โซเชียลม็อบ

เป็นประเด็นที่ผู้นำประเทศยุคนี้ต้องขบคิดให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด เมื่อการประท้วงเปลี่ยนจากนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีฐานมวลชนให้การสนับสนุน มาเป็นโลกโซเชียลที่เชื่อมผู้คนเข้าด้วยกัน

ต้องขอบคุณโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้เราเห็นกระแสข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นบนโลกทุกวันนี้แทบจะนาทีต่อนาที โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัญหารุนแรงขึ้นทุกขณะ จนความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้สร้างความผันผวนให้เกิดขึ้นกับธรรมชาติมากมายเป็นประวัติการณ์

เราเห็นภาพไฟป่ารุนแรงในสหรัฐ ที่เผาบ้านหรูบนภูเขาของมหาเศรษฐีหลายคนวอดวายไปต่อหน้าต่อตา ก่อนที่สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยหิมะที่ตกลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพราะเป็นหิมะที่ตกนอกฤดูกาล ซึ่งนับเป็นความโชคดีที่หาไม่ได้ง่ายๆ ที่หิมะจะช่วยมาดับไฟป่าได้ แต่ในออสเตรเลียไม่โชคดีแบบนั้น เราจึงเห็นข่าวหมีโคอาล่าโชคร้ายหลายตัวที่ถูกไฟป่าคลอก ถึงจะถูกช่วยชีวิตได้สำเร็จตามที่เราเห็นในคลิปแต่บางตัวก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวต้องเสียชีวิตลงในท้ายที่สุด ในขณะที่ไฟป่าก็ยังไม่ดับลงง่ายๆ

เช่นเดียวกับบราซิลที่ถือเป็นปอดของโลก ก็ต้องสูญเสียครั้งใหญ่กับไฟป่า จนนักแสดงชื่อดังต้องบริจาคเงินช่วยเหลือเพื่อช่วยดับไฟป่าครั้งนี้ ซึ่งกลายเป็นกระแสวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เมื่อประธานาธิบดีของบราซิลกลับออกมาให้สัมภาษณ์ว่าดาราหนุ่มสนับสนุนการเผาป่าอะแมซอนเสียเอง

ข่าวรอบโลก ทำให้เราเห็นความสุดขั้วของปัญหาในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดปัญหาภูมิอากาศแปรปรวนทั่วโลก ประเทศไทยเองก็กำลังดีใจกับลมหนาวที่ดูจะเย็นมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะเย็นอีกนาน แต่ในหลายๆ ประเทศกำลังเย็นจัดเป็นประวัติการณ์ หรือไม่ก็ร้อนจัดเป็นประวัติการณ์จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย 

157625417530

โซเชียลมีเดียไม่เพียงทำให้เรารับรู้ข้อมูลข่าวสารได้กว้างไกลและรวดเร็วขึ้น แต่ยังทวีความสำคัญ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทางการเมืองมากมาย ซึ่งเราจะเห็นการประท้วงใหญ่ในหลายประเทศที่เกิดขึ้นและไม่มีผู้นำการชุมนุมที่ชัดเจน แต่ทุกคนวางแผนและนัดหมายกันผ่านโซเชียลมีเดียเป็นหลัก

ที่เราเห็นความวุ่นวายมายาวนานและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ คือฮ่องกงที่จุดเริ่มต้นเป็นเพียงการชุมนุมต่อต้านสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเท่านั้น เพราะทุกวันนี้แม้ว่าทางการจีนจะยอมถอย ด้วยการไม่บังคับฮ่องกงให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่การชุมนุมก็ยังยืดเยื้อบานปลายอยู่ เพราะคนหนุ่มสาวของฮ่องกงไม่ไว้วางใจจีนแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป

จนทุกวันนี้การประท้วงกลายเป็นการทำลายข้าวของ การทำลายสถานที่ราชการและเอกชนมากมายจนมีการปะทะกันของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้ประท้วง โดยการชุมนุมแต่ละครั้งไม่มีผู้นำการประท้วง ไม่มีแกนนำ แต่เกิดจากกลุ่มผู้ประท้วงที่อาศัยโซเชียลมีเดียเป็นตัวขับเคลื่อน

157625454163

การประท้วงโดยการอาศัยโซเชียลมีเดียไม่ได้หยุดอยู่เพียงฮ่องกง แต่ขยายวงไปสู่ชิลี ประเทศชั้นแนวหน้าในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาที่มีรายได้ต่อหัวสูงถึงเกือบ 2 หมื่นดอลลาร์ มีดัชนีการคอรัปชั่นต่ำ มีสวัสดิการให้ประชาชนไม่น้อยหน้าประเทศร่ำรวย แต่กลับมีการประท้วงวุ่นวายเพียงเพราะการปรับขึ้นค่ารถไฟใต้ดินในชั่วโมงเร่งด่วนอีก 4%

ความวุ่นวายในชิลีบานปลายได้อย่างไม่คาดคิดเพราะความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน ที่ทำให้มีอัตราความแตกต่างสูงถึง 65% เมื่อถูกกระแสโซเชียลมีเดียเติมเชื้อไฟจึงทำให้มีผู้ออกมาประท้วงมากมายสร้างความเสียหายให้กับระบบรถไฟใต้ดินถึง 400 ล้านดอลลาร์ มีประชาชนถูกจับกุมไปกว่า 7 พันคน และต้องยกเลิกการประชุมผู้นำเอเปคที่เดิมกำหนดไว้ในช่วงปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

อะไรเป็นสาเหตุให้ผู้นำการประท้วงเปลี่ยนจากนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีฐานมวลชนให้การสนับสนุน มาเป็นโลกโซเชียลที่เชื่อมผู้คนเข้าด้วยการอย่างหลวมๆ แต่กลับทรงพลังจนทำให้ผู้นำของหลายๆ ประเทศต้องสละตำแหน่งลงโดยไม่คาดคิด เราจะรับมือกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร และจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป จึงเป็นประเด็นที่ผู้นำประเทศในยุคนี้ต้องขบคิดให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด