป็นแนวกับข้าว อ้อคิดว่าถ้าทำอาหารอย่างเดียวแล้วทำให้นิ่งที่สุด แพทเทิร์นนี้น่าจะทำง่าย”
คุณนันทิยาเปิดร้านอาหาร ‘เพรา’ ครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วที่ย่านช่องนนทรีย์ กรุงเทพฯ และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
“คนทำร้านกะเพราก่อนอ้อ..มีแน่นอน เขาพยายามเน้นคำว่ากะเพราแท้ ไม่ใส่ผักอย่างอื่น แต่อ้อคิดว่าคนไทยสร้างสรรค์ มีความเป็นปัจเจกสูง จึงมีร้านอาหารตามสั่งมากมาย อ้อเลยประยุกต์เอาคอนเซปต์ร้านอาหารตามสั่งมาจัดระบบ ผัก เนื้อ ชีส น้ำจิ้ม เพิ่มโอกาสทางการขายมากขึ้น และสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง อ้อชอบกินกะเพราใส่หัวหอม เพื่อนอ้อบางคนก็ชอบใส่ถั่วฝักยาว ทำไมต้องโดนบังคับห้ามใส่ กะเพราชีส ไข่กุ้ง ไม่มีใครทำ แต่อ้อทำ เป็นทั้งเรื่องการตลาดและความชอบส่วนตัว อ้อไม่ชอบกินฟักทอง แต่ก็มีฟักทอง เพราะฝรั่งที่เข้ามา สั่งกะเพราใส่ฟักทอง แครอท อะไรที่เราไม่ชอบไม่ได้แปลว่าคนอื่นไม่ชอบ เราก็ไม่จำกัด ในเมื่อมันเปิดโอกาสได้อีกเยอะ นี่คือจุดเด่นของร้าน” นันทิยา กล่าว
ร้านเพรามีวัตถุดิบทั้ง เนื้อวัวไทย เนื้อแกะนำเข้า เนื้อกบ หมู ไก่ กุ้ง หมึก สั่งจากบริษัทที่ควบคุมภาพทั้งการคัดสรรและจัดส่ง กับเพิ่มความหลากหลายด้วยการทำเป็นสเต๊กแล้วราดซอสกะเพรา รวมทั้งพลิกแพลงเป็นกะเพราเนื้อวัวกุ้งสับพริกเผา
“อ้อไม่ได้ขายเนื้อแพงมากๆ ไม่ได้อยากทำให้อาหารเอื้อมถึงเพียงแค่บางคน เราเริ่มต้นที่ 95 บาท แพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย ถ้าเราพยายามจับกกลุ่มที่หลากหลาย บางกลุ่มไม่เข้าใจ ทำไมต้องแพง ในเมื่อหาข้าวกะเพรา 40 บาทกินได้มาตลอด เป็นข้อดีข้อเสียที่ต้องทำใจยอมรับ”
รสชาติผัดกะเพราจัดจ้านเข้มข้น มีระดับความเผ็ดให้เลือกถึง 8 ระดับ
“แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่พริกขี้หนูสวนขาดตลาด เราก็ไม่ได้ใส่ ลูกค้าก็คอมเมนต์ทันที ‘ถ้าเผ็ดมากสุดแล้วได้แค่นี้ เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย’ หรือถ้าใครไม่กินเผ็ดเลย ก็สั่งแบบไม่ใส่พริกได้” คุณนันทิยา กล่าว
ข้าวขาหมูเซ็นต์หลุยส์
ขาหมูเซนต์หลุยส์ ข้าวขาหมูในตำนาน ความอร่อยอยู่ที่เนื้อหมูกับหนังเด้งนุ่ม น้ำพะโล้รสชาติกลมกล่อมสูตรลับเฉพาะ
ร้าน หอยทอดชาวเล วัตถุดิบสดใหม่ทุกวัน ทั้งหอยนางรมจากอ่างศิลาและหอยแมลงภู่จากปากน้ำ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มซอสพริกที่ร้านปรุงขึ้นเอง ไร้สารกันบูด
หมูปิ้งท่าน้ำนนท์
หมูปิ้งท่าน้ำนนท์ หมูปิ้งสูตรดั้งเดิม หอม นุ่มลิ้น รสอร่อย โดยเนื้อหมูที่นำมาใช้เลือกส่วนที่แทรกไขมันนิดๆ กินคู่กับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด พร้อมข้าวเหนียวเขี้ยวงูคุณภาพดี
คินนิคุ กิวด้ง (Kinniku Gyudon) เปิดบริการมาแล้ว 10 ปี เมนูซิกเนเจอร์คือ ข้าวหน้าเนื้อ สูตรเฉพาะของร้านแบบโฮมเมด
Cali-Mex (คาลิ-เม็กซ์) เกิดขึ้นจากนักธุรกิจชาวออสเตรเลียผู้หลงใหลอาหารเม็กซิกันแต่อยากนำเสนอสไตล์แคลิฟอร์เนียที่ดีต่อสุขภาพมาเผยแพร่ในภูมิภาคเอเชีย เปิดตัวครั้งแรกบนเกาะฮ่องกงและขยายสาขาได้มากถึง 20 แห่งในสามปี ขณะนี้กำลังขยายสาขาไปทั่วเอเชีย
ร้านเลิศทิพย์
เลิศทิพย์ ร้านเก่าแก่และมีชื่อเสียงมาแล้วกว่า 60 ปี เคยย้ายจากกรุงเทพฯ ไปเปิดที่ลำปางในชื่อ ร้านเพ็ญจันทร์ ในปี 2512 แต่ชื่อเสียงยังคงดังจน ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ตามไปชิม ต่อมาในปี 2534 จึงได้ย้ายกลับกรุงเทพฯ มาอยู่ที่ลาดพร้าว 52 และย้ายไปที่ ลาดพร้าว 70 (วังหิน) แม้จะย้ายไปมา แต่ก็ยังคงยืนหยัดทำอาหารด้วยสูตรลับของตระกูลที่สืบทอดมากว่าร้อยปี เป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย
Peppina (เปปปิน่า) ร้านอาหารอิตาเลียนดั้งเดิมสไตล์เมืองนาโปลี พิถีพิถันคัดสรรวัตถุดิบในการปรุงอาหาร สร้างสรรค์เมนูต่างๆ ด้วยความตั้งใจทุกขั้นตอน
โมโน+โมโน
MONO+MONO (โมโน+โมโน) ไก่ทอดสไตล์อเมริกัน ประยุกต์มาจากไก่ทอดเกาหลี ได้รับการยอมรับว่าเป็น 1 ใน 7 ไก่ทอดที่อร่อยที่สุดในโลก ซอสสูตรพิเศษส่งตรงมาจาก นิวยอร์ก เน้นความเข้มข้นของ Soy garlic และ Hot & Spicy
All Coco (ออล โคโค่) มะพร้าวน้ำหอมออร์แกนิคจากสวนมะพร้าวที่ปลูกในแหล่งดีที่สุดใน 4 จังหวัดของไทย มีความหวานและกลิ่นหอมที่ลงตัวแบบธรรมชาติ
Cher Cheeva Cafe (เฌอ ชีวา คาเฟ่) ทำขนมไทยสูตรโบราณ สืบทอดเคล็ดลับจากรุ่นสู่รุ่นตามตำรับขนมไทยแห่งอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ที่รักษารสชาติและความสวยงามแบบดั้งเดิมในบรรยากาศร่วมสมัยและอบอุ่น
หลุยซ่า คอฟฟี่
Louisa Coffee (หลุยซ่า คอฟฟี่) ร้านกาแฟพรีเมียมสัญชาติไต้หวันที่มีถึง 450 สาขา ในไต้หวัน
Wannjai Cafe (หวานใจ คาเฟ่) ร้านขนมหวานและเครื่องดื่มสไตล์ไทยฟิวชั่น
มาที่นี่ได้อิ่มทั้งจากร้านอาหารชื่อดังและร้านที่ ‘มิชลิน ไกด์’ แนะนำ