‘ฟรอยด์’ เปิดใจครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวดัง เคลียร์ปมเยลลี่
"ฟรอยด์ ณัฏฐพงษ์” ลั่นบริสุทธิ์ใจ ไม่ทราบเรื่องเยลลี่ ยันตำรวจให้เป็นพยานในเหตุการณ์ เผยฟ้องกลับเพราะทำให้เสียหายทางจิตใจและงาน
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงหลังถูกจับเอี่ยวเป็นดารา ฟ.พันล้าน มอมยาสาว ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้เรียก “ฟรอยด์” ณัฏฐพงษ์ ชาติพงศ์ ไปให้ปากคำ แต่ยังไม่เจอนักข่าวเพราะนักแสดงหนุ่มได้ไปให้ปากคำล่วงหน้า ล่าสุดได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในงานเปิดบูทเครื่องเสียงติดรถยนตร์เคนวูด ที่งานมอเตอร์โชว์ อิมแพค เมืองทองธานี ได้ความว่า
เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอย่างไร
“ขอบคุณพี่ๆทุกคน ที่เราได้มาเจอกัน ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้ออก เพราะว่าผมติดถ่ายละคร สิ่งที่เกิดขึ้น ผมเป็นเพียงแค่พยานที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น แล้วผมก็แสดงความบริสุทธิ์ใจในการไปให้ปากคำกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
เหตุการณ์วันนั้นมันตรงกับที่น้องนักศึกษาออกมาพูดไหม
“ไปแค่ไปกินข้าวคนเดียวจริงๆ แล้วบังเอิญเจอ ส่วนตัวผมไม่ได้รู้จักน้องเขาเป็นการส่วนตัวเลย แล้วผมไม่รู้ว่าเรื่องราวมันมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร แล้วเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นภาพเราตอนเบลอๆ มันก็มีข่าวว่าดารา ฟ. พันล้าน เราว่ามันเป็นเราแล้ว เราก็ออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ไม่ได้มีส่วนรู้เหตุอย่างที่โดนกล่าวอ้างแบบนั้น”
แต่มันก็มีการยืนยันว่าเรายื่นขนมเยลลี่ให้
“ไม่มีเลย ผมนั่งกินของผม แล้วก็นั่งคุยกับรุ่นน้องที่อยู่ในร้าน แล้วบังเอิญเจอกับรุ่นน้องในร้าน ไม่มีขนมเลย”
แต่มีการมาร่วมกินอาหารโต๊ะเดียวกัน
“คือผมนั่งอยู่ก่อน รุ่นน้องคนนี้ผมก็รู้จักและไม่ได้เจอกันนาน เขาก็มานั่งจอยด้วย น้องที่เป็นผู้หญิงผมไม่ได้รู้จัก และก็แทบไม่ได้คุยด้วยเลย”
เยลลี่มีส่วนผสมของกัญชาไหม
“ผมไม่ทราบเลย แล้วผมก็ไม่ได้สนใจด้วย”
อาการผิดปกติตอนนั้นของน้องเป็นอย่างไรบ้าง
“น้องเขาบอกแค่ว่าหนาว เหมือนจะหน้ามืด ส่วนน้องผู้ชายที่เราเจอ เขาก็พาน้องผู้หญิงไปโรงพยาบาลเราก็รู้เท่านั้น แล้วพอเรื่องเกิดมาเมื่อวันจันทร์ ซึ่งเรื่องค่อนข้างใหญ่โต เราก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วมันมาเกี่ยวกับเราได้อย่างไง แล้วมีการมาพาดพิงถึงเรา เราก็แสดงความบริสุทธิ์ใจ บอกสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานในเหตุการณ์เท่านั้นเอง”
อย่างที่ตอนที่เราเห็นข้อความที่น้องโพสต์เรารู้สึกว่ามันเป็นเรา หรือว่ามีข้อโต้แย้งอะไรไหม
“มันก็มี เพราะว่ามันเป็นร้านเดียวกับที่เราไปอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่าเราต้องออกมาปกป้องภาพลักษณ์และชื่อเสียงของเรา นั้นคือสิ่งที่ผมออกมา ที่ผมออกมาตรงนี้ ผมอยากให้พี่ๆสื่อเข้าใจว่าเราเป็นเพียงแค่พยานในเหตุการณ์จริงๆ “
วันที่ไปให้ปากคำ มีการสอบสวน อย่างไรบ้าง
“พูดเหมือนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ปกติ บอกว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์มันเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้นเอง”
ตัวเราไม่ได้มีความกังวลกับเหตุการณ์นี้
“ผมบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว เพราะว่าผมไม่ได้เป็นคนทำ และขนมมันก็ไม่ได้มีด้วยซ้ำ ผมเห็นภาพในสื่อ เอ๊ะ เอามาจากไหน สื่อไปดึงภาพมาจากไหน ผมไม่ทราบ”
วันนั้นที่เรานั่งกินไม่ได้มีเยลลี่กัญชา?
“ไม่มีนะ”
หลังเกิดเรื่องได้คุยกับน้องมั้ย?
“ไม่ได้คุย เพราะผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เขาจะดำเนินการสืบสวน สอบสวน ต่อไป เราบริสุทธิ์ใจว่าเราเป็นพยานในเหตุการณ์แค่นั้นเอง”
เราบอกว่าจะฟ้องน้องกลับ ยังดำเนินคดีอยู่มั้ย?
“ก็ให้เจ้าหน้าที่กฏหมายที่ดูแลเรื่องนี้ดูแลอยู่ เพราะเรื่องภาพลักษณ์เราเสียไปแล้วแน่นอน อาจจะกลับมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยตรงนี้ก็เป็นพื้นที่ที่เราบริสุทธิ์ใจที่จะออกมาพูด มาปกป้องชื่อเสียงและผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะก็มีเรื่องของงานในอนาคต พรีเซ็นเตอร์ ค่ายโทรศัพท์ต่าง ๆ อีกเยอะ”
เรื่องนี้กระทบจิตใจเราขนาดไหน?
“กระทบจิตใจครอบครัวผมมากกว่า เราเป็นคนที่รักครอบครัวมาก รักเพื่อน ดูแลทุกคน ชอบให้เสียงหัวเราะทุกคน พอวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่ดีกับชีวิตเรา คนรอบตัวเราก็เสียความรู้สึกกับสิ่งที่มันออกไป แต่เราก็ต้องเข้มแข็งพอที่จะฝ่าฟันเรื่องพวกนี้ไปให้ได้ เข้าใจว่ามันก็มีการเอี่ยวด้วยชื่อของเราที่เอาไปใช้ เอาไปอ้าง”
ยังคงดำเนินคดีกับน้อง?
“ไม่ เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เพราะผมก็เป็นผู้บริสุทธิ์ใจว่าเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าผมเป็นเพียงแค่พยาน ไม่ได้โดนหมายเรียก ไม่ได้มีข้อกล่าวหา ไม่ได้มีคดี เอาง่าย ๆ ภาษาชาวบ้านไม่ได้ลายนิ้วมือ ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา เป็นแค่พยาน”
เรื่องเจอกัญชาในตัวน้องคือยังไง?
“อันนี้ผมไม่รู้ต้องให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเขาจัดการเอง อาจจะไม่รู้ว่ามาจากไหน หรือเจือปนเอง ผมเองก็ไม่ทราบ”
อาหารบนโต๊ะเรามีสังเกตบ้างไหมว่ามีกัญชาเจือปนอะไรแบบนี้
"ไม่มีเลยครับ ไม่มี ก็อาหารปกติทั่วไปเลยครับ"
เราไม่ได้ร่วมทานอะไรกับเขาด้วย
"ไม่ ผมก็กินของผม เขาก็สั่งของเขาเอง แล้วมันก็เป็นร้านที่เรากินประจำอยู่แล้ว จริงๆ มันก็เป็นไปได้หลายแบบนะพี่อาจจะแพ้หรืออะไร แล้วเราก็ไม่รู้ว่าน้องเขาไปที่ไหนมาก่อน เพราะว่าผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
มันมีขนมที่ฟรอยด์ซื้อเข้ามาเองมั้ย
"ปกติผมเป็นคนมีขนมติดกระเป๋าอยู่แล้ว พวกขนมขบเคี้ยว หมากฝรั่งลูกอม เรากินข้าวก็อมกันปากเหม็นอะไรงี้"
แต่ว่าเยลลี่ไม่มี
"ไม่มีเลย"
ตอนนี้นอกจากชื่อเสียง มีผลกระทบอะไรเราอีกบ้าง
"ผลประโยชน์ไง มันก็มีคอนแทคบางอย่างที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ขององค์กร ค่ายโทรศัพท์ใหญ่ๆ ผมก็ฝากพี่ๆ ด้วยว่าผมออกมาในฐานะที่แสดงความบริสุทธิ์ แล้วก็บริสุทธิ์ใจที่จะให้ปากคำแล้วก็ทำให้เรื่องนี้มันดำเนินไปเร็วที่สุด"
งานมีโดนแคนเซิลบ้างไหมหลังเกิดข่าว
"มี แต่ว่าเป็นการตกลงกันในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถือว่าแคนเซิล 100 เปอร์เซนต์เลยไหม ไม่ได้เงินเลยไหม อันนี้ก็เป็นเรื่องการตกลงกับผู้จัดการ ผมไม่ได้สนใจ"
คิดว่าเกิดจากอะไรทำไมน้องเขาทำแบบนี้
"ก็ไม่ทราบเหมือนกัน"
โกรธไหม เพราะเราได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เยอะ
"เราไม่โกรธอ่ะครับ แต่ว่าตกใจมากกว่าว่าเราไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ก็บริสุทธิ์ใจ ก็ให้ความร่วมมือตำรวจเราเป็นเพียงแต่พยานในเหตุการณ์จริงๆ ตำรวจก็บอกว่าผมเป็นแค่เพียงพยาน ถ้าพี่ๆต้องการอะไรเพิ่มเติม รบกวนพี่ๆ ไปสอบถามเจ้าหน้าที่สืบสวนดีกว่า”
ตัวเราเข็ดไหม กับการให้คนอื่นที่เราไม่รู้จักมานั่งร่วมโต๊ะ
“เหตุการณ์นี้ไม่ใช่กลางคืนนะส่วนใหญ่ผมก็เป็นคนเซฟตัวเอง เพราะผมก็อยู่วงการมา 15 ปี เรารู้สึกว่าเราไม่เคยมีเรื่องแปดเปื้อนเรื่องยาหรือผู้หญิง คือหน้าอย่างผมจะไปมอมยา ไปมอมตัวเองดีกว่าไหม ก็คิดเสียว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราแข็งแรงขึ้นในยวงการดีกว่า
หลายคนเชื่อว่าฟรอยด์ไม่ได้ทำ
“ถ้าคนที่รู้จักผมจริงๆ ก็จะรู้ว่าปมเป็นคนอย่างไร ผมเป็นคนเฟรนลี่ และเวลาเจอใครเราก็อยากทำให้เขามีความสุขเวลาเจอเรา ถ้าทุกคนเชื่อก็คือเชื่อในตัวผม แต่เราไปบังคับความคิดคนอื่นไม่ได้ ในสิ่งที่เขาคิด ผมเชื่อว่าถ้าเราเจอกันมาตั้งแต่เด็ก น่าจะรู้กันดีว่าช่วงชีวิตผมเจออะไรมาบ้าง ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี อยากให้ทุกคนรอบตัวมีความสุขมากกว่าซึ่งผมติดว่าในสิ่งที่เกิดขึ้น อาจทำให้ผมโตขึ้น หรือ เป็นสิ่งที่สอนเราว่าต่อไปนี้เราควรจะต้องระวังเรื่องคนแปลกหน้าที่มาร่วมโต๊ะ หรือว่าเข้ามาในชีวิตเรา”
กับน้องชายที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เจอได้คุยกันไหม
“ไม่เลย คือต่างคนต่างทำงาน เขาก็ทำงานของเขาผมก็ทำงานของผม ช่วงนี้ผมยุ่งมาก ถ่ายละครหลายเรื่องมาก และค่อนข้างเหนื่อย อย่างที่บอก กับน้องเราก็ไม่สนิทมาก ขนาดโทรหาทุกวัน ถามว่าสนิทระดับไหน ก็เป็นแก๊งค์จักรยาน เป็นเพื่อนๆ กันเท่านั้นเอง ก็ไม่อยากให้ไปพาดพิงอะไรเขามาก”
มั่นใจว่าน้องก็ไม่ได้ทำ
“อันนี้ก็ไม่รู้ ก็ไปถามเจ้าหน้าดีกว่า”
มาแจ้งช้าเพราะก่อนหน้านี้เราไม่พร้อมที่จะออกมาใช่ไหม
“ผมฟันไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตอนนี้ผมแค่ออกมาบอกพี่ๆว่าผมเป็นพยานในเหตุการณ์เท่านั้นเอง ถ้าอยารู้อะไรเพิ่มเติมให้ไปถามเจ้าหน้าที่สอบสวนดีกว่า”
หลังจากนี้เจ้าหน้าที่เรียกสอบเพิ่มไหม
“ก็ไม่มีนะ”